จากข้อมูลล่าสุดที่รวบรวมได้จากรายงานข่าวและการสืบสวนสาธารณะในช่วงเดือนตุลาคม 2568 (2025) ซึ่งเป็นช่วงที่ปัญหาสแกมเมอร์ชายแดนไทย-กัมพูชากำลังเป็นประเด็นร้อน นายอนุทิน ชาญวีรกูล (Anutin Charnvirakul) ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (นายกฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลชุดนี้ (หลังจากเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลเศรษฐา-แพทองธาร) ถูกพาดพิงในหลายแง่มุม โดยส่วนใหญ่ไม่ใช่การกล่าวหาว่าเขาเกี่ยวข้องโดยตรงกับเครือข่ายสแกม แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบต่อปัญหานี้ รวมถึงการจัดการกับข้อกล่าวหาที่โยงใยถึงรัฐมนตรีในพรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai Party) ซึ่งเขาเป็นหัวหน้าพรรค . ความเกี่ยวโยงที่ถูกกล่าวถึงมีดังนี้ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อกล่าวหาและวิจารณ์จากฝ่ายค้าน สื่อ และนักเคลื่อนไหว ยังไม่มีการพิสูจน์ในชั้นศาลหรือสอบสวนอย่างเป็นทางการ)
การถูกพาดพิงในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบต่อปัญหาสแกม
- กดดันจากนานาชาติและภายในประเทศ: อนุทินถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าถูก "กดดันจากมหาอำนาจ" (เช่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้) และประชาชนในประเทศให้เร่งปราบสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชายแดน โดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุชาวเกาหลีใต้ถูกสแกมในกัมพูชาและสูญหาย ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดทางการทูตระหว่างไทย-กัมพูชา สื่อบางแห่งเรียกว่านี่เป็น "เผือกร้อน" ที่กระทบรัฐบาลอนุทินอย่างจัง และอาจนำไปสู่การยุบสภาเพื่อหลีกเลี่ยงการซักฟอกในสภา . เขายังถูกกล่าวหาว่า "โยนความรับผิดชอบ" โดยไม่จัดการอย่างจริงจัง ทำให้รัฐบาลถูกมองว่า "ใส่เกียร์ว่าง" ในปัญหานี้
- ประกาศวาระแห่งชาติแต่ถูกวิจารณ์ว่าช้า: อนุทินประกาศให้การปราบสแกมเป็น "วาระแห่งชาติ" และตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดเพื่อจัดการ (รวมถึงมาตรการตัดสัญญาณเน็ตและเงินในพื้นที่ชายแดน) แต่ถูกวิจารณ์ว่ายังไม่มีมาตรการรูปธรรมชัดเจน และรัฐบาล "รู้ทุกเรื่องแต่ไม่จัดการ" โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เตรียมเปิดชื่อนักการเมืองไทยที่เอี่ยวสแกม ซึ่งอาจกระทบความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ทำให้ไทยกลายเป็นพันธมิตรกับกัมพูชาแทน . นอกจากนี้ เขายังถูกเรียกร้องให้แจ้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (สหรัฐฯ) เกี่ยวกับเงื่อนไข 4 ข้อก่อนเจรจากัมพูชา (เช่น ถอนอาวุธหนัก เก็บทุ่นระเบิด ปราบสแกม จัดการชายแดน)
- กรณีวรภัค: อนุทินถูกพาดพิงเพราะวรภัค (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังจากโควต้าพรรคภูมิใจไทย) ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งใน 7 นักการเมืองไทยที่เอี่ยวสแกมในกัมพูชา (เช่น ภรรยารับเงินคริปโต 3 ล้านดอลลาร์จากเครือข่าย Benjamin Mauerberger และเคยเป็นที่ปรึกษาธนาคาร BIC ในกัมพูชาที่โยงกับฟอกเงิน) อนุทินสั่งให้วรภัคชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรและแถลงข่าว ซึ่งนำไปสู่การลาออกของวรภัคเมื่อ 22 ต.ค. 2568 เพื่อพิสูจน์ตัวเอง โดยอนุทินกล่าวว่า "เสียดาย" แต่ยืนยันจะไม่ตั้งใครแทน และจะลงโทษหากพบผิดจริง . นี่ถูกมองว่าเป็น "state capture" (การยึดครองรัฐโดยอาชญากร) และทำให้อนุทินถูกวิจารณ์ว่าปกป้องคนในพรรคหรือไม่
- นักการเมืองในครม. และพรรคภูมิใจไทย: ฝ่ายค้าน (เช่น พรรคประชาชน) ชี้ว่ารัฐบาลอนุทินมีนักการเมืองเอี่ยวสแกม (รวมถึงรองนายกฯ ในครม.) โดยรังสิมันต์ โรม และวิโรจน์ ลักษณ์ณาอดิศร จากพรรคประชาชน เปิดอภิปรายว่ามีการใช้มูลนิธิฟอกเงินสีเทา และเรียกร้องให้อนุทิน "ลากตัวออกมา" ก่อนสหรัฐฯ เปิดชื่อ ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลล่ม นอกจากนี้ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ (อดีตนักการเมือง) แนะอนุทินใช้โอกาสนี้ปราบสแกมในครม. เพื่อเพิ่มคะแนนนิยมให้พรรคภูมิใจไทย บางโพสต์บน X (Twitter) ยังวิจารณ์ว่าพรรคภูมิใจไทยจับมือกับสแกมเมอร์เพื่อล้มเพื่อไทย และอนุทินถูกใช้เป็นเครื่องมือในเกมการเมือง โดยพรรคก้าวไกล (ส้ม) กำลังตีรัฐบาลเรื่องนี้เพื่อลดเครดิตก่อนเลือกตั้งปี 2569
- อนุทินยืนยันว่ารัฐบาลจะร่วมมือกับนานาชาติ (เช่น ต่อสายประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และเข้าร่วม IPU โหวตปราบสแกม) และปฏิเสธข่าวลือว่ามีนักการเมือง 7 คนเอี่ยว โดยสั่งกระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบ แต่สื่อบางแห่งชี้ว่าปัญหานี้เป็น "ศึก 3 ก๊ก" ระหว่างเพื่อไทย ภูมิใจไทย และก้าวไกล ซึ่งอาจทำให้คะแนนนิยมของอนุทินและพรรคลดลง อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันจะลงโทษหากพบหลักฐาน โดย Whale Hunting (โครงการสื่ออิสระ) และสื่อต่างชาติยังคงรายงานว่าปัญหานี้โยงถึง "จักรวรรดิเงา" ของนักการเมืองไทย แต่ไม่กล่าวถึงอนุทินโดยตรง

No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.