ยินดีต้อนรับ
พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.
Wednesday, April 8, 2015
70 ปี"ประชาธิปัตย์"หลักการ-ดีแต่พูด-แมลงสาบ..อีกมากที่คุณอาจไม่เชื่อ? (คุณจอม และ อาจารย์สุธาชัย)
70 ปี"ประชาธิปัตย์"หลักการ-ดีแต่พูด-แมลงสาบ..อีกมากที่คุณอาจไม่เชื่อ? (คุณจอม และ อาจารย์สุธาชัย)
Published on Apr 8, 2015
ดร.สุธา ชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia เนื่องในโอกาสที่ปี 2558 วันที่ 6 เมษายน ที่ผ่านมา เป็นปีของการย่างก้าวเข้าสู่ปีที่ 70 ของ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเด็น ประวัติความเป็นมา อุดมการณ์ และแนวทางการต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ ตลอด 70 ปีที่ผ่านมาว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีความต่อเนื่องทางการเมืองในแต่ละยุค อุดมการณ์ของพรรคก็ไม่ได้ต่อสู้เพื่อประชา ธิไตยมาตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน ผลงานของพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่สามารถหยิบ ต้อง หรือนึกถึงได้เมื่อเวลาผ่านไป และยุคที่ถือว่าเป็น ยุคทองของพรรคประชาธิปัตย์คือ สมัยที่ นายชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าพรรค และยุคที่ตกต่ำที่สุดของประชาธิปัตย์คือ ยุคของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โอกาสของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะเข้ามามีบทบ าทในฐานะ พรรคนำทางการเมืองคงไม่มีอีกแล้ว หากยังไม่เปลี่ยนหัวหน้าพรรค และไม่เปลี่ยนยุทธศาสตร์ และอุดมการณ์ของพรรคให้ชัดเจนคือ ควรจะเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์เพื่อประชาธิป ไตยให้ชัดเจน ไม่ใช่เลือกที่จะเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมสุดช ั้ว หรือ พรรคขวาจัดอย่างทุกวันนี้ ส่วนฉายาที่ว่าเป็นพรรค"ดีแต่พูด&quo t;สะท้อน บุคลิกเฉพาะของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนเดียวเท่านั้น ส่วนฉายา พรรคแมลงสาบ ความหมายคือ ตายยาก แต่แม้ว่าจะเป็นพรรคที่เก่าแก่ ยาวนานที่สุด หากไม่มีคุณค่าทางการเมืองให้จดจำก็ไม่มีป ระโยชน์อะไร
ชวนคิดชวนคุย ดร.เพียงดิน ตอน เผด็จการทหารของเครือข่ายราชาธิปไตย ต้องการอะไร? และประชาชน ต้องทำอะไรบ้าง? 9 เมษายน 2558
เผด็จการทหารของเครือข่ายราชาธิปไตย ต้องการอะไร? และประชาชน ต้องทำอะไรบ้าง? โดย ดร.เพียงดิน รักไทย 9 เมษายน 2558
เผด็จการทหารของเครือข่ายราชาธิปไตย ต้องการอะไร? และประชาชน ต้องทำอะไรบ้าง?
โดย ดร.เพียงดิน รักไทย 9 เมษายน 2558
โดย ดร.เพียงดิน รักไทย 9 เมษายน 2558
Labels:
ชวนคิดชวนคุย,
เปลี่ยนระบอบ,
มดแดงล้มช้าง,
มหาวิทยาลัยประชาชน
Wall Street Journal ระบุ ประยุทธ์ มุ่งกระชับอำนาจเบ็ดเสร็จ!!!
