Translate

Monday, February 6, 2012

30 คำถามที่ไม่ค่อยมีการถามตอบ ถึงประชาชนไทยที่รักทุกท่าน

ขอเดชะ ประชาชนไทยที่รักทุกท่าน

ผมจะเขียนบทความชิ้นนี้ ในรูปคำถามทั้งหมด เพื่อให้พี่น้องคนไทยทุกหมู่เหล่า ได้คิดตาม
หวังว่า คำตอบ จะทำให้ท่านเดินหน้าไปอีกหลายก้าว ในเชิงการเมือง เพื่อจะได้ตาสว่างยิ่งขึ้น
และกลายเป็นผู้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ชาติเราต้องการในที่สุด หรือท่านอาจจะรักสถาบันกษัตริย์ และระบอบการปกครองอย่างที่เป็นอยุ่ในปัจจุบันนี้ต่อไป.... ผมไม่ได้คิดเรียบเรียงนะครับ จะเขียนให้ครบห้าสิบคำถามภายหลัง แต่ตอนนี้เอาแค่สามสิบไปก่อนนะครับ  ลองคิดไปด้วย หรือหากมีคำถามชวนคิดมากกว่านี้  ก็กรุณาช่วยกันเติมได้นะครับ เชื่อว่ามีอีกมากมาย

  1. ประเทศไทย เป็นของประชาชนทุกคนโดยเท่าเทียมกัน หรือเป็นของกษัตริย์คนเดียว หรือเป็นของชนชั้นสูงส่วนน้อยที่เขาอ้างว่ามีอำนาจ มีคุณธรรม และมีบุญบารมีมากกว่าประชาชนทั่วไป?
  2. กษัตริย์ภูมิพลและบรรพบุรุษท่านใดเคยรบข้าศึก เคยปกป้องประเทศ เคยก่อตั้งประเทศอย่างแท้จริง?
  3. พฤติกรรมใดของกษัตริย์ คือพฤติกรรมที่เหมือนพ่อของท่านจริง ๆ? สิ่งใดที่ทำให้ประชาชน สมควรต้องเคารพรักและเทิดทูนไว้เหนือหัว?
  4. กษัตริย์ภูมิพลและครอบครัว แสดงอาการใดบ้าง ที่สรุปได้ชัดว่า รักประชาชน ห่วงใยประชาชน และทำประโยชน์ให้ประชาชน? ท่านมีหลักฐานใดชัดเจนที่ไมใช่แค่เขาเล่ามา?
  5. ในบรรดาพระราชกรณียกิจ และโครงการพระราชดำริที่ออกอากาศแทบทุกวัน ท่านได้รับประโยชน์โดยตรงใด ๆ บ้าง  ทำให้ชีวิตท่านดีขึ้นอย่างไรบ้าง มีหลักฐานใด?
  6. กษัตริย์ภูมิพลเหาะมาจากฟ้าพร้อมกับวงส์ตระกูลหรือไม่?
  7. ทำไมพิธีกรรมต่าง ๆ จึงเป็นการชูกษัตริย์เป็นเทวดา ตามลัทธิพราหมณ์  ทั้ง ๆ ที่กษัตริย์เป็นผู้ที่นับถือพุทธ และต้องพระราชทาน พระบรมราชูปถัมน์ให้กับศาสนานี้?
  8. การที่กษัตริย์ยกตัวเหนือสงฆ์ ด้วยการแต่งตั้งและให้ลาภยศแก่พระสงฆ์นั้น ส่งเสริมหรือทำลายศาสนาพุทธ ที่สอนให้ลด ละ และเลิก ความเป็นตัวตน การครอบครองสิ่งต่าง ๆ อันรวมถึงลาภ ยศ สรรเสริญ เพื่อเข้าสู่การก้าวไปสู่นิพพาน?
  9. ทำไมท่านต้องจงรักภักดีกับกษัตริย์? การจงรักภักดีนั้น ชูกันขึ้นมาเพื่อชาติ หรือเพื่อใคร?
  10. ใครเป็นคนสร้างความคิดว่า คนทั้งหลายต้องรัก ต้องภักดี แบบไม่ต้องคิดถึงเหตุผล เขาทำเพื่ออะไร? ท่านสมควรเชื่อตามนั้นหรือไม่? เพราะเหตุใด?
  11. กษัตริย์ไทยร่ำรวยที่สุดในโลก ในบรรดาราชาทั่วโลก แล้วทำไมจึงทรงสอนให้ประชาชนอยู่อย่างพอเพียง? กษัตริย์ไทยทำตัวอย่างไรที่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าอยู่อย่างพอเพียง?  การบีบหลอดยาสีฟัน เป็นภาพความจริง หรือแค่ภาพเล็ก ๆ ท่ามกลางภาพความหรูหรา เช่น เครื่องบิน รถ ปราสาท อาหารการกิน ฯลฯ ของคนในราชสำนัก?
  12. ทำไมประเทศที่กษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก จึงมีกะหรี่เต็มทั่วทุกจังหวัด มีนักท่องเที่ยวเพื่อกิจกรรมทางเพศ เข้าประเทศไทยเพื่อเสวยสุขจากเด็กหญิง เด็กชาย และหนุ่มสาวของประเทศอย่างคับคั่ง?
  13. ทำไมมีการฆ่าประชาชนในประเทศไทยในช่วงรัชกาลที่เก้า จนมีคนตายมากมาย หลายครั้ง นับตั้งแต่ตุลาคม 14-16 พฤษภาคม 2535 เมษายน 2552 และเมษา-พฤษภา 2553 โดยคนฆ่าไม่ได้ถูกพิจารณาและลงโทษเลย แถมผู้เกี่ยวข้องจำนวนหลายคน โดยเฉพาะในกลุ่มทหารและผู้ใกล้ชิดกับวัง ต่างได้ดิบได้ดีหลังความรุนแรงแทบทุกครั้ง?
  14. ทำไมเราบอกว่า ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอำนาจเป็นของประชาชน แต่รัฐบาลที่ประชาชนเลือกเข้าไปหลายครั้ง ถูกทหารแย่งอำนาจแบบหน้าตาเฉย แล้วก็มีความชอบธรรม เพียงแค่กษัตริย์ลงนาม? ความผิดใด ๆ ก็ได้รับการพระราชทานอภัยโทษหมด?  แปลว่ากษัตริย์ร่วมกับทหารและนักการเมืองมักง่าย ปล้นอำนาจประชาชน ใช่หรือไม่ใช่?
  15. ทำไมทหารที่อยู่ใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ คือกษัตริย์และพระราชินี จึงออกมามีส่วนในกิจกรรมการเมือง จนทำให้มีการยิงหัวประชาชนมือเปล่านับร้อยคน  และกษัตริย์ไม่ได้แสดงความเสียพระทัยหรือให้ข้อคิด เตือนสติ หรือห้ามปรามใด ๆ เลย?  นี่ใช่ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ไทยหรือไม่ใช่?
  16. กษัตริย์ภูมิพล ถือศีลห้า ครบหรือไม่?  ท่านทราบได้อย่างไร?
  17. ในทศพิธราชธรรม สิบข้อนั้น มีสิ่งใดบ้าง ท่านทราบหรือไม่ว่าเหตุใดคนถึงอ้างว่ากษัตริย์ไทยเป็นธรรมราชา?  ประเทศที่มีธรรมราชา ควรมีคุณลักษณะอย่างประเทศไทยหรือ?
  18. เอาล่ะ ช่วยทบทวนความจำให้นะครับ ทศพิธราชธรรมประกอบด้วย ๑. ทาน ๒. ศีล ๓. บริจาค ๔. ความซื่อตรง ๕. ความอ่อนโยน ๖. ความเพียร ๗. ความไม่โกรธ l ๘. ความไม่เบียดเบียน l ๙. ความอดทน l ๑๐. ความเที่ยงธรรม   ท่านคิดว่า กษัตริย์ภูมิพล ถือครบสิบข้อนี้หรือไม่ ดีเพียงใด? ทราบได้อย่างไร?
  19. กษัตริย์อยู่เหนือการเมือง เป็นวาทกรรมที่หลอกลวง หรือเป็นจริง?  อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ต้องผ่านด้วยลายเซ็นต์ของกษัตริย์ทุกครั้ง ใช่หรือไม่?
  20. มีคนกล่าวว่า รัฐธรรมนูญการปกครองประเทศไทย มีพัฒนาการเชิงเป็นประชาธิปไตยน้อยลง หรือหมกเม็ดเพื่อริดรอนเสรีภาพ และความเสมอภาค แล้วก็สร้างความแตกแยกรุนแรงในชาติไทยเพิ่มยิ่งขึ้นในระยะหลังนี้ เพราะอะไร?  บางคนบอกว่า เพราะประชาชนรู้ความจริง และความกลัวก็ทำให้คนสำคัญ ๆ ของชาติต้องออกมาใช้อำนาจเผด็จการ ผ่านการสุมหัวกันของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ทหาร ศาลที่คณะรัฐประหารตั้ง สื่อที่เอียงขวาและอิงกับพ่อค้าและผู้ดีที่ได้ประโยชน์จากการทำธุรกิจเคียงข้างหรือได้ผลประโยชน์ร่วมกับเจ้า ถึงกับต้องสั่งฆ่าประชาชน   ท่านเห็นด้วยหรือไม่? เพราะอะไร?
  21. เกิดมาชาตินี้ ท่านเคยเจอกษัตริย์ตัวเป็น ๆ กี่ครั้ง?  ท่านได้ทำอะไรที่ให้ประโยชน์กับท่านหรือครอบครัว หรือคนในชุมชนท่านบ้าง? คิดเป็นเงินได้กี่บาท? คิดเป็นความเจริญได้กี่กิโลกรัม?
  22. การมีกษัตริย์อยู่ ให้คุณอะไรแก่ประเทศชาติ ที่จับต้องได้ อยู่บนหลักเหตุผลมากกว่าอารมณ์ และมีหลักฐานชัดเจนที่ท่านเห็นและรับรู้กับหู กับตา?
  23. หากกษัตริย์หมดไปจากสังคมไทย จะมีอะไรเกิดขึ้นที่เป็นผลร้ายที่แก้ไขไม่ได้?  คนไทยขาดกษัตริย์ไม่ได้จริง ๆ หรือ? ให้คิดทั้งทางการปกครอง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา และแม้แต่วิถีชีวิตประจำวันของท่าน และระบบราชการในบ้านในเมืองระดับต่าง ๆ?
  24. หากกษัตริย์หมดไป หรืออำนาจกษัตริย์หมดไป ประเทศไทยจะได้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง?  
  25. ที่บอกว่ากษัตริย์ไทยทรงพระปรีชาสามารถด้านดนตรี กีฬา เรื่องน้ำ เรื่องเขื่อนฝายกั้นน้ำ เรื่องการพัฒนา เรื่องเทคโนโลยี ฯลฯ  ท่านเห็นด้วยหรือไม่? มีหลักฐานและการตรวจสอบใด ๆ หรือไม่? ท่านทราบได้อย่างไร?
  26. ทำไมคนบางกลุ่มถึงอ้างว่าเขาจงรักภักดีกษัตริย์นักหนาและมากกว่าคนอื่น เขารู้ได้อย่างไร เรารู้ได้อย่างไร   และพวกเหล่านั้น ได้ประโยชน์มากกว่าพวกเราหรือไม่ อย่างไร?  
  27. ท่านทราบไหมว่ากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของพระราชา เสียภาษีเท่าไหร่  เอาเงินภาษีประชาชนเข้าไปใช้ปีละเท่าไหร่  และเงินบริจาคแต่ละปีเป็นเงินเท่าไหร่ กษัตริย์และราชวงศ์บริจาคเงินและทรัพย์สินในยามชาวบ้านเดือดร้อนเท่าไหร่?  พฤติกรรมของพ่อของแผ่นดิน สรุปได้จากความรักความใสใจตรงนี้ ได้มากน้อยแค่ไหน?
  28. กษัตริย์ไทยดีจริงแค่ไหน  ทำไมต้องมีการบังคับให้ยืนเคารพในโรงหนัง ทำไมต้องมีซุ้มเต็มบ้านเมือง ทำไมต้องจัดงานต่าง ๆ อย่างยิ่งใหญ่เพื่อเชิดชู ทำไมต้องแสดงภาพการมีคนบริจาคเงินแทบทุกวัน และทำไมจึงต้องห้ามประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ หรือละเมิดไม่ได้เลย?
  29. ความดีของกษัตริย์ภูมิพล วัดได้จากตรงไหน? ท่านมีเหตุผลและหลักฐานใดบ้าง?
  30. เมื่อมีกษัตริย์ ก็มีชนชั้น และการแบ่งชนชั้น  ทำให้คนเหยียดหยามคนที่ตนมองว่าต่ำกว่า  ซึ่งไม่ใช่สิ่งดี  หากไม่มีกษัตริย์ ปัญหาใด ๆ ของชาติจะลดหรือหายไปได้ง่ายหรือเร็วขึ้น? 