แหงล่ะ ไม่ว่าประยุทธ์จะพยายามสร้างภาพแห่งความชอบธรรม ภาพการทำสิ่งที่ดีและจำเป็นสำหรับสังคมไทย แต่เนื้อแท้คือ เขาเป็นเผด็จการ เป็นผู้นำที่ปล้นอำนาจประชาชน เป็นทรราช เป็นผู้ร่วมฆ่าประชาชนในปี 2553 ฯลฯ วันนี้สิ่งที่เขาทำ จึงยังถูกสังคมโลก มองว่าเป็นการมุ่งรักษาอำนาจ ต่อท่ออำนาจ สาระทั้งหมดของสิ่งที่ประยุทธ์ทำ พร้อมกับภารกิจที่ขบวนเผด็จการทรราชย์ไทย กำลังจะทำนั้น ผมจะนำเสนอเป็นคลิปรายการ ชวนคิดชวนคุย เร็ว ๆ นี้ครับ
ลิ้งค์ข่าวภาษาอังกฤษ จาก Wall Street Journal อยู่ข้างล่างครับ
http://www.wsj.com/articles/thailands-martial-rule-1428448751
ย้อนไปดูอาการเป็นทหารของพระราชา
ลิ้งค์ข่าวภาษาอังกฤษ จาก Wall Street Journal อยู่ข้างล่างครับ
http://www.wsj.com/articles/thailands-martial-rule-1428448751
ย้อนไปดูอาการเป็นทหารของพระราชา
เมื่อน้องมันแกว ใช้สรีระ ทำคุณประโยชน์ ชวนและสอนสาว ๆ ตรวจมะเร็งเต้านม
เธอเป็นนางแบบโฆษณาที่กระทรวงสาธารณสุขไม่ต้องจ่ายตังค์จ้าง ที่ชอบเพราะเธอไม่ได้ตั้งใจยั่ว หรือแสดงออกแบบน่าเกลียด และสาระเชิงเนื้อหา ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ ใครอย่าหาว่าผมหื่นนะครับ แต่ยอมรับเถิด มีใครไม่ดูจนจบคลิปบ้าง โดยเฉพาะท่านชาย เหอ ๆ
มั่นนม อย่ามั่นใจ!!!!!ไม่ต้องไลค์ ไม่จำเป็นต้องแชร์แค่หื่นเสร็จแล้ว ช่วยบอกต่อ ให้คุณและคนใกล้ตัวคุณ ที่มีนม หันมาตรวจสุขภาพนมด้วยตัวเองปล.ขอโทษที่กัดปากค่ะ ฟีลลิ่งมันมา
Posted by รุ่งตะวัน ชัยหา on Tuesday, April 7, 2015
ใครที่ดูวิดีโอนี้ แล้วไม่หัวเราะ ไปหาจิตแพทย์นะครับ ฮ่า ๆ ๆ
สัญชาตญาณของผู้หญิงนี่แม่นจริงๆCr. ทัศนา เอี่ยมสะอาด
Posted by lakornhd.tv on Sunday, December 7, 2014
จับตาความหน้าด้าน ของผู้ต้องหา "ฆาตกร" แห่ง ประชาธิปัตย์
"คุณอภิสืทธ์ให้สัมภาษณ์. ในวันทำทำบุญพรรคว่าจะประคับประคองประเทศ. ผมฟังแล้วใจหายเลย"ท่านเป็นคนที่พูดเก่งคนหนึ่ง. พูดเ...