  31.  
______________________________________________________________________________




 
 
 
 

Saturday, February 4, 2012

ลองตัดเกรดการทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์กันไหมครับ?



ผมได้นำเสนอรายการสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปลายปีที่แล้ว ช่วงย่างเดือนที่สามหลังการรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ  ถึงวันนี้ ผ่านมาเกือบหกเดือนของการทำงานแล้ว  รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำอะไรได้ดีไม่ดีขนาดไหน พี่น้องลองให้คะแนนดูนะครับ ส่วนการจะให้เกรดอย่างเป็นธรรม ก็ต้องดูสิ่งที่เราคาดหวังให้รัฐบาลฯ ทำ  รายการเร่งด่วนที่ผมเสนอเมื่อหกเดือนที่แล้ว  คงเป็นกรอบสำหรับการตัดเกรดได้ดีพอสมควรนะครับ  

การเป็นประชาชนในระบอบประชาธิปไตยที่ดี เราต้องรู้จักตรวจสอบรัฐบาลให้เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่มองแค่ภาพผิวเผินหรือใช้ความรู้สึกมากกว่าการแยกรายละเอียดออกมาเป็นส่วน ๆ เพื่อประเมิณ  และกรอบการตัดสิน สิบประการ ที่ผมนำเสนอ ท่านสามารถแต่งเติมได้นะครับ  

Must-Do List สิ่งต้องทำเร่งด่วนของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์


Must-Do List สิ่งต้องทำเร่งด่วนของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์สำหรับคุณยิ่งลักษณ์และผู้เกี่ยวข้อง 

ผู้นำไม่ใช่คนที่ต้องทำให้คนทุกคนรักและชื่นชม หรืออ่อนน้อมถ่อมตนและยอม
แต่เป็นผู้มีอิทธิพลและอำนาจในการชี้นำ บงการ และสั่งการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิดขึ้น
การเอาใจเจ้า การทำตัวดี น่าเอ็นดู ซื้อใจเหี้ยไม่ได้
การเห็นใจทหาร ซื้อใจพวกเขาไม่ได้ ที่สำคัญ ซื้อความจงรักภักดีจากพวกเขามาไม่ได้
ดังนั้น ขอแนะนำว่า รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ควรจะต้องทำสิบสิ่งต่อไปนี้อย่างเร่งด่วน
  1. ตั้ง คณะกรรมการศึกษาเรื่องเหตุน้ำท่วมอย่างด่วน เก็บหลักฐาน และรายงานอย่างเอิกเกริก แล้วเอาผิดผู้เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด สั่งพักราชการหากมีเค้า และตั้งทีมกฎหมายฟ้องร้องให้ถึงที่สุด ในข้อหาก่อการร้ายและอาชญากรรมระดับชาติหรือเป็นกบถ
  2. ตั้ง ทีมงานฉพาะกิจแถลงข่าวรัฐบาลด้านต่าง ๆ ใช้ พรก. ภัยฯ ขอเวลาทีวีและวิทยุเร่งแก้ข้อกล่าวหาอย่างจริงจัง อย่าปล่อยให้เกิดการใส่ร้าย ยุแหย่ และบ่อนทำลายอยู่อย่างสบายใจหรือลอยนวล
  3. ตั้งคณะกรรมการพิจารณาแก้ปัญหาประเทศหลังน้ำลด จัดทัพเตรียมงานและทำงานอย่างแข็งขัน เพิ่มเติมจากงานปกติของกระทรวงต่าง ๆ
  4. ตั้ง ทีมงานศึกษาเรื่องผลความคืบหน้าของคดีทางการเมืองและการช่วยเหลือเหยื่อ ทางการเมืองหลังปี 49 ทั้งที่บาดเจ็บ ทุพลภาพ สูญหาย และเสียชีวิต แล้วเริ่มปล่อยนักโทษทางการเมืองอันเป็นผลจากการชุมนุมปี 52-53 รวมทั้งคดีหมิ่นฯ ทุกกรณี หากจะมีการพิจารณาความ ก็ให้โปร่งใสเป็นไปตามมาตรฐานสากลและหลักรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีประกันไว้เพียงพอ
  5. นำ ข้อเสนอของนิติราษฎร์เข้าหารือในสภา และหาโอกาสใช้เสียงส่วนใหญ่ดำเนินการเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญทันที และอาจจะให้มีคณะกรรมการศึกษาปัญหาทางการเมือง และสอบถามประชาชน เพื่อนำเสนอเป็นรากฐานของการแก้รัฐธรรมนูญ เป็นหลักการให้ สสร. นำไปประกอบการพิจารณา เป็นการให้ความชอบธรรมสำหรับกรอบการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฎิวัติการปกครอง
  6. ลงนามสัตยาบรรณกับ ICC ทันที
  7. รื้อหรือดำเนินคดีกับผู้มีส่วนร่วมฆ่าประชาชนในปี 2552-3 ทันที
  8. จัดการสะสางคดีทุจริตของรัฐบาลที่แล้วมาอย่างจริงจัง เด็ดขาด อย่าให้คนชั่วลอยนวล
  9. ขยายเวลานายกพบประชาชน เป็นหนึ่งชั่วโมง บอกความจริงกับประชาชน โดยให้มีรัฐมนตรีสำคัญ ๆ เข้าร่วมแถลงการณฺ์ด้วยตามสมควร
  10.  จัดการ กับสื่อที่อาศัยจังหวะรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ใส่ร้ายป้ายสีและปฎิบัติตนผิดกฎหมายและจรรยาบรรณสื่อ แล้วดำเนินคดีหรือลงโทษในทุกกรณีที่กฎหมายอำนวยให้ ยาพิษร้ายที่สุดของสังคมไทย คือสื่อที่ไร้จรรยาบรรณ ที่สร้างความแตกแยก เกลียดชัง ไร้เหตุผล ทำลายล้าง และเป็นภัยกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ฟังการขยายความแต่ละประเด็นในตอนท้าย ๆ ของคลิปรายการนะครับ
*Seeds of Democracy ประจำวันที่ 28-10-54
“Exit สุดท้ายสู่ “ความรอดของราชวงศ์” มันผ่านไปแล้ว ไฮเวย์ข้างหน้าเส้นนี้…ไปเชียงรายแบบไม่มี U-Turn”
http://www.mediafire.com/?9qa2k93ja75zs6o
http://www.4shared.com/audio/0nZ08ngs/S … -54_E.html
_________________

Friday, February 3, 2012

กระทู้ของประชาชนถึง พณฯ นายกรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาไทย

ข้างล่างนี้ คือจดหมายที่ได้ส่งผ่านเลขานุการนายกรัฐมนตรี เมื่อปลายปีที่แล้ว
บัดนี้ เรายังไม่ได้รับคำตอบ 
พี่น้องลองทบทวนนะครับ ว่าคำถามเหล่านี้ นักการเมืองสมควรถูกถาม และหัดตอบกันบ้างหรือไม่
นี่คือส่วนหนึ่งของการกระตุ้นการปฎิวัติประชาชน และหากท่านอยากได้แนวคิดเรื่องการปฎิวัติประชาชน
ลองรับฟังคลิปรายการย้อนหลังที่พูดถึงจดหมายฉบับดังกล่าว และชวน "ล้มเจ้า" อย่างสันติ
สามารถกดรับฟังได้เลย โดยไม่ต้องดาวน์โหลดนะครับ



--------------------------------------------------------------------------------------------------------
พณฯ ประธานรัฐสภา และสมาชิกรัฐสภาทุกท่านThe Thai Alliance for Human Rights
ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน
Website: http://thai-ahr.org        
Email:
president@thai.ahr.org

24  พฤศจิกายน 2554

เรื่อง กระทู้ของประชาชนถึง พณฯ นายกรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาไทย

เรียน พณฯ นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ในภาวะที่ประชาชนตื่นตัวเต็มที่่เรื่องประชาธิปไตย โดยเชื่อว่ามันเป็นระบอบการปกครอง ที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ดังนั้น การเมืองและการปกครองต้องเป็นไปโดยความเห็นชอบ ของประชาชนส่วนใหญ่ ที่ได้เลือกตัวแทนของพวกเขาไปปฎิบัติหน้าที่แทน  และผลประโยชน์จากการบริหารบ้านเมือง
ใด ๆ ทั้งมวล ต้องเป็นไปเพื่อมวลมหาชนทุกคน ไม่ใช่เพื่อกลุ่มชนหนึ่งใดหรือชนชั้นใด ๆ โดยเฉพาะ  ความตื่นตัวอันเห็นได้ชัดหลังการรัฐประหาร ปี พ.ศ. 2549 นั้น ปรากฎชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย จากการที่คนไทยในประเทศไทยและทั่วโลกได้รวมตัวกัน เพื่อมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยมีการศึกษา แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และทำกิจกรรมทางการเมืองร่วมกันต่อเนื่องมานับครึ่งทศวรรษ  และนั่นเป็นที่มาของคำถาม ที่่พี่น้องไทยในนามกลุ่มภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (The Thai Alliance for Human Rights) และพี่น้องไทยในเครือข่ายสังคมอินเตอร์เน็ต (social networks) ที่จักขอถามเป็นกระทู้ให้ท่านนายกรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำถาม ได้ร่วมกันตอบหรือถกเถียงเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และแนวทางสำหรับการแก้ปัญหาของประเทศชาติที่เรื้อรังและเป็นพิษร้ายอันรุนแรงมาถึงปัจจุบัน ดังต่อไปนี้

หนึ่ง ระบอบประชาธิปไตย ในความหมายของท่านผู้ทรงเกียรติ หมายถึงอะไร ตรงกับคำนิยามของพวกเราหรือไม่ ที่ว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน การใช้อำนาจต้องเป็นไปอย่างชอบธรรม โดยตัวแทนของประชาชนเท่านั้น และจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของปวงชนทุกหมู่เหล่า  ทั้งนี้ จักต้องอยู่ บนหลักการแห่งการเคารพเสรีภาพตามหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน บนความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์ ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และการสร้างสันติสุขแห่งหมู่ชน ด้วยวิถีแห่งภราดรภาพ

สอง การรัฐประหาร และการใช้อำนาจทางตุลาการล้มล้างอำนาจบริหารและนิติบัญญัติของประชาชน เป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่ สังคมไทยควรยอมรับให้มีการก่อการรัฐประหารและตุลาการภิวัฒน์ดังที่เป็นมาอีกหรือไม่  หากไม่ พวกท่านจะสร้างหลักประกันใด ๆ ว่าสองสิ่งนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาดในปัจจุบันและอนาคตของประเทศไทย

สาม หากเกิดกิจกรรมอันไม่เป็นประชาธิปไตยสองข้อดังกล่าวในข้อสอง แล้วกษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ท่านจะทำประการใด และจะทำให้สิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยสองสิ่งนี้ พ้นจากการเป็นมลทิน อันแปดเปื้อน สถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างไร

สี่ กฎหมายระดับต่าง ๆ ที่ คมช. ได้ร่างขึ้นหลังการรัฐประหาร และองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่ถูกแต่งตั้งตามกฎหมายดังกล่าว เป็นกลไกที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ใช่หรือไม่  และพวกท่านคิดจะทำประการใดกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายที่ขัดกับหลักในคำถามข้อหนึ่ง และองค์กรที่มีที่มาจากขบวนการรัฐประหารทั้งหลาย จะทำเมื่อใด และอย่างไร

ห้า กฎหมายอาญา มาตรา 112  เป็นกฎหมายที่มีปัญหาในเชิงหลักการที่ขัดกับหลักความเสมอภาค และการมีเสรีภาพด้านต่าง ๆ ตามหลักสากลแห่งสิทธิมนุษยชน อันเป็นสิ่งที่ได้รับการประกันไว้ ทั้งในระดับสากล และในรัฐธรรมนูญของไทย  แถมยังมีปัญหาในเชิงปฎิบัติ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เอง และต่อประชาชนที่แสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย ตามหลักการที่ระบุไว้ในคำถามข้อที่หนึ่ง  แถมความรุนแรงของการลงโทษ กลับหนักกว่าคดีอาญาทั่วไปยิ่งนัก แม้แต่ชายชราวัยนับเจ็ดสิบปี ก็ถูกพิพากษาจำคุกนับ 20 ปี โดยไม่ได้รับการประกันตัวในระหว่างการสอบสวนและพิจารณาคดีเลย  และแทบทุกคนที่ต้องข้อกล่าวหามาตรานี้ มักไม่ได้รับการประกันตัว  พวกท่านคิดจะทำประการใดกับกฎหมายอาญามาตรานี้รวมถึงัฐธรรมนูญมาตราที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งหลาย อันขัดกับหลักเสรีภาพและความเสมอภาคตามคำนิยามสากลของระบอบประชาธิปไตยข้างต้น

หก ประเทศไทยสมควรลงสัตยาบรรณ เพื่อยอมรับให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) มีสิทธิในการพิจารณาคดีความที่เกี่ยวกับการละเมิดทางอาญาต่อชีวิตและทรัพย์สินมหาชน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแอบอ้างใช้อำนาจรัฐออกมาฆ่าฟันประชาชนได้โดยไม่ถูกชำระสะสางโทษได้อีก พวกท่านเห็นด้วยหรือคัดค้าน เพราะเหตุใด

เจ็ด หลักกฎหมายอาญาตามมาตรฐานสากล ระบุว่า ทุกคนมีิสิทธิพื้นฐานในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ และอย่างยุติธรรม โดยไม่ถูกให้รับโทษเสมือนผู้กระทำผิดที่ถูกตัดสินครบกระบวนความแล้ว คือให้ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน  และด้วยเหตุนี้ การประกันตัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยประกันสิทธิพื้นฐานดังกล่าว  ทำไมในประเทศไทย ยังมีคดีความที่ผู้ถูกกล่าวหา ไม่ได้รับการประกันตัวจำนวนมากมาย ในฐานะผู้แทนของปวงชน ท่านคิดเห็นอย่างไร และจะทำประการใด

แปด น้ำท่วมประเทศในปี 2554 นี้ ประชาชนจำนวนมากเชื่อว่า มีข้อมูลมากพอจะระบุได้ว่า มีขบวนการทำให้น้ำท่วม อันเป็นการก่อการร้าย และฆาตกรรมชีวิตผู้คนเกินครึ่งพัน และ่ทำให้เกิดความเสียหาย อันมหาศาลที่สุด ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ภัยพิบัติของประเทศ  พวกท่านจะดำเนินการประการใด เพื่อให้มีการสอบสวนหาผู้มีส่วนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้ แล้วมีการลงโทษตามกฎหมายบ้านเมืองให้ถึงที่สุด

เก้า  การแก้ปัญหาด้วยการขออภัยโทษ เป็นสิ่งที่ดีสำหรับกรณีความผิดเล็กน้อยหรือการถูกใส่ร้ายทางการเมือง โดยที่ประชาชนผู้ใฝ่หาประชาธิปไตย ด้วยวิถีที่ได้รับการรับรองจากรัฐธรรมนูญและหลักสากลนั้น ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างชัดเจน  แต่การก่อการกบถด้วยการล้มรัฐธรรมนูญของประชาชน การที่ผู้มีอำนาจและผู้ใช้อำนาจรัฐกระทำการผิดพลาด จนทำให้ประชาชนถูกฆ่าายอย่างโหดเหี้ยมนั้น เป็นสิ่งที่เลวร้ายเกินจะปล่อยให้จบไปโดยไม่มีการชำระสะสางคดี และไม่ควรได้รับการอภัยโทษอย่างยิ่ง  รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ มีนโยบายอย่างไรต่อคดีความที่เกี่ยวเนื่องด้วยฆาตกรในสายตามวลชน อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายทหารที่มีส่วนฆ่าฟันประชาชน แกนนำพันธมิตรที่ยึดทำเนียบและสนามบิน ตลอดจนบรรดาผู้ก่อการร้ายชุดดำที่ถูกกล่าวหาแต่จับตัวมิได้โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์

ในฐานะประชาชนผู้เสียภาษีอากรทั้งทางตรงและทางอ้อม  และในฐานะพลเมืองที่รักในประเทศไทย พวกเราขอให้ พณฯ นายกรัฐมนตรี และพณฯ ประธานสภา ได้ดำเนินการให้มีการตอบคำถามของประชาชนผู้ลงนามต่อท้ายจดหมายฉบับนี้ และผู้ที่ลงนามสนับสนุนจดหมายฉบับนี้ ไว้ ณ http://thai-ahr.org/petitions/ ในวันเวลาที่เหมาะสมอันใกล้นี้  พวกเราจะรอคอยคำตอบจากพวกท่านผ่านสื่อสารมวลชนต่าง ๆ ด้วยใจจดจ่อ

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และผู้ลงนามต่อท้าย ณ http://thai-ahr.org/petitions/

Wednesday, February 1, 2012

1911 การปฎิวัติของ ดร. ซุน ยัด เซ็น



1911 การปฎิวัติของ ดร. ซุน ยัด เซ็น

ภาพยนตร์ที่ต้องดู ซุน ยัด เซ็น และคณะก่อการปฎิวัติเริ่มทำการจากเมืองนอก ด้วยกลไกและเงื่อนไขการต่อสุ้ที่ไม่ต่างจากปัจจุบันมากมายนัก  พวกเขาชนะได้อย่างไร?  เราจะเอาอะไรมาเป็นบทเรียนได้บ้าง?

ตอนที่หนึ่ง http://www.dailymotion.com/video/xo8ow4_1911-yyy-y-yyyy-past-1_shortfilms#rel-page-under-4

ตอนที่สอง http://www.dailymotion.com/video/xo8xmj_1911-yyy-y-yyyy-past-2_shortfilms#rel-page-under-3

ตอนที่สาม http://www.dailymotion.com/video/xo92nu_1911-yyy-y-yyyy-past-3_shortfilms#rel-page-under-2

ตอนที่สี่ http://www.dailymotion.com/video/xo99y3_1911-yyy-y-yyyy-past-4_shortfilms#rel-page-under-1


ประวัติของนักปฎิวัติตัวจริง ซุน ยัด เซ็น
ขอบคุณการค้นคว้าของเมเนเจอร์


บุรุษผู้มีคำว่า "ปฏิวัติ" อยู่ในสายเลือด (1)
9 กันยายน 2547 08:10 น.
       หากบอกคนจีนว่ามาถึง 'หนานจิง' แล้ว ไม่ได้ไปเยือน สุสานซุนจงซาน (中山陵) แล้วละก็คงโดนหาว่ามาไม่ถึง หนานจิง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จัก 'ซุนจงซาน' สถานที่แห่งนี้คงจะไม่น่าดึงดูดใจเท่าไรนัก
        ..........................
        ซุนเหวิน (孙文) ซุนอี้เซียน (孙逸仙) ซุนเต๋อหมิง (孙德明) ซุนตี้เซี่ยง (孙帝象) จงซานเฉียว (中山樵) - - - ทั้งหมดนี้เป็นชื่อของบุคคลเดียวกันที่คนไทยรู้จักกันในนามของ ดร.ซุนยัดเซ็น
       ซุนยัดเซ็น (ชื่อในจีนกลางคือ "ซุนจงซาน" ส่วนชื่อในวัยเด็กคือ "ซุนเหวิน") ผู้ได้ชื่อว่าบิดาว่าเป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยจีน เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ.1866 ในครอบครัวชาวนาที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนักใน หมู่บ้านชุ่ยเฮิง (翠亨) อำเภอเซียงซาน มณฑลกวางตุ้ง ซุนยัดเซ็น เริ่มใช้แรงงานมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ จนเมื่อ 10 ขวบจึงมีโอกาสได้เรียนหนังสือในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
    
        การต้องทำไร่นา ช่วยครอบครัวตั้งแต่เล็ก เป็นเหตุให้ ซุนยัดเซ็น นั้นเข้าใจความลำบากยากเข็ญของชาวนาเป็นอย่างดี
    
        ทั้งนี้ตั้งแต่ยังเด็ก ซุนยัดเซ็น ที่เกิดหลังกบฎไท่ผิง** ถูกปราบเพียง 2 ปี มีความสนใจในเรื่องราวของบ้านเมืองมาก โดยเฉพาะในตัวของ หงซิ่วฉวน (洪秀全) ผู้นำของ กบฎไท่ผิง กบฎชาวนาที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน โดยซุนเหวินนั้นยกให้ หงซิ่วฉวน เป็น "วีรบุรุษผู้ต่อต้านชิงคนที่ 1" และ ยกตัวเองให้เป็น "หงซิ่วฉวน คนที่ 2"
    
        ในปี ค.ศ.1879 เมื่ออายุได้ 13 ย่าง 14 ปีซุนยัดเซ็น มีโอกาสตามมารดาไปหา ซุนเหมย (孙眉) พี่ชาย ที่เมืองโฮโนลูลู บนเกาะฮาวาย และมีโอกาสได้เรียนหนังสือในโรงเรียนฝรั่ง นับได้ว่าซุนยัดเซ็นเป็นคนจีนกลุ่มแรกๆ ที่มีโอกาสไปศึกษาต่อยังตะวันตก และรับเอาอิทธิพลจากวัฒนธรรมของชาวตะวันตกมาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งส่งผลมายังความไม่เชื่อถือนักต่อลัทธิขงจื๊อแบบคนจีนทั่วไป
       ความใกล้ชิดต่อคริสตศาสนา และห่างไกลจากลัทธิขงจื๊อซึ่งครอบครัวยึดถือของซุนยัดเซ็น ทำให้พี่ชายกังวลจนถึงขั้นแจ้งข่าวให้ทางบ้านทราบ และส่งตัวน้องชายกลับบ้าน
    
       เมื่อเดินทางจากเมืองศิวิไลซ์กลับมาถึงบ้าน เมื่อ ค.ศ.1883 ซุนยัดเซ็น ก็ประกอบวีรกรรมห่ามขึ้นอย่างหนึ่งคือไปหักแขนเทวรูปไม้ที่ชาวบ้านว่าศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน ขณะที่ซุนเหวินเห็นว่าเทวรูปไม้ เป็นเพียงวัตถุไร้สาระที่ชาวบ้านงมงายอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมื่อเกิดเป็นเรื่องวุ่นวาย เนื่องจากชาวบ้านโกรธแค้นอย่างมาก บิดาของซุนยัดเซ็นจึงต้องแก้ปัญหาด้วยการส่งตัวลูกชายไปศึกษาต่อที่ฮ่องกง
    
       ที่ฮ่องกง ซุนยัดเซ็น เข้าศึกษาต่อในควีนสคอลเลจ โดยในเวลาต่อมาก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ แต่ซุนยัดเซ็นก็ยังยอมแต่งงานกับเจ้าสาวที่ทางบ้านเลือกให้ โดยในปี ค.ศ.1892 ซุนยัดเซ็น ก็จบการศึกษาจากวิทยาลัยการแพทย์ตะวันตกในฮ่องกง ด้วยคะแนนจากการสอบไล่เป็นอันดับหนึ่ง และกลายเป็น ดร.ซุนยัดเซ็น
    
       หลังเรียนจบ ดร.ซุน ก็เปิดคลีนิกแพทย์แผนตะวันตกขึ้นที่มาเก๊า และ กวางเจา (กว่างโจว) โดยในช่วงเวลานี้เองเขาก็เริ่มต้นชีวิตของการเคลื่อนไหวทางการเมือง
    
       ในปี ค.ศ.1894 ระหว่างการขึ้นไปยังปักกิ่งเมืองหลวง ดร.ซุน ได้ส่งจดหมายถึง หลี่หงจาง (李鸿章) ขุนนางคนสำคัญของราชสำนักชิงผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เทียนจินเพื่อหารือเรื่องบ้านเมือง โดย ดร.ซุน ต้องการเสนอแนวทางการพัฒนาจีนให้กับหลี่หงจาง แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
    