Posted by พูดแทนประชาชน คนธรรมดา on Wednesday, April 8, 2015
คม บาดลึก กับ สัญญาณขอขมา ของขรั่ววิชาการ อ.นิธิ-อ.ชาญวิทย์
คม บาดลึก กับ สัญญาณขอขมา ของขรั่ววิชาการ อ.นิธิ-อ.ชาญวิทย์
"ผู้เฒ่าขอขมา - รดน้ำดำหัวเยาวชน" เสาร์ที่ 11 เมษายน 2558 เวลา 16.00 น. ณ ลานปรีดีฯ ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ แล้วเจอกันครับ
"ผู้เฒ่าขอขมา - รดน้ำดำหัวเยาวชน" เสาร์ที่ 11 เมษายน 2558 เวลา 16.00 น. ณ ลานปรีดีฯ ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์แล้วเจอกันครับ
Posted by แนวร่วมสามัญชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ on Wednesday, April 8, 2015
ดูแล้วเห็นใจ "ทหารไทย"มาก ถูก "ชายชุดดำและนปช." ถล่มขนาดนั้นเลย
หลักฐานเด็ด! มัดตัวชายชุดดำ ชุดดำทั้งนั้น ทั้งคลิปเลย คลิปบันทึกเหตุการณ์ปี 53
Posted by กองทัพแมงจีนูนโค่นล้มระบอบทักษิณ on Thursday, September 11, 2014
เอางบที่ให้กษัตริย์และทหารเหี้ย ๆ มาพัฒนาประเทศ คนไทยคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้หลายเท่า
เอาข้อมูลข้างล่างมาจากบล็อกของสหายท่านหนึ่ง อ่านซ้ำแล้วก็ต้องอดที่จะตั้งคำถามและข้อสันนิษฐานตามหัวข้อข้างบนไม่ได้นะครับ
เอางบที่ให้กษัตริย์และทหารเหี้ย ๆ มาพัฒนาประเทศ คนไทยคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้หลายเท่า
__________________________
งบซื้ออาวุธ 150,000 ล้านบาท
เฉพาะ กระทรวงเดียวเท่านั้น (รวมทุกกระทรวงคงราว 20,000 ล้าน)
จากเดิมเสนอ 94,710,869,200 บาท ถูกปรับลดไป 435 ล้านบาท
กองทัพยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้เงินเพิ่มขึ้นกว่างบฯปี 2557
ถึง 3,863,723,900 บาท
- งบแผนงานเทิดทูนสถาบัน (เฉพาะกลาโหม ทบ ทร ทอ สำนักปลัด ราชองค์รักษ์)
เฉพาะ กระทรวงเดียวเท่านั้น (รวมทุกกระทรวงคงราว 20,000 ล้าน)
- ในส่วนของงบฯซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งอยู่ในแผนงานเสริมสร้าง
จากเดิมเสนอ 94,710,869,200 บาท ถูกปรับลดไป 435 ล้านบาท
กองทัพยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้เงินเพิ่มขึ้นกว่างบฯปี 2557
ถึง 3,863,723,900 บาท
- ส่วน แผนงานสร้างความปรองดองสมานฉันท์ 30,000,000 บาท
- แผนงานดำเนินการตามกรอบข้อตกลงของประชาคมอาเซียน 160,000,000 บาท
- แผนงานเทิดทูนสถาบัน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ 309,500,000 บาท
- แผนงานป้องกันปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด 217,807,000 บาท
กองทัพเรือ ได้งบประมาณทั้งสิ้น 37,522,191,700 บาท จากที่ขอไว้ 37,587,312,500 บาท ถูกปรับลดไป 65 ล้านบาท
แต่ก็มากกว่างบฯที่ได้จากปี 2557 ถึง 2,248,879,000 บาท
แผนงานแก้ไข ปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 692,151,000 บาท
แผนงานเทิดทูนสถาบัน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ 12,246,100 บาท
และแผนงานป้องกันปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด 48,669,700 บาท
ไม่ถูกลดงบฯ
กองทัพอากาศ ได้งบฯทั้งสิ้น 35,700,224,800 บาท
ลดลง7,127,000 บาท
โดยลดลงในส่วนของงบฯจัดซื้ออาวุธเช่นเดียวกับกองทัพบก-กองทัพเรือ
เหลือ 35,375,935,000 บาท แต่ปรับเพิ่มขึ้นจากงบฯปี 2557
ที่ได้ 33,283,945,700 บาท โดยมากกว่าถึง 2,091,989,300 บาท
ส่วนแผนงานสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ 600,000 บาท
แผนงานดำเนินการตามกรอบข้อตกลงของประชาคมอาเซียน 10,500,000 บาท
แผนงานเทิดทูนสถาบัน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ 35,300,000 บาท
แผนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
และแผนงานป้องกันปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด 24,730,300 บาท
ไม่ถูกตัดงบฯ
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้งบฯทั้งสิ้น 7,771,268,700 บาท
จากที่ขอไปทั้งสิ้น 7,776,268,700 บาท โดยปรับลด 5,000,000 บาท
ในส่วนแผนงานเสริมสร้างระบบป้องกันประเทศ
ด้านแผนอื่น ๆ ได้แก่ แผนงานสร้างความปรองดองสมานฉันท์ 7,567,700 บาท
แผนงานดำเนินการตามกรอบข้อตกลงของประชาคมอาเซียน 26,965,700 บาท
แผนงานเทิดทูนสถาบัน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ 888,794,700 บาท
แผนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
และแผนงานป้องกันปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด 2,516,000 บาท
กองบัญชาการกองทัพไทย ได้รับงบฯ 14,779,666,600 บาท
ขณะที่กรมราชองครักษ์ ในแผนงานเทิดทูน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหากษัติรย์ ได้งบฯทั้งสิ้น 619,472,700 บาท และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
(องค์การมหาชน) ได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 1,070,655,500 บาท
จากที่ขอไว้ 1,073,655,500 ลดลง 3 ล้านบาท
แต่ก็มากกว่างบฯที่ได้จากปี 2557 ถึง 2,248,879,000 บาท
- ขณะที่แผนงานอื่น ๆ ได้แก่ แผนงานสร้างความปรองดองสมานฉันท์ 9,000,000 บาท
แผนงานแก้ไข ปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 692,151,000 บาท
แผนงานเทิดทูนสถาบัน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ 12,246,100 บาท
และแผนงานป้องกันปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด 48,669,700 บาท
ไม่ถูกลดงบฯ
กองทัพอากาศ ได้งบฯทั้งสิ้น 35,700,224,800 บาท
ลดลง7,127,000 บาท
โดยลดลงในส่วนของงบฯจัดซื้ออาวุธเช่นเดียวกับกองทัพบก-กองทัพเรือ
เหลือ 35,375,935,000 บาท แต่ปรับเพิ่มขึ้นจากงบฯปี 2557
ที่ได้ 33,283,945,700 บาท โดยมากกว่าถึง 2,091,989,300 บาท
ส่วนแผนงานสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ 600,000 บาท
แผนงานดำเนินการตามกรอบข้อตกลงของประชาคมอาเซียน 10,500,000 บาท
แผนงานเทิดทูนสถาบัน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ 35,300,000 บาท
แผนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
และแผนงานป้องกันปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด 24,730,300 บาท
ไม่ถูกตัดงบฯ
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้งบฯทั้งสิ้น 7,771,268,700 บาท
จากที่ขอไปทั้งสิ้น 7,776,268,700 บาท โดยปรับลด 5,000,000 บาท
ในส่วนแผนงานเสริมสร้างระบบป้องกันประเทศ
ด้านแผนอื่น ๆ ได้แก่ แผนงานสร้างความปรองดองสมานฉันท์ 7,567,700 บาท
แผนงานดำเนินการตามกรอบข้อตกลงของประชาคมอาเซียน 26,965,700 บาท
แผนงานเทิดทูนสถาบัน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ 888,794,700 บาท
แผนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
และแผนงานป้องกันปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด 2,516,000 บาท
กองบัญชาการกองทัพไทย ได้รับงบฯ 14,779,666,600 บาท
ขณะที่กรมราชองครักษ์ ในแผนงานเทิดทูน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหากษัติรย์ ได้งบฯทั้งสิ้น 619,472,700 บาท และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
(องค์การมหาชน) ได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 1,070,655,500 บาท
จากที่ขอไว้ 1,073,655,500 ลดลง 3 ล้านบาท
ดาอยากด่า ตอน แม่หมอดูป้าดา สอนหลานตู่เหล่ ผู้งมงาย !!!