       เมื่อถูกปฏิเสธ ดร.ซุน จึงตระหนักดีว่า การเปลี่ยนแปลงจีนให้หลุดจากการปกครองของราชวงศ์ชิง นั้นมิสามารถทำได้ด้วยวิธีอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่จำเป็นต้องกระทำการแบบ "พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน" อันหมายถึง "การใช้กำลังปฏิวัติ" ดังนั้น ในฤดูหนาว ปีเดียวกัน ดร.ซุน จึงเดินทางกลับไปยังฮาวาย รวบรวมชาวจีนโพ้นทะเลผู้รักชาติขึ้น 112 คน และตั้งขึ้นเป็น "สมาคมซิงจงฮุ่ย (兴中会)" ที่มีความหมายว่า "ฟื้นชีวิตประเทศจีน" ขึ้น ทั้งนี้เงินทุนสนับสนุนสมาคมดังกล่าวก็มาจาก ซุนเหมย นักธุรกิจชาวจีนผู้ร่ำรวย พี่ชายของ ดร.ซุน นั่นเอง
       อาจนับได้ว่า ซิงจงฮุ่ย เป็นหลักไมล์แรกๆ ของ นายแพทย์ผู้นี้ ในการปฏิวัติอย่างจริงๆ จังๆ เนื่องจากสมาชิกของสมาคมนี้ปฏิญาณตนว่า "ต้องขับแมนจู กอบกู้การปกครองของชาวจีนด้วยการสถาปนาสาธารณรัฐขึ้น" และในปีถัดมา (ค.ศ.1895) ดร.ซุน ก็กลับมาสร้างสาขาของสมาคมซิงจงฮุ่ยขึ้นที่ฮ่องกง
    
       ด้วยความรวดเร็ว ซิงจงฮุ่ย วางแผนการปฏิวัติในทันที และกำหนดเอาวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ.1895 เป็นวันลงมือ โดยแผนการดังกล่าวนั้น ใช้กำลังคน 3,000 คน เพื่อยึดเมืองกวางเจา เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง เพื่อใช้เป็นฐานในการขยายการปฏิวัติต่อไป โดยในการปฏิวัติดังกล่าว ลู่เฮ่าตง เพื่อนสนิทตั้งแต่ยังเด็กผู้เชื่อมั่นในอุดมการณ์ปฏิวัติของ ดร.ซุน ได้ออกแบบ ธง "ฟ้าสีน้ำเงินกับดวงตะวันสีขาว" ไว้ใช้ด้วย (ในเวลาต่อมาธงดังกล่าวได้กลายเป็นธงชาติของสาธารณรัฐจีน)
    
       อย่างไรก็ตาม การลงมือปฏิวัติครั้งแรกของ ดร.ซุน กลับล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า เนื่องจากมีคนทรยศ นำข่าวไปบอกกับเจ้าหน้าที่ของราชสำนักชิงก่อน ซึ่งก็ทำให้ผู้ร่วมปฏิวัติถูกประหารชีวิตไป 47 คน รวมถึง ลู่เฮ่าตง ด้วย ส่วนดร.ซุน ซึ่งไหวตัวทันก่อน จึงหนีประกาศจับของราชสำนักชิงไปหลบไปเกาะฮ่องกง เพื่อผ่านไปยังประเทศญี่ปุ่น
    
       หลังจากตั้ง สาขาซิงจงฮุ่ย ขึ้นที่ญี่ปุ่น เดือนมิถุนายน ค.ศ.1896 ดร.ซุน ก็เดินทางต่อไปยังสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ เพื่อศึกษาแนวคิดทางการเมืองของประเทศต่างๆ ในสหรัฐฯ และ ยุโรป โดยได้รับความช่วยเหลือจาก ดร.เจมส์ แคนต์ลี (Dr. James CantLie) อาจารย์ชาวอังกฤษที่เคยสอนเขา ณ วิทยาลัยการแพทย์ในฮ่องกง และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากพี่ชายคนเดิม
    
       วันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ.1896 ระหว่างการเดินไปตามท้องถนนในกรุงลอนดอน ดร.ซุนก็ถูกลักพาตัว เข้าไปยังสถานทูตจีนประจำกรุงลอนดอน เพื่อส่งตัวลงเรือจากลอนดอนกลับไปยังจีนเพื่อ 'ตัดหัว' เนื่องจากราชสำนักชิงนั้นตั้งค่าหัวของเขาไว้ 7,000 ปอนด์ ในฐานะกบฎ หรือไม่ถ้าการลอบพาตัว ดร.ซุน กลับไปจีนไม่สำเร็จก็จะสังหารเสียที่ สถานทูตจีนที่ลอนดอนนั้นเอง
    
       อย่างไรก็ตามด้วยความช่วยเหลือจาก พนักงาน ชาวอังกฤษในสถานทูต ที่ส่งข่าวไปให้ ดร.แคนต์ลี อาจารย์แพทย์ผู้ชิดเชื้อกับ ดร.ซุน ดร.แคนต์ลีก็ทำการช่วยเหลือศิษย์ทุกวิถีทาง โดยทางหนึ่งติดต่อไปยัง สก๊อตแลนด์ยาร์ด เมื่อไม่ได้ผลจึงประโคมข่าวผ่านทางหนังสือพิมพ์เดอะ โกลบ ที่ลงพาดหัวว่า "นักปฏิวัติจีนถูกลักพาตัวในลอนดอน!"
       ข่าวดังกล่าวเป็นกระแสในหมู่คนอังกฤษ และกดดันให้รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษต้องติดต่อไปยังสถานทูตจีนเพื่อเจรจา จนสุดท้ายสถานทูตจีนในลอนดอนต้องปล่อยตัว ดร.ซุน ออกมาหลังจากกักตัวไว้นาน 12 วัน ซึ่งในตอนหลัง ดร.ซุนได้นำเหตุการณ์ตอนนี้มาเขียนโดยละเอียดโดยใช้ชื่อว่า Kidnapped in London
    
       "วันนั้นผมวางแผนว่าจะไปหา ดร.แคนต์ลี หลังจากลงรถประจำทางที่จัตุรัสอ๊อกซ์ฟอร์ด ผมก็เดินต่อไปยังย่านพอร์ตแลนด์ เป็นเส้นทางปกติที่ผมเดินอยู่ ประมาณ 10 โมงครึ่งหรือ 11 โมงได้ ผมก็ถึงย่านพอร์ตแลนด์ แล้วก็พบ 'เติ้ง' - - - ก่อนหน้านั้นผมกับเขา (เติ้ง ในขณะนั้นมีตำแหน่ง คือ ล่ามของสถานทูตจีน) ไม่รู้จักกันมาก่อน ผมเพิ่งเจอเขาโดยบังเอิญบนถนนนั่นแหละ
       "เขาเดินเข้ามาข้างผมแล้วก็ถามว่าผมคือ คนญี่ปุ่นหรือคนจีน ผมจึงตอบไปว่าผมเป็นคนจีน เขาก็ถามต่อว่าผมมาจากไหน ผมก็ตอบไปว่า ผมเป็นคนกวางตุ้ง เราก็ถามชื่อแซ่กันและกัน ผมบอกว่าผมแซ่ซุน ส่วนเขาบอกว่าเขาแซ่เติ้ง .... เราเดินไปคุยไปช้าๆ พอใกล้ย่านสถานทูตสักพักก็มีคนจีนอีกคนออกมา ..." ดร.ซุนยัดเซ็น เล่าให้นักข่าวอังกฤษฟังหลังจากถูกปล่อยตัวออกมา
    
       หลังจากรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ที่เกือบถึงแก่ชีวิต ดร.ซุน ก็ขลุกตัวอยู่ในห้องสมุดของบริติชมิวเซียมเป็นเวลาถึง 9 เดือนเศษ จากนั้นถึงเดินทางมายังแผ่นดินยุโรป เพื่อศึกษาถึงแนวทางการเมืองของสังคมโลกในขณะนั้น โดยเฉพาะแนวโน้มในการปฏิรูป ปฏิวัติ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศต่างๆ จนในที่สุด ปี ค.ศ.1897 เขาจึงพัฒนาแนวคิดที่ว่าด้วยการปฏิวัติสังคม อันต่อเนื่องกันกับการปฏิวัติชาติกับประชาธิปไตยที่คิดไว้ก่อน
    
       แนวคิดดังกล่าวคือพื้นฐานของ ลัทธิไตรราษฎร์ (三民主义) อันประกอบด้วย ชาตินิยม (民族), ประชาธิปไตย (民权) และ สังคมนิยม (民生) แนวคิดที่ต่อมาได้กลายเป็นหลักการพื้นฐานที่ยึดถือในการปฏิวัติของจีนตลอดระยะเวลาหลายสิบปี
    
       หมายเหตุ :
       *ปัจจุบันอำเภอเซียงซาน กลายเป็น เมืองจงซาน (中山市) โดยชื่อ อำเภอเซียงซาน นั้นถูกเปลี่ยนมาเป็น อำเภอจงซาน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1925 เพื่อไว้อาลัยแด่ ดร.ซุนยัดเซ็นที่เสียชีวิตไปในปีนั้น
       **กบฎไท่ผิง (太平天国; ค.ศ.1850-1864) หรือ "เมืองแมนแดนมหาสันติ" เป็นกบฎชาวนาที่นำโดย ชาวนาที่ชื่อว่า หงซิ่วฉวน ผู้นับถือศาสนาคริสต์ และมีความต้องการล้มล้างราชวงศ์ชิงที่กดขี่ชาวนา เพื่อสร้างอาณาจักรแห่งสันติสุขขึ้น ซึ่งในเวลาต่อมา กบฎไท่ผิงก็ยึดอำนาจได้จริงๆ ที่ เมืองหนานจิง ในปี ค.ศ.1853 โดยเปลี่ยนชื่อหนานจิงเป็น เมืองหลวงสวรรค์ (เทียนจิง:天京) แต่สุดท้ายในปี ค.ศ.1864 ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับกองทัพของฮ่องเต้ชิง (อ่านเพิ่มเติม : หนังสือประวัติศาสตร์จีน โดย ทวีป วรดิลก สำนักพิมพ์สุขภาพใจ พ.ศ.2542 บทที่ 20 หน้า 584-606)
    
       ประวัติของ ดร.ซุนยัดเซ็น เรียบเรียงมาจาก :
       1.หนังสือ ประวัติศาสตร์จีนยุคใกล้และยุคปัจจุบัน (中国近现代历史概要) โดย ตู้จื้อจุน ของมหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง บทที่ 9-11
       2.หนังสือประวัติศาสตร์จีน โดย ทวีป วรดิลก สำนักพิมพ์สุขภาพใจ พ.ศ.2542 บทที่ 20 หน้าที่ 739-771
       3.หนังสือที่สุดของเมืองจีน โดย สุขสันต์ วิเวกเมธากร : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2543 หน้าที่ 83-87
       4.หนังสือ 孙中山在说 (2004) โดย ซุนจงซาน สำนักพิมพ์ตงฟัง
    
       ทั้งนี้หนังสือทั้ง 4 เล่มให้ข้อมูลบางประการเกี่ยวกับ ดร.ซุนยัดเซ็น คลาดเคลื่อนกัน ดังนั้นข้อมูลในบทความชิ้นนี้ผู้เขียนจึงอ้างอิงจาก เล่มที่สี่ เป็นหลัก และเสริมข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสืออีกสามเล่ม


พิมพ์จาก http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9470000047972
เวลา 2 กุมภาพันธ์ 2555 04:46 น.
บุรุษผู้มีคำว่า "ปฏิวัติ" อยู่ในสายเลือด (2)
16 กันยายน 2547 08:07 น.
       "ระบบของจีน รวมถึงรัฐบาลจีน ในปัจจุบันไม่สามารถปฏิรูปอะไรได้อีกแล้ว และก็ไม่อาจทำการปฏิวัติอะไรได้ด้วย ทำได้ก็แต่เพียงโค่นล้ม" - ดร.ซุนยัดเซ็น ค.ศ.1897
    
        ระหว่างที่ ดร.ซุน เคลื่อนไหวเพื่อสร้างกระแสการปฏิวัติจีนนั้น ในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศจีนก็มีความเคลื่อนไหวจากคนกลุ่มต่างๆ ด้วยเช่นกัน เพียงแต่กลุ่มอื่นนั้นเป็นเป็นเพียงกลุ่มที่กระจุกแต่เพียงในพื้นที่นั้นๆ มิได้มีการคิดการใหญ่ซึ่งครอบคลุมไปทั่วประเทศ และที่สำคัญไม่มีหลักการพื้นฐานของการปฏิวัติที่แน่ชัด ดังเช่น ลัทธิไตรราษฎร์ ของ ดร.ซุน
    
        จนในเดือน สิงหาคม ปี ค.ศ.1905 ก็มีการประกาศรวมกลุ่มผู้สนับสนุนการปฏิวัติจีนที่ชื่อ สมาคมพันธมิตรปฏิวัติจีน (จงกั๋วถงเหมิงฮุ่ย:中国同盟会) ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดย 'ถงเหมิงฮุ่ย' นี้มีจุดมุ่งหมายในการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิง โดยยึดหลักการของลัทธิไตรราษฎร์ โดยศูนย์กลางของถงเหมิงฮุ่ยนั้น อยู่ที่เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
    
        ช่วงก่อนหน้าที่ 'ถงเหมิงฮุ่ย' จะเกิดขึ้นนั้น ทางฝั่งราชสำนักจีนที่ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น-ชาติตะวันตก และปล่อยให้กบฎนักมวยออกมาสร้างความวุ่นวายในปักกิ่ง กำลังตกอยู่ในสถานะแพ้สงครามให้กับกองทัพมหาอำนาจพันธมิตร 8 ประเทศ จนต้องมีการลงนามในสนธิสัญญาที่เรียกว่า Boxer Protocol (辛丑条约; ลงนามในวันที่ 7 กันยายน ค.ศ.1901) เพื่อยืนยันว่า จีนยินยอมชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาล ก็กำลังพยายามทำการปฏิรูปทางการปกครองประเทศ การทหาร อยู่เช่นกัน โดยมีการส่งคนไปศึกษายังต่างประเทศเพื่อเตรียมประกาศรัฐธรรมนูญ (ระบบการสอบจอหงวนก็สิ้นสุดลงในช่วงนี้ และ การสะสมกำลังทหารเพื่อสร้างเป็นกองทัพของหยวนซื่อไข่ก็เกิดขึ้นในช่วงนี้เช่นกัน)
    
        อย่างไรก็ตาม ดังเช่น ที่ ดร.ซุนกล่าวไว้ถึง ความสิ้นหวังต่อระบอบกษัตริย์ การปฏิรูปที่ราชสำนักชิงพยายามทำนั้น ในสายตาของประชาชนกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และยิ่งเป็นการเหยียบย่ำซ้ำเติมให้ทุกข์ยากยิ่งขึ้นไปอีก
    
        จากกระแสความไม่พอใจของประชาชนต่อราชสำนักชิงที่พุ่งขึ้นสูง ส่งผลให้ภายในระยะเวลาแค่หนึ่งปี ถงเหมิงฮุ่ย รวบรวมสมาชิกได้มากกว่าหมื่นคน มีการเปิดหนังสือพิมพ์เพื่อ ปลุกระดม และเผยแพร่ ลัทธิไตรราษฎร์ และที่สำคัญพยายามลงมือกระทำการปฏิวัติต่อเนื่อง
    
        นับแต่ปี ค.ศ.1907 ถงเหมิงฮุ่ย ทำการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในพื้นที่ภาคใต้ของจีนสิบกว่าครั้ง ก่อนจะสำเร็จที่สุดในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ.1911 ที่ อู่ชาง มณฑลหูเป่ย
    
        การปฏิวัติครั้งประวัติศาสตร์ เริ่มกระทำการอย่างเร่งด่วนในคืนวันที่ 10 ตุลาคม โดย ทหารสมาชิกพรรคปฏิวัติในกองทัพใหม่ที่ประจำการอยู่ภายในเมืองอู่ชางซึ่งนำโดยผู้บังคับการที่ชื่อว่า หลีหยวนหง (黎元洪) แต่ปราศจากผู้นำของ 'ถงเหมิงฮุ่ย' คอยสั่งการแม้แต่คนเดียว เนื่องจากแผนปฏิวัติรั่วไหลไปเข้าหูทางการเข้า
    
        เหตุการณ์ในครั้งนั้นเรียกกันว่า การก่อการอู่ชาง (武昌起义) หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า สองสิบ (双十) เนื่องจากเกิดขึ้นในวันที่ 10 เดือน 10 (ปัจจุบันชาวไต้หวันยังถือเอาวันนี้เป็นวันชาติอยู่ ขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่ถือเอาวันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันชาติ) ส่วนชื่อทางการของการปฏิวัตินั้นเรียกว่า การปฏิวัติซินไฮ่ (辛亥革命) เนื่องจากตามปฏิทินจันทรคตินั้นเป็น ปี ค.ศ.1911 ชาวจีนเรียกว่าปีซินไฮ่
    
        ประกายไฟแห่งความสำเร็จของการก่อการที่อู่ชาง ปลุกให้เกิดการปฏิวัติทั่วประเทศจีน โดยในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1911 มีถึง 14 มณฑล จากทั้งหมด 24 มณฑลของจีนที่ประกาศปลดปล่อยตัวเองออกจากการปกครองของรัฐบาลชิงที่ปักกิ่ง
    
        การปฏิวัติซินไฮ่นับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สองพันปีที่จีนหลุดพ้นออกจากระบอบการปกครองของกษัตริย์ และ ก้าวเท้าเข้าสู่เส้นทางของการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ โดยในวันคริสต์มาสของปี ค.ศ.1911 ดร.ซุน ก็กลับมาถึงเซี่ยงไฮ้จากต่างประเทศ และจากมติของตัวแทนสมาชิกที่ร่วมปฏิวัติจากทั่วประเทศจีนก็เลือกเอา ดร.ซุนยัดเซ็นเป็น ประธานาธิบดีชั่วคราวของ สาธารณรัฐจีน (中华民国) โดยถือเอาวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1912 เป็นปีแรกของสาธารณรัฐ และจัดตั้งรัฐบาลขึ้นที่ เมืองหนานจิง
    
        ทั้งนี้เมื่อการปฏิวัติสำเร็จ ดร.ซุน ได้กล่าวไว้ประโยคหนึ่งว่า "ผู้ใดที่กล้าขุดระบอบกษัตริย์ขึ้นมา (ในจีน) คนทั่วแผ่นดินจะร่วมกันลุกขึ้นคัดค้าน"
    
        จากความพยายามอยู่หลายสิบปี แม้การปฏิวัติจะสำเร็จลงในที่สุด แต่รัฐบาลชั่วคราวที่หนานจิง ที่นำโดย ดร.ซุน ก็ประสบปัญหาที่รุมเร้า อย่างเช่น ภาวะการคลังของจีนที่ขาดดุลเรื้อรังมาตั้งแต่สมัยปกครองโดยราชวงศ์ชิง โดยเฉพาะการต้องเสียค่าปฏิกรรมสงครามให้กับต่างชาติตามสนธิสัญญาที่เรียกว่า Boxer Protocol, โครงสร้างในการปกครองที่ยังไม่ลงตัว, ฮ่องเต้จีนองค์สุดท้ายที่คงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังต้องห้าม และที่จุดอ่อนที่สำคัญมากสำหรับรัฐบาลๆ หนึ่งคือ การขาดกำลังทหาร!
    
        หลังสิ้นยุคของซูสีไทเฮา หยวนซื่อไข่ หรือ หยวนซื่อข่าย (袁世凯) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น "บิดาแห่งลัทธิขุนศึก" ก็ขึ้นมากุมกองกำลังทหารทั้งหมดของภาคเหนือ และในเวลาต่อมากดดันให้ ดร.ซุน ต้องยอมยกตำแหน่งประธานาธิบดีให้ โดยหลังจากลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราว ดร.ซุน หันไปทุ่มเทให้กับการศึกษาเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจจีนแทน
    
        หลังจากการก่อการที่อู่ชาง ได้ไม่กี่เดือน อำนาจในการปกครองที่ควรจะเป็นของประชาชนจีนทั้งมวล ก็กลับมารวมกันอยู่ในมือคนเพียงคนเดียวที่ชื่อ หยวนซื่อไข่ อีกครั้ง ซึ่งก็เป็นดังคาด หยวน ไม่ยอมละทิ้งระบอบกษัตริย์โดยพยายามตั้งตัวเป็น "ฮ่องเต้" แต่สุดท้ายฮ่องเต้หยวนซื่อไข่ก็ไปไม่รอดตามคำสาปแช่งที่ ดร.ซุน เคยกล่าวไว้ก่อนหน้า
    
        ค.ศ.1916 เมื่อ หยวนซื่อไข่ เสียชีวิตลงด้วยโลหิตเป็นพิษ ประเทศจีนก็ย่างเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายที่เรียกว่า "ยุคขุนศึกภาคเหนือ (北洋军阀时期; 1912-1928)" อย่างเต็มตัว
    
        นับจากเริ่มก่อตั้ง สมาคมซิงจงฮุ่ย ในปี ค.ศ.1894 ภารกิจในการปฏิวัติที่ดำเนินมานานกว่า 20 ปี ที่ควรจะเสร็จสิ้นเพื่อนำประเทศจีนเข้าสู่ยุคแห่งการสร้างชาติขึ้นใหม่ของ ดร.ซุนยัดเซ็น สุดท้ายก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผล ซ้ำร้ายประเทศจีนยังตกอยู่ในสภาวะที่ต่างชาติต้องการหาตัวแทนเป็นขุนศึก เพื่อแบ่งจีนออกเป็นส่วนๆ เพื่อหาผลประโยชน์
    
        หลังความล้มเหลวดังกล่าว ส่งให้กำลังใจของนักปฏิวัติผู้นี้แทบไม่มีเหลือ จนครั้งหนึ่งถึงกับรำพึงกับคนสนิทว่า "บางทียุคสาธารณรัฐ อาจจะย่ำแย่กว่ายุคที่จีนปกครองด้วยระบอบกษัตริย์เสียด้วยซ้ำ"
    
        อย่างไรก็ตามด้วยความมุ่งมั่นในการประกอบภารกิจที่ยังไม่สำเร็จ ดร.ซุน ก็ยังพยายามโค่นเหล่าขุนศึกภาคเหนือต่อไป โดยต่อมาหลังจากเหตุการณ์ 4 พฤษภาคม ค.ศ.1919 (五四运动) ก็ร่วมก่อตั้ง พรรคก๊กมินตั๋ง (จงกั๋วกั๋วหมินตั่ง:中国国民党) ขึ้น ซึ่งต่อมามีความร่วมมือกับ พรรคคอมมิวนิสต์จีน (ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ.1921)
    
        แต่สุดท้ายแล้ว ดร.ซุน ก็อยู่ไม่ทันเห็นผลจากความพยายามชั่วชีวิตของตน เนื่องจาก เสียชีวิตด้วยสาเหตุจากโรงมะเร็งตับที่ปักกิ่งเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ.1925 ระหว่างการเยือนปักกิ่งเพื่อมาหารือกับขุนศึกแห่งภาคเหนือ
    
        ก่อนเสียชีวิต ดร.ซุนได้ทิ้งคำสั่งเสียไว้โดยมีใจความสำคัญว่า "... จีนต้องการอิสระและความเท่าเทียมกันจากนานาชาติ ประสบการณ์ 40 ปีที่ผ่านมาของข้าพเจ้า สอนข้าพเจ้าว่า ในการบรรลุเป้าหมายในการปฏิวัติ เราจะต้องปลุกประชาชนให้ตื่นขึ้นมา ...... การปฏิวัติยังไม่เสร็จสิ้น ขอให้สหายทั้งหลายของเราดำเนินการตามแผนการของข้าพเจ้าต่อไปเพื่อฟื้นฟูบูรณะชาติของเราขึ้นมา" (หมายเหตุ : คำสั่งเสียดังกล่าวบันทึกโดย วังจิงเว่ย (汪精卫) คนสนิทของ ดร.ซุน ที่ต่อมาขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำของพรรคก๊กมินตั๋ง สามารถหาอ่านข้อความเต็มได้จาก หนังสือประวัติศาสตร์จีน โดย ทวีป วรดิลก บนที่ 24 หน้าที่ 882-883)
    