ดาอยากด่า ตอน แม่หมอดูป้าดา สอนหลานตู่เหล่ ผู้งมงาย !!! หลานตู่เหล่ขาาาาาา...จากอาการผู้นำฟันน้ำนมยังหักไม่หมดของนู๋ แม่หมอดูป้าดา เชื่อแล้วค่ะ ว่า นู๋ มีความเชื่ออย่างงมงาย ในลัทธิเทวราชนิยม จึงเที่ยวได้โทษโชคชะตาฟ้าลิขิต ขีดเขี่ยเหี้ยอย่างนู๋ให้เดินตาม เพราะนู๋ไร้ความสามารถปรารถนาคุณไสย์ จนต้องให้โหนตุ๊ดแต๋วต่องแต่งชี้นำให้เดิน ม.44 คือขี้ ที่กำไว้ ใช้สะกดประชาชนให้เป็นหิน นู๋.. ดิ้นอยู่ในอำนาจ แล้วป้าดาก็สอนว่าอย่าไว้ใจในมนุษย์ (พันธ์ุเดียวกับนู๋) นะจ๊ะ เพราะป้าดา มองไม่เห็นเงาหัวนู๋ค่ะ นับถอยหลัง สืบชะตา จะอายุสั้น ฝันสลายกลายเป็นผีหัวขาด แม่หมอดูป้าดา ฟันแท้ เอ๊ยยย ฟันธง !!! นู๋ จะตกลงจากเก้าอี้นาโย๊กกกก พกดวงไปดูต่อที่ดาวอังคาร ล้านนนเปอร์เซ็นต์ ชัวร์สสสส..!!!! 555
ดาอยากด่า ตอน แม่หมอดูป้าดา สอนหลานตู่เหล่ ผู้งมงาย !!!หลานตู่เหล่ขาาาาาา...จากอาการผู้นำฟันน้ำนมยังหักไม่หมดของนู๋ แม...
Posted by ดารุณี กฤตบุญญาลัย - Darunee Kritboonyalai on Wednesday, April 8, 2015
ประชาชนได้โค่นล้ม ตัวบุคคล "ทรราช" (ผู้ปกครองที่ชั่วช้า) สำเร็จมาแล้วหลายครั้ง
เห็นป้าเพ็ญเอาวิดีโอนี้มาวางที่เฟสบุ๊ค อดชื่นชมทีมทำสารคดีสั้น ๆ นี้ไม่ได้ ดูจากการอ่านและการทำ แสดงว่าตั้งใจมาก และแม้ไม่ใช่มืออาชีพ แต่ทำอย่างสุดกำลังและทำดีมาก ๆ ด้วย จึงขอให้กำลังใจ และอยากให้ช่วยกันผลิตชุดความจริงและความรู้ เพื่อเปิดตาคนไทย ให้ช่วยกันปลดแอกทรราชออกมา ช่วยกันสร้างบ้านแปงเมืองใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ให้ลูกหลานสืบต่อไป นั่นคือ ณ วันนี้ เรามีภารกิจร่วมกัน โค่นทรราชให้ได้ แต่ต้องโค่น "ระบอบทรราชย์" ให้หมดสิ้นด้วย
"ทรราช" คือ อะไร? เกิดขึ้นเมื่อไร?ตลอดเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมของทุกๆปี..จะมีเรื่องราวของการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนแล...
Posted by Red Thai on Wednesday, April 8, 2015
จะให้ศาสนาอิสลาม กลืนศาสนาพุทธ บนแผ่นดินไทย ความคิดที่เป็นภัยอย่างมหันต์
จะให้ศาสนาอิสลาม กลืนศาสนาพุทธ บนแผ่นดินไทย ความคิดที่เป็นภัยอย่างมหันต์ แค่คิดก็ผิดแล้ว
ข่าวการระดมซื้อที่ดินทางเหนือและอีสานโดยกลุ่มมุสลิม ข่าวการตั้งมัสยิดในทุกจังหวัด ข่าวการที่หลังรัฐประหารปี 2549 มีการแก้กฎหมายให้ชาวมุสลิมไทยได้สิทธิพิเศษมากมาย และข่าวการกดบี้และจ้องทำลายพระในพุทธศาสนา ฯลฯ เหล่านี้ มีอยู่ตลอดมา และล่าสุด ข่าวการไปยึดจังหวัดน่านของขบวนการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม และวันนี้ ก็มีข่าวทำนองเดียวกัน ที่จังหวัดเชียงใหม่ ....ผมคิดอย่างไร? เอาแบบสั้น ๆ นะครับ