        หลังจากเสียชีวิต ศพของ ดร.ซุนยัดเซ็น ถูกนำไปตั้งไว้ชั่วคราวที่ วัดเมฆหยก (ปี้หยุนซื่อ:碧云寺) ตีนเขา เซียงซาน บริเวณเทือกเขาด้านตะวันตก (ซีซาน:西山) ชานกรุงปักกิ่ง เพื่อรอเวลาในการสร้าง สุสานซุนจงซาน ที่หนานจิงให้เสร็จสิ้น (ทั้งนี้ "ซีซาน" อันเป็นสถานที่ตั้งศพชั่วคราวของ ดร.ซุน นี้ในเวลาต่อมาระหว่างการแย่งอำนาจในพรรคก๊กมินตั๋ง สมาชิกก๊กมินตั๋งกลุ่มขวาเก่า ได้นำมาตั้งเป็นชื่อกลุ่มว่า "กลุ่มซีซาน" เพื่อแสดงความใกล้ชิด และแสดงว่าตนเป็นทายาทของ ดร.ซุนที่แท้จริง)
        ............................
        ที่หนานจิง สุสานซุนจงซาน (中山陵) อันตั้งอยู่บริเวณเนินทางทิศใต้ของของภูเขาจงซาน เริ่มสร้างใน เดือนมกราคม ค.ศ.1926 และเสร็จสิ้นในฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ.1929 โดยศพของ ดร.ซุนยัดเซ็น นั้นถูกย้ายจากปักกิ่งมาตั้งไว้ ณ สุสานแห่งนี้เมื่อ วันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ.1929
    
        มีการกล่าวถึงสาเหตุที่การสร้างสุสาน ดร.ซุนยัดเซ็น ณ บริเวณนี้ว่า ครั้งหนึ่ง ดร.ซุน เคยมาเยี่ยมเยือนบริเวณนี้ เมื่อสังเกตเห็นว่า เนินทางทิศใต้ของภูเขาจงซาน มีทัศนียภาพที่งดงาม และชัยภูมิที่ดีจึงเปรยเล่นๆ กับผู้ติดตามว่า เหมาะกับการสร้างสุสานของตน อย่างไรก็ตาม การเปรยเล่นๆ ดังกล่าวกลับมีผู้จดบันทึกเอาไว้
    
        ปัจจุบัน สุสานซุนจงซาน มีขนาดใหญ่โตกว่า สุสานหมิง ที่อยู่ข้างๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยมีขนาดพื้นที่กว้างขวางถึง 8 หมื่นตารางเมตร โดย สุสานถูกออกแบบและสร้างให้เป็น ทางเดินหินลาดขึ้นไปตามเนินเขาที่ยาวกว่า 323 เมตร กว้าง 70 เมตร
    
        ประตูใหญ่ของสุสาน สร้างจากหินอ่อนขาวที่นำมาจากมณฑลฝูเจี้ยน ขณะที่หลังคาเป็นกระเบื้องออกแบบเป็นสีน้ำเงินคราม - - - สีขาว-น้ำเงินคราม อันเป็นสีธงประจำพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งหากสังเกตดูดีๆ แล้ว อาคารทั้งหมดของ สุสานซุนจงซาน ก็ออกแบบในโทน สีขาว-น้ำเงิน นี้
    
        เหนืออาคารแรกถัดจากประตูใหญ่ ผู้มาเยือนจะพบลายมือของ ดร.ซุน ที่เขียนเอาไว้ว่า " แผ่นดินเป็นของประชาชน (เทียนเซี่ยเหวยกง:天下为公)"
    
        อาคารหลังสุดท้ายของสุสานซุนจงซาน เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ครอบสุสานเอาไว้ ด้านหน้ามีตัวหนังสือเขียนเรียงไว้ว่า ชาตินิยม (民族), ประชาธิปไตย (民权) และ สังคมนิยม (民生) อันประกอบเป็น ลัทธิไตรราษฎร์ ที่ ดร.ซุน บัญญัติขึ้น
    
        ภายในอาคารมีรูปปั้นในท่านั่งของ ดร.ซุนยัดเซ็น ผลงานของ Paul Landowski ประติมากรชาวฝรั่งเศสขณะที่ผนังโดยรอบก็สลักไว้ด้วย "หลักการพื้นฐานในการสร้างชาติโดยสังเขป ของ ดร.ซุน" โดยเมื่อเดินผ่านเข้าไปหลักรูปปั้นนั่ง ก็จะพบกับห้องวงกลมอันเป็นห้องเก็บศพ โดยบนโลงศพนั้นประดับไว้ด้วยรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของ ดร.ซุนเอง ที่ปั้นโดยศิลปินชาวเชก
    
        ในปัจจุบันหรือในอนาคต ไม่ว่าจีนแผ่นดินใหญ่ กับ จีนไต้หวัน จะมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบใด สิ่งแน่ใจได้ประการหนึ่งก็คือ บุรุษผู้ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตจาก 'นายแพทย์ผู้รักษาชีวิตคน' มาเป็น 'นักปฏิวัติผู้ช่วยชีวิตประเทศจีน' ผู้นี้ คงเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่ทั้งชาวจีนทั้งสองฝั่งกล่าวได้เต็มปากว่า หากไม่มีเขาก็อาจไม่มีประเทศจีนในวันนี้
    
       อ่านเพิ่มเติม : บทความอื่นๆ จากคอลัมน์ริมจัตุรัสที่เกี่ยวข้องกับ ดร.ซุนยัดเซ็น
       - เที่ยวสือช่าไห่ แวะบ้าน "ซ่งชิ่งหลิง" ตอนที่ 2 และ ตอนที่ 3 (19 พ.ค. และ 27 พ.ค. 2547)
    
       ประวัติของ ดร.ซุนยัดเซ็น เรียบเรียงมาจาก :
       1.หนังสือ ประวัติศาสตร์จีนยุคใกล้และยุคปัจจุบัน (中国近现代历史概要) โดย ตู้จื้อจุน ของมหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง บทที่ 9-11
       2.หนังสือประวัติศาสตร์จีน โดย ทวีป วรดิลก สำนักพิมพ์สุขภาพใจ พ.ศ.2542 บทที่ 20 หน้าที่ 739-771 และ บทที่ 2 หน้า 877-913
       3.หนังสือที่สุดของเมืองจีน โดย สุขสันต์ วิเวกเมธากร : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2543 หน้าที่ 83-87
       4.หนังสือ 孙中山在说 (2004) โดย ซุนจงซาน สำนักพิมพ์ตงฟัง
    
        ทั้งนี้หนังสือทั้ง 4 เล่มให้ข้อมูลบางประการเกี่ยวกับ ดร.ซุนยัดเซ็น คลาดเคลื่อนกัน ดังนั้นข้อมูลในบทความชิ้นนี้ผู้เขียนจึงอ้างอิงจาก เล่มที่สี่ เป็นหลัก และเสริมข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสืออีกสามเล่ม


พิมพ์จาก http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9470000051649
 
 
 
 

Tuesday, January 31, 2012

ตรรกะของจตุพร พรหมพันธุ์ และ นปช. ... เซียนหรือไก่อ่อน?



ตอนที่หนึ่ง


ผมชอบจตุพรมากที่สุด ในบรรดาแกนนำ นปช. และนักการเมืองเพื่อไทยด้วยซ้ำ ชอบจิตวิญญาณนักสู้ ชอบน้ำใจต่อพี่น้องที่สูญเสียและหัวใจที่เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวกับภัยรอบข้าง และอะไรอีกหลายอย่าง ดังได้ปรากฎแก่สายตาพี่น้องเสื้อแดง ตลอดสี่ปีกว่าของการต่อสู้ที่ผ่านมา


จตุพร เด่นมากในการต่อสู้ในนามของคนเสื้อแดง  ถือว่ารองจาก ดร. ทักษิณแล้ว คนที่ฝ่ายอิงเจ้าหาแดกกลัวกันนักกันหนานั้น หากหยิบมาสามคนในประเทศไทยแล้ว จะต้องมีคนที่นามสกุล พรหมพันธุ์ คนนี้อยู่ด้วยแน่นอน  และในการต่อสู้มาถึงวันนี้ ก็ยังเชื่อในหัวจิตหัวใจว่า ตู่ยืนข้างพี่น้องเสื้อแดงแน่ แต่จะยืนในระดับไหน มีประโยชน์ระดับไหน ต้องจับตาดูสิ่งที่เขาคิด พูด และทำในก้าวต่อ ๆ ไป




รายการชูธง  31 มกราคม 2555
(ชมรายการชูธงวันก่อน ย้อนหลัง ที่ http://youtu.be/5dFdmdJaX8I)


แต่จากการฟังรายการชูธงสองวัน (30-31 มกราคม ศกนี้) ติดต่อกันมานี้ ผมถือว่าตรรกะของจตุพรในการพาดพิงถึง และก้าวก่ายแสดงจุดยืนที่เสนอให้คณะนิติราษฎร์หยุดการเคลื่อนไหวนั้น น่าวิพากษ์วิจารณ์ยิ่ง   หากจะมองว่านี่คือการเล่นเกมอย่างเซียนก็พอกล้อมแกล้มเชื่อได้นิดหน่อย เหมือนการแสดงบทบาทที่สมบทบาทชนิดดาราตุ๊กตาทองอายหรือสมุนเหี้ยหลบของ ดร. เฉลิม คือ ออกมาเล่นเกมแยกกันเดินหรือคนละกลุ่มกับคณะนิติราษฎร์ เพื่อให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์รอดจากข้อครหาล้มเจ้า  แล้วครองอำนาจต่อไป เพื่อทำงานให้กับบ้านเมือง (แต่ไม่มีการยืนยันว่าประชาชนจะได้อะไรแน่ ปัญหาของบ้านเมืองที่เป็นหลักในเชิงการเมืองและโครงสร้างอำนาจ)


แต่หากมองในเชิงตรรกะอย่างละเอียดแล้ว ถือว่าตู่ตกสนิท (ถือว่าเป็นคนที่ผมสนิทใจ เชื่อใจ และนับถือว่าเป็นเพื่อนร่วมขบวนการแดง ก็ขอเรียกชื่อเล่นนะครับ) หากผมให้เกรด ก็คงตัองเป็น F หรือ ง. ล่ะครับ  และนี่หรือเปล่าที่ทำให้เวลาที่ผมบอกว่า จตุพรจะยืนอยู่แถวหน้า เป็นแกนนำนักปฎิวัติ ในวันที่ประชาชนต้องก้าวไปให้ถึงปลายฝัน แล้วมีคนบอกว่า เขาไม่เชื่อ   เขาบอกจตุพรไม่ถึงระดับนักปฎิวัติ  หรือมันจะเป็นเพราะกรอบคิดของตู่ นอกจากจะอยู่ในกรอบนักการเมืองและผลประโยชน์ของกลุ่ม มากกว่าการมองการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง อย่างที่นักปฎิวัติตัวจริงเขาคิด นำเสนอ และทำกัน


เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ถูกวิพากษ์ ผมจะขยายความนะครับ  จากคลิปที่ยกมาข้างต้น หากท่านฟังช่วงต้น ๆ ที่เกี่ยวกับคณะนิติราษฎร์  ตู่บอกว่า หลักการของนิติราษฎร์ดีมาก ไม่มีข้อต้องถกเถียง และนิติราษร์ไม่ได้คิดร้ายกับสถาบัน  เหมือนที่มีความพยายามใส่ร้ายของสมุนเหี้ย หรือเปรตอิงวัง (คำพูดผมเองทั้งหมด) แต่...   (ความตอแหลกับหลักการ เริ่มแล้วนะครับ)  แต่ ตู่บอกว่า หลักการและวิธีการดี ๆ นี้ เป็นประชาธิปไตย ไม่มีข้อติ แต่คิดว่า จะไม่มีทางบรรลุผล เพราะนักการเมืองทั้งเพื่อไทยและพรรคอื่น ๆ จะไม่มีใครกล้ายกมือสนับสนุน แล้วก็จะตกไปในที่สุด  ซึ่งหากมองแบบนี้ ก็แปลว่า การเคลื่อนไหวตามแนวนิติราษฎร์ ไร้สาระ และจะแค่เป็นการสูญเปล่า โดยที่ตู่แน่ใจ และผมก็ไม่ทราบว่า มีการวิเคราะห์วิจัยดีแล้วขนาดไหน ว่าสส. และสว. จะไม่มีใครกล้าเอาด้วยกับข้อเสนอของนิติราษฎร์เลยสักคน


หลักคิดที่ว่า สิ่งนี้ดี แต่จะไม่มีคนเห็นชอบด้วย ดังนั้นคุณก็ไม่ต้องทำต่อนั้น  ผมถือว่าในเชิงหลักการและคุณธรรม เป็นสิ่งผิด และไม่เคยคิดว่า ตู่จะอยู่ในกรอบคิดแบบ loser หรือ hypocrite ได้ขนาดนี้ เหมือนกับคนไทยจำนวนมากเป็นกัน   สำหรับแกนนำระดับนี้ ถือว่าน่าผิดหวัง ผมคาดหวังจากตู่มากกว่านี้ครับ


นอกจากนี้ ตู่ยังบอกอีกว่า ความเคลื่อนไหวของนิติราษฎร์ ถูกต่อต้านเป็นวงกว้าง และจะเป็นอันตราย เพราะฝ่ายเหี้ยจะอ้างเอามาเป็นเหตุก่อการรัฐประหาร  ดังนั้น คณะนิติราษฎร์ ต้องหยุดการเคลื่อนไหว
ผมถือว่านี่เป็นตรรกะที่ใช้ไม่ได้เลย   ประการแรก ตู่ขัดแย้งในตัวเองอย่างแรง ก็ในเมื่อเชื่อว่า ยังไงก็ไม่ได้ผล เพราะ สส. สว. จะไม่เอาด้วย ดังนั้น ก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องกลัวเกรงนี่นา อย่างมากก็ไปตกในสภา เหมือนร่างรัฐธรรมนูญของหมอเหวง แล้วจะไปกลัวใครลุกมาอ้างทำการรัฐประหารได้อย่างไรเล่า?


ประการต่อมาก็คือ การเอาภาพการต่อต้านหลักการดี ๆ ของนิติราษฎร์ ว่าจะนำไปสู่การรัฐประหารนั้น ยังเป็นแค่การคาดเดา และโดยหลักการแล้ว นิติราษฎร์ไม่ได้ทำการใดอันเป็นข้ออ้างเพื่อนำไปสู่การรัฐประหารได้  เพราะนิติราษฎร์ ไม่แตะต้องสถาบัน จะอ้างการหมิ่นหรือล้มสถาบันย่อมมิได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะใส่ความอย่างไร ก็ฟังไม่ขึ้น หากจะกล่าวว่า การเคลื่อนไหวของนิติราษฎร์จะทำให้เกิดผลเสีย ทำลายการคงอยู่ของรัฐบาลเพื่อไทย  และนำไปสู่การขอของตู่ให้นิติราษฎร์ล้มเลิกการเคลื่อนไหว จึงฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย


ในตอนท้าย แม้ตู่จะไม่ได้พูดตรง ๆ แต่ผมตีความได้ว่า ตู่เห็นว่า การสู้แบบนิติราษฎร์ เป็นการสู้ด้วยความสะใจ เป็นอันตรายอย่างยิ่ง สมควรหยุด เพื่อให้รัฐบาลอยู่ในตำแหน่งต่อไป   ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ กระแสของมหาชน ต่างสนับสนุนแนวทางนิติราษฎร์   ตู่ออกมาเหมือนตีกันแบบนี้ คนอาจจะแปลเจตนาได้ว่า กลัวนิติราษฎร์ดังกว่า หรือแย่งมวลชนไป หรือไม่?  หรือตู่คิดว่า แนวทางของ นปช. หรือเพื่อไทย ดีกว่า และจะทำให้ได้ประชาธิปไตย และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทางการเมือง ใช่หรือไม่?  ซึ่งหากต้องให้ตอบคำถามเหล่านี้ พี่น้องแดงตาสว่าง คงหัวเราะเยาะ แล้วก็ยักไหล่ ส่ายหัว แล้วก็หันไปเชียร์คณะนิติราษฎร์ต่อ


คำถามต่อเนื่องก็คือ การที่ตู่อ้างว่า การเคลื่อนไหวหรือสู้แบบ "สะใจ" ตามแนวทางนิติราษฎร์ จะนำไปสู่การรัฐประหารนั้น ดูเหมือนว่า เพื่อไทยและตู่ จะกลัวรัฐประหารเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่ข้ออ้างมันไม่ได้สมเหตุสมผล ดังกล่าวมาแล้ว  และที่สำคัญ การรัฐประหารที่ไม่สมเหตุสมผล ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก และหากเกิด ก็เป็นอันตรายต่อคนสั่งและคนทำ  ใครจะกล้า?  และหากกล้า ก็เป็นความชอบธรรมของมวลชนที่จะลุกมาต่อต้าน และนั่น อาจจะเป็นการเริ่มต้นของการปฎิวัติประชาชน ซึ่งโอกาสชนะแบบรวดเดียวจบ เป็นไปได้มากกว่าการรอแบบลม ๆ แล้ง ให้นปช. สู้ไป ร้องเพลงไป เถียงไป แต่หาผลงานไม่ค่อยได้ เหมือนที่ผ่านมา หรือรอให้เพื่อไทย ที่สู้ไป ทำผิดหลักประชาธิปไตยไป เหยียบย่ำน้ำใจคนเสื้อแดงไป และดึงมวลชนให้กราบเจ้าไป ทั้ง ๆ ที่เจ้าคือตัวปัญหาสำคัญของบ้านเมือง


ขณะนี้ มวลชนจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มไม่พอใจเพื่อไทยอย่างแรงขึ้นเรื่อย ๆ   หรือตู่จะอ้าง เหมือนนักวิเคราะห์ที่เชื่อมั่นในตัว ดร. ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ว่าเพื่อไทยเล่นเกมเหนือการคาดหมายชนิดขอมดำดินหรือมาเหนือเมฆ หรือเพราะการเมืองมีความลึกลับหลายมิติที่มวลชนตามไม่ทัน????   แต่ในฐานะที่อยู่กับการเมืองมานานพอสมควร รู้เช่นเห็นชาติทั้งฝ่ายเราและฝ่ายเหี้ย ผมกลับเห็นว่า มวลชนเข้าใจปัญหาเชิงลึกและเชิงกว้างดี   เพียงแต่มวลชนไม่เชื่อว่า การอยู่ต่อแบบนิ่ม ๆ เนียน ๆ ตอแหล ๆ และรอวันนักการเมืองที่เกี่ยวข้องได้ผลประโยชน์จากเงินเดือน เงินใต้โต๊ะ เงินตามน้ำ และโอกาสต่าง ๆ มากมาย นั้น จะนำมาซึ่งการแก้ปัญหาที่สำคัญกว่าเรื่องปากท้องได้ ไม่ต้องอะไรมาก แค่เรื่องความยุติธรรมก็ยังไม่คืบหน้าไปไหนเลย ณ วันนี้!


และผมอยากถามว่า การเล่นบทอ่อนน้อม ปรองดอง เลี่ยงปัญหาสำคัญ ไม่ปะทะกับสมุนเหี้ย เลี่ยงการแตะประเด็น 112 หรือเลี่ยงการออกหน้าชูประชาธิปไตย นั้น จะรอดกับการจัดการของเหี้ยและสมุนได้หรือ?   คดีความจ่อศาลไว้แล้ว ทหารก็ยังสามารถต่อรองไม่ให้เกิดการลงสัตยาบันกับ ICC ซึ่งแปลว่า หากต้องออกมารัฐประหาร เพื่อปกป้องสถาบันอีก ก็สามารถเอาปืนยิงหัวประชาชนได้อีก  ประชาชนได้อะไรหรือ จากการอยู่มานับหกเดือนของรัฐบาลเพื่อไทย?


แน่นอนล่ะ การด่าและติติงเพื่อไทย และการเขียนบทความติงจตุพร ครั้งนี้ของผม ก็ไม่ใช่เพื่อทำลายกัน  จริง ๆ แล้ว ก็รู้ว่าตู่ต้องการสู้และแสดงออกว่า ไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับนิติราษฎร์และไม่มีส่วนกับการแตะต้องสถาบัน  จะเนียนก็เนียนไป เราก็จะเนียนด่าอย่างนี้แหละ  หวังว่าคงรับได้นะครับ  ในเมื่อจะตอแหลกันแล้ว  เราก็ลองมาตอแหลเป็นศัตรูกันเล่น ๆ นะตู่ จะเป็นไรไป  เวลานี้ เราจะเล่นเกมกันไป แล้วตอแหลว่า เจ้าคงยอม และสมุนเจ้า คงไม่รัฐประหาร ไม่จ้องทำลายรัฐบาล ไม่จ้องทำลายเสื้อแดง  ขอเพียงนิ่งเฉย หรือแกล้งขัดขาทำลายกันไปวัน ๆ ให้ฝ่ายเจ้าตายใจ และไม่ทำลายล้างรัฐบาล
หากคิดแบบตื้น ๆ เกมตอแหลเหมือนจะพยุงรัฐบาลหรือประวิงเวลาให้รัฐบาลอยู่ทำงาน และเก็บเกี่ยวผลจากการเป็นรัฐบาลได้อีกหน่อย


แต่หากคิดแบบไม่ใช่เด็กอมมือ จะเห็นว่า การไม่รุกคืบด้วยพลังมวลชน และสนับสนุนกลุ่มที่สู้ได้อย่างมีหลัก และตรงประเด็นอย่างนิติราษฎร์ ที่มวลชนสนับสนุนนั้น เป็นการช่วยศัตรู หรือเผด็จการ สกัดกั้นและชะลอ เพื่อการทำลายขบวนการปฎิวัติประชาธิปไตย หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือ อาการบ้องตื้นที่คิดเอาแต่ได้กับความอยู่รอดของรัฐบาลนั้น มันเป็นพฤติกรรม anti revolutionary deeds แบบไม่ได้เจตนาเลยทีเดียว!!!




ตอนที่สอง


ล่าสุด วันพุธ ที่  1 เดือน กุมภาพันธ์ 2555 จตุพร ได้มานั่งโต๊ะแถลงข่าวกับ นปช. (ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นก่อนหน้านี้)   เนื้อหาสาระ ให้พี่น้องวิเคราะห์กันต่อนะครับ)



สำหรับผม ขอเติมความเห็นสั้น ๆ ดังนี้ (แปะไว้ที่ Facebook ด้วยครับ)

การแถลงการณ์ของนปช. ล่าสุด  โดยจตุพรออกมาร่วมเอง

หากฟังแบบหาเรื่องหน่อย ๆ ผมว่า นปช. ชักจะออกแนวนางอิจฉานิด ๆ นะครับ  คืนก่อนผมเขียนบทความวิจารณ์การแสดงความเห็นของจตุพร ในรายการชูธง  วันนี้จตุพรออกมาแถลงข่าวร่วมโต๊ะกับ นปช.  ประเด็นที่นำเสนอ คือ บอกว่า คณะนิติราษฎร์ไม่ได้มีอะไรเด่นกว่าใคร แค่มี "เสื้อแดง" ตามเชียร์ มีคนเสนอแนวคิดคล้าย ๆ นิติราษฎร์อีกมากมายหลายกลุ่ม  และก็ยังยืนยันว่า การเคลื่อนไหวแบบนิติราษฎร์ จะพาคนไป "ตาย" อีก  คณะนิติราษฎร์ เขาใช้วิธีการชุมนุมเหมือน นปช. ที่จะมีคนมายิงหัวอีกหรือไง? แต่เมื่อพูดแล้ว ก็ปรากฎว่า ตัวเองจะนำคนขึ้นเขา ซึ่งตอนแรกขอเป็นล้านคน  ตอนนี้ลดมาเหลือห้าแสนแล้วนับเท้าให้ครบล้านแทน อ้างว่าวิธีการสู้แบบเนียน ๆ เย็น ๆ วนไปวนมาของนปช. เนี่ย มันเป็นการใช้ปัญญาล้ำเลิศ ... แล้ววิธีการเรียกคนไปรวมกันเพื่อสร้างภาพความยิ่งใหญ่ของ นปช. มันเป็นการใช้ปัญญาอันใดเล่า?  และเท่าที่ดู เห็นว่ามั่นใจกันเหลือเกิน ว่าทำตามแนวนิติราษฎร์ไป ก็จะไม่ได้ผล...เอาอะไรมาสนับสนุนการสรุปเช่นนั้น และการกล้ายืนยันแนวที่จะได้ผลคือ พาคนไปโบนันซ่า แล้วทำตาม นปช. ครับผม (ฮา)

นี่บอกว่าจะสร้างมหาวิทยาลัยนปช. ซะอีก คงจะยกตัวเองเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยกันอีกละสิ หากฉลาดและก้าวหน้าขนาดนิติราษฎร์จะไม่ว่าสักคำ สำหรับผมนะ เป็นโรงเรียนอย่างเดิมดีแล้วล่ะครับ อย่าถึงกับดึงคนไปอยู่กับมหาวิทยาลัยที่พามวลชนสะดุดและพานาวาการแก้ปัญหาประเทศออกทะเลโดยไม่มีเป้าหมายอีกเลยครับ เราเสียเวลากันมามากพอแล้วครับ

สรุปว่า ฟังไปฟังมาแล้ว ก็ให้งงกับลักษณะคล้าย ๆ "มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ"
และผมก็ชักจะเห็นด้วยกับบทความที่เขียนไปก่อนหน้านี้มากขึ้นทุกที
หากเป็นไฮโล เขาก็ว่า อ่านยาก เพราะไม่รู้ว่า จะออกหน้าไหน สูง ต่ำ สิบเอ็ดไฮโล ฯลฯ
แต่สำหรับเกมนี้ จะว่าเขาเนียน ล้ำลึกอะไรยังไง ผมเดาได้อย่างเดียว ว่าเกมโขกไฮโลกของ นปช. โดยจตุพรครั้งนี้  ผมว่า "ออกทะเล" ครับ 

ผมคิดเล่น ๆ นะครับ เท่าที่ดูจากสิ่งที่ปรากฎวันนี้  วันข้างหน้า หรือเร็ววันนี้ หากมีการสร้างพรรคแดงจริง ๆ ละก้อ ทั้ง นปช. และเพื่อไทย คงดิ้นเป็นเจ้าเข้า เหมือนที่ นปช. ดิ้นในวันนี้ครับ


ตอนที่สาม

จตุพรได้ออกมาอธิบายความอีกครั้ง พี่น้องพิจารณาและตัดสินกันเองนะครับ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขณะเดียวกัน ก็มีรายงานข่าวจากเมเนเจอร์ด้วย ดังนี้

“ตู่” ไหลลื่น รับ “เสื้อแดง-นิติราษฎร์” จุดยืนเดียวกัน แต่ไม่หนุนแก้ ม.112 อ้างมีวอร์รูมจ้องล้ม รบ.
2 กุมภาพันธ์ 2555 12:50 น.
       “จตุพร” ยอมรับคนเสื้อแดงกับ “นิติราษฎร์” จุดยืนเดียวกัน โวยผิดตรงไหน ประชาธิปัตย์สั่งฆ่าประชาชนยังไม่ผิด อ้างข้อเสนอแก้ 112 ปกป้องสถาบัน แต่ไม่สนับสนุน เพราะถูกบิดเบือน ซ้ำมีวอร์รูมจ้องล้มรัฐบาลก่อน เม.ย. ไม่มีใครกล้าโหวตหนุนข้อเสนอนิติราษฎร์
     
       วันที่ 2 ก.พ. ที่รัฐสภา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช. กล่าวถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์เปิดคลิปวิดีโอนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานกลุ่ม นปช. นิติราษฎร์เป็นแขนซ้ายเสื้อแดงเป็นแขนขวา ฉะนั้นจะปฏิเสธความเชื่อมโยงได้อย่างไรว่า เราไม่เคยปฏิเสธ เราได้พูดชัดเจนโดยเฉพาะตน ว่านิติราษฎร์ก็คือนิติราษฎร์ คนเสื้อแดงก็คือคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทยก็คือพรรคเพื่อไทย แต่ละฝ่ายก็มีอิสระมีเสรีภาพทางความคิด ที่พรรคประชาธิปัตย์เปิดคลิปจะมีความลับอะไร เพราะไม่มีความลับถึงพูด พรรคประชาธิปัตย์ควรจะอับอายคนอื่นมากกว่า ขณะที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 8 คนยึดสถานีเอ็นบีที ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวข้องหรือไม่ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ยึดสนามบินสุวรรณภูมิยึดทำเนียบรัฐบาล ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวข้องหรือไม่และสั่งฆ่าประชาชนพรรค ประชาธิปัตย์ยังไม่ผิดเลย
     
       “เพราะฉะนั้นเราไม่เคยปฏิเสธว่าจุดยืนของเราเป็นอย่างไร แต่นิติราษฎร์เขาเป็นคนที่มีความคิดความอ่าน ซึ่งวันนี้ผมยืนยันว่าข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์เป็นข้อเสนอที่ปกป้องสถาบัน เพียงแต่ว่าถูกบิดเบือนใส่ร้าย และความจริงนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ควรจะทำความจริงให้ปรากฏ เพราะต้นเหตุของการประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ก็คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์”
     
       ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่ออกมาแสดงท่าทีที่ชัดเจน เพียงแต่ออกมาห้ามกลุ่มนิติราษฎร์ไม่ให้ใช้พื้นที่ จะทำอย่างไร นายจตุพรกล่าวว่า นายสมคิดยิ่งจะต้องระมัดระวังเพราะจุดยืนของ ม.ธรรมศาสตร์คือจุดยืนประชาธิปไตย การที่นายสมคิดไปร่วมเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญยุครัฐบาล คมช.ก็สร้างความด่างพร้อยให้กับ ม.ธรรมศาสตร์อยู่แล้ว วันนี้เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาและเป็นคนธรรมศาสตร์ได้นำเสนอมาตรา 112 และถูกบิดเบือน หน้าที่ของผู้บังคับบัญชาก็ควรทำความจริงให้ปรากฏ คำว่าประชาธิปไตยทุกตารางนิ้ว อธิการบดีคนนี้จะรักษาได้หรือไม่
     
       ผู้สื่อข่าวถามว่า ในเมื่อคิดว่าข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ปกป้องสถาบันทำไม่ไม่สนับสนุนให้ ชัดเจน นายจตุพรกล่าวว่า ตนยืนยันว่าข้อเสนอของนิติราษฎร์เป็นผลพวงที่มาจากรัฐบาลชุดที่แล้วที่กลั่น แกล้งประชาชนผู้มีความเห็นที่ต่างกัน และต้องเข้าใจว่ามาตรา 112 ถูกแก้ไขเมื่อเหตุการณ์ 6 ต.ค.19 เพราะเวลานั้นคณะรัฐประหารไปสร้างสถานการณ์ และหลังจากนั้นไม่มีใครนำมาตรานี้ไปกลั่นแกล้งใคร เพราะมาตรานี้ขึ้นอยู่กับผู้ที่นำไปใช้ต้องดูเจตนาของผู้ใช้เป็นคนดีมาตรา นี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาจนกระทั่งรัฐบาลชุดที่แล้ว เพราะฉะนั้นข้อเสนอข่องนิติราษฎร์เขาเสนอบนพื้นฐานทางวิชาการ
     
       ถามว่า หลังจากนี้กลุ่มนิติราษฎร์ควรดำเนินการอย่างไร นายจตุพรกล่าวว่า ตนคิดว่าข้อเสนอของเขาสังคมต้องอ่าน แต่ในทางความจริงต้องยอมรับว่าถูกบิดเบือน
     
       อ้างมีวอร์รูมล้มรัฐบาลก่อน เม.ย.-ไม่มีใครกล้าโหวต ม.112
     
       นายจตุพรกล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีวอร์รูมที่จะล้มรัฐบาลให้แล้วเสร็จก่อนเดือน เม.ย. ตนจึงร้องไปที่คณะนิติราษฎร์ว่า เวลานี้เรื่องมาตรา 112 ได้รายชื่อครบ 1 หมื่นรายชื่อ มาถึงที่สภาผู้แทนฯ จะไม่มีสมาชิกคนใดกล้าโหวตแม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้น ยิ่งเดินมาไกลก็จะเป็นช่องว่างสำหรับผู้ที่ต้องการล้มกระดาน พอล้มกระดานก็มาถึงคิวของพวกตนที่ต้องไปต่อสู้และบาดเจ็บล้มตายกันอีก และขณะนี้มีการหารือและวางแผนในการล้มล้างรัฐบาลเพราะในช่วงที่มีศูนย์ดำนวย การบริหารแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในช่วงที่มีการประชุม ตนได้ยินหมด เพราะตนมีคนอยู่ตรงนั้นและรู้ว่ามีคนคิดที่จะกระทำการนี้ และเขาจะไม่ยอมปรองดอง ถ้าปรองดองชาตินี้พรรคประชาธิปัตย์จะมีโอกาสเป็นรัฐบาลหรือไม่ และไม่ต้องการให้รัฐบาลนี้บริหารประเทศจึงต้องการคว่ำกระดาน หน้าที่ของเราคือ การประคับประคองประชาธิปไตย เพราะถ้าประชาธิปไตยรับาลนี้ก็อยู่ได้
     
       นอกจากนี้ นายจตุพรยังกล่าวด้วยว่า ในวันที่ 25 ก.พ.นี้ จะมีการจัดกิจกรรมชูธงแก้รัธรรมนูญ ที่โบนันซ่าเขาใหญ่ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันถึงเช้าวันถัดไป โดยภายในงานจะมีคอนเสิร์ตและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลลหนีคดีอยู่ต่างประเทศ จะวิดีโอลิงก์มาร่วมกิจกรรมด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 300,000 คน
พิมพ์จาก http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000014963



Monday, October 24, 2011

Teaching Philosophy

Posted on  by admin
Snea Thinsan, Ph.D.

My teaching philosophy is synthesized from a few decades of my teaching and life experiences. Essentially, I have learned that details associated with teaching vary according to many factors, such as the disciplines and their structures (i.e. math, science, art, humanities), learner factors (i.e. age, background knowledge, cultural and learning experiences, socio-economic backgrounds, learning styles, motivation, and attitudes toward learning), modes of delivery (online, face-to-face, or blended), levels of education, learning goals, and so on. For example, the level of education with which teaching is associated is necessarily a vital factor. Teaching in higher education is quite different from teaching in primary and secondary education. Training students in higher education to teach in primary, middle and high schools, hence, will need to be based on insights into factors and issues related to all these levels of education. At present, when technology is an added ingredient, a lot of interesting research topics emerge, especially in terms of how we learn, interact, construct knowledge, and so on in the new world equipped and driven by technology.  My teaching philosophy below is just a digested version of all the complex possibilities of pedagogical and learning details.
Informed by critical pedagogy and critical literacy, I believe: that teaching should empower the learners, not intimidate or “dehumanize” (Paolo Freire) them; that learners bring with them knowledge and skills that should be built upon, not be suppressed, marginalized, or ignored; that dialogues among the learning community members (teacher/students as co-learners) are vital as they together try to unpack the unjust and often structurally violent sociopolitical and other systems around them; and that, with constant reflections and meaningful actions, the students become an able and active agent of change, not an intellectually and politically submissive citizen.
My dissertation and related literature on critical thinking have also convinced me that people, as learners, begin from different points in their intellectual development. The constructs of intellectuality are relative to different cultural and academic contexts, but it is possible for us to agree on some common, hierarchical intellectual traits.  Critical thinking, which emphasizes higher order thinking, is a tool that helps learners who value knowledge memorization and do not or cannot usually use their analytical, evaluative, and synthetic skills, which are crucial for intellectual development. It can be promoted as skills that carry the learners toward a higher level of intellectuality. Yet, critical thinking involves many micro skills that often require modeling, scaffolding, and, especially, proper and timely feedback by the teacher. At the same time, extended praxis (i.e. reflections and actions) by the learners is also instrumental in ensuring that they are equipped with what they need to move away from their ignorance, laziness, lack of self-confidence, lack of motivation, lack of hope, lack of fair-mindedness, lack of self-efficacy, and so on.
Inspired by constructivism, I firmly believe that knowledge should be generated or constructed in a learning community with the co-existence of various stimuli, multiple perspectives, critical lens, learner reflections on their diverse experiences, open exploration or inquiry, and individualized meaning-making tasks through social interactions. In this light, teaching is both individual and social, but the latter makes the learning tasks more fruitful, motivating, authentic, and, hence, successful in serving real life needs.  Additionally, my doctorate minor courses in Instructional Systems Technology have informed me that, in incorporating instructional technology and other instructional materials, the design and implementation of contents and pedagogical methodology should aim at facilitating individual learners’ cognitive processing, as well as at developing higher order thinking and meaningful actions. Vygotsky’s ZPD (Zone of Proximal Development), hence, should be enhanced not only by the more knowledgeable peers, but also by the thoughtful and procedurally facilitative teacher who can successfully increase the quality of learning without compromising the practices of student-centeredness and interactions.
///…
(Written in 2011)
This entry was posted in About Dr. ThinsanEducation, Love, Morality & PeaceFreire, Marx, Buddha, & Me,Intellectual TransformationLanguage Learning PedagogiesRevolutionary Pedagogies. Bookmark the permalink.

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา สงครามชายแดน...