ความขัดแย้งอันเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา ที่ทำให้คนต่างลัทธิหรือต่างศาสนาและวัฒนธรรม อยู่ด้วยกันไม่ได้ และทำให้เกิดความรุนแรงชนิดป่าเถื่อนเกินมาตรฐานศีลธรรมของทุกศาสนานั้น ได้อุบัติมานานแล้ว และวันนี้ กำลังเสี่ยงยิ่งที่จะระเบิดขึ้นในสังคมไทย สิ่งที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ใคร ๆ อาจจะมองว่า เป็นผลมาจากการกระทำของภาครัฐของรัฐไทย ที่เหยียบย่ำคนต่างาเชื้อชาติและศาสนา ที่อยู่ใต้แผ่นดินไทย ซึ่งมันจริง แต่มันเป็นแค่เหตุหลักประการหนึ่งเท่านั้น จริง ๆ แล้วรากของปัญหา คือความเชื่อทางศาสนาอิสลาม ซึ่งให้สิทธิหรือกระตุ้นให้ใช้ความรุนแรงเพื่อป้องกันการกดขี่ข่มเหง และแม้แต่ใช้กับพวกต่างศาสนาได้ ดังที่ได้บัญญํติไว้ในพระคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งพี่น้องมุสลิมก็คงทราบดี แต่ว่า การตีความของศาสนิกชนมุสลิมส่วนใหญ่ ก็อยู่ในอีกมิติหนึ่ง คือรักเพื่อนบ้าน และศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ (ซึ่งคนส่วนใหญ่เขาก็สันติภาพดี แต่ตัวคำสอนนั้น อาจจะตีความแล้ว ไม่ค่อยสันตินัก -- ลองไปค้นในยูทูป ซึ่งมีมากมาย) และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ศาสนาอิสลามนั้น (รวมทั้งศาสนาพุทธด้วย) ถูกนำไปใช้เพื่อผลทางการเมือง (politicized) และทำให้เกิดสำนึกว่า ตนสามารถขับไล่หรือยึดครองแผ่นดินรอบ ๆ ตนได้ เพื่อให้เป็นศาสนาที่บริสุทธิ์ (purify) นี่จึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการฆ่าพระ เผาโรงเรียน และข่มขู่คนศาสนาอื่นให้ออกจากพื้นที่ตน และความพยายามจะ purify แบบใจแคบและหลงตัวเองนี้เอง มีกระแสของความเป็นพี่น้อง (brotherhood) กันของพี่น้องมุสลิมทั่วโลก (ซึ่งในส่วนดี คือการรวมตัว ป้องกันการทำร้ายพี่น้องที่ไม่มีอำนาจ และช่วยกันด้านมนุษยธรรม) และนี่ก็ทำให้ความรุนแรง มีการสนับสนุนจากต่างประเทศ ทำให้ความขัดแย้งบานปลาย และทำให้เงินทองที่จะก่อให้เกิดการลุกลาม ถึงขั้นมีคนสงสัยว่า มุสลิมจะยึดประเทศไทย มันมีเค้าลาง
ผมไม่ได้มาโจมตีศาสนาอิสลาม แต่ยกภาพกว้าง ๆ ของสิ่งที่เกิดขึ้น และเหตุที่ผมมองเห็น ไม่ได้ตั้งใจสื่อความเหตุในเชิงอคติกับศาสนาใด แต่ผมเห็นว่า หากชาวมุสลิม ยังคิดจะใช้แผนในการเอาคนของตนไปอยู่ระดับสูง รุกคืบไปในจังหวัดต่าง ๆ ยึดพื้นที่ ยึดอำนาจการปกครอง ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศแล้ว พยายามเอาศาสนาอิสลามไปยัดเยียดให้คนพุทธ หรือไปรุกล้ำพื้นที่ว่างทางความเห็นต่างและวิถีวัฒนธรรม ผมไม่เชื่อว่า ชาวพุทธจะหันไปนับถืออิสลาม (ซึ่งในส่วนอิสลามจะเปลี่ยนเป็นพุทธนั้น ไม่มีอยู่แล้ว เพราะศาสนานี้มีข้อกำหนดที่ค่อนข้างใจแคบ คือเขายอมไม่ได้นะครับ หากทำก็ถือเป็นผู้ทรยศ มีสิทธิถูกฆ่าตายได้ง่าย ๆ หากยังพบปะกับพี่น้องในศาสนาเดิม) สิ่งที่ผมเดาว่าจะเกิดขึ้น หากผู้นำไทยดึงศาสนิกชนของพุทธกับอิสลามไปอยู่ใกล้กัน โดยมีวาระทางการเมืองที่ผลักดันโดยผู้นำศาสนาและการเมืองที่ใฝ่ศาสนา แล้วหวังฮุบประเทศไทยนั้น การฆ่าชาวมุสลิมแบบที่ชาวพุทธโดนฆ่าในแดนมุสลิมใต้นั้น จะเกิดขึ้นแบบที่ชาวโลกคาดไม่ถึงและจะตะลึงว่า ชาวพุทธที่ว่าจิตใจโอบอ้อมอารีย์นั้น จะทำได้ขนาดนั้น เชียวหรือ? ผมบอกให้เลยนะครับ ชาวพุทธเมือง มีสองบุคลิก บทจะอดทน ใจดี มีน้ำใจโอบอ้อม ก็จะเป็นแบบนั้น อย่างเป็นธรรมชาติ แต่บทที่จะสู้ และใช้ความโหดขึ้นมา ผมว่าเขาก็ทำได้ ไม่แพ้ชาวมุสลิมที่นิยมความรุนแรงบางกลุ่ม เช่นกัน
ดังนั้น บทสรุปที่ผมขอมอบให้ผู้ปกครองบ้านเมือง (ด้วยอำนาจเถื่อน ซึ่งประชาชนจะต้องสะสางโทษย้อนหลังแน่ ๆ) วันนี้ก็คือ อย่าชักศึกเข้าบ้าน อย่าเริ่มจุดไฟเผาเรือนอีกเลย เพราะไฟศาสนานี้ มันได้ทำร้ายโลกมานักต่อนักแล้ว!!! รักแผ่นดินไทยจริง อย่าเอาศาสนาอิสลามไปปนกับพุทธ โดยคิดว่าจะอยู่ด้วยกันได้ หรือจะให้อิสลามกลืนพุทธ เพราะแค่คิดก็ผิดแล้วครับ!
+++++++++++++
ข่าวล่าสุดจากมติชน
ความขัดแย้งอันเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา ที่ทำให้คนต่างลัทธิหรือต่างศาสนาและวัฒนธรรม อยู่ด้วยกันไม่ได้ และทำให้เกิดความรุนแรงชนิดป่าเถื่อนเกินมาตรฐานศีลธรรมของทุกศาสนานั้น ได้อุบัติมานานแล้ว และวันนี้ กำลังเสี่ยงยิ่งที่จะระเบิดขึ้นในสังคมไทย สิ่งที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ใคร ๆ อาจจะมองว่า เป็นผลมาจากการกระทำของภาครัฐของรัฐไทย ที่เหยียบย่ำคนต่างาเชื้อชาติและศาสนา ที่อยู่ใต้แผ่นดินไทย ซึ่งมันจริง แต่มันเป็นแค่เหตุหลักประการหนึ่งเท่านั้น จริง ๆ แล้วรากของปัญหา คือความเชื่อทางศาสนาอิสลาม ซึ่งให้สิทธิหรือกระตุ้นให้ใช้ความรุนแรงเพื่อป้องกันการกดขี่ข่มเหง และแม้แต่ใช้กับพวกต่างศาสนาได้ ดังที่ได้บัญญํติไว้ในพระคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งพี่น้องมุสลิมก็คงทราบดี แต่ว่า การตีความของศาสนิกชนมุสลิมส่วนใหญ่ ก็อยู่ในอีกมิติหนึ่ง คือรักเพื่อนบ้าน และศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ (ซึ่งคนส่วนใหญ่เขาก็สันติภาพดี แต่ตัวคำสอนนั้น อาจจะตีความแล้ว ไม่ค่อยสันตินัก -- ลองไปค้นในยูทูป ซึ่งมีมากมาย) และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ศาสนาอิสลามนั้น (รวมทั้งศาสนาพุทธด้วย) ถูกนำไปใช้เพื่อผลทางการเมือง (politicized) และทำให้เกิดสำนึกว่า ตนสามารถขับไล่หรือยึดครองแผ่นดินรอบ ๆ ตนได้ เพื่อให้เป็นศาสนาที่บริสุทธิ์ (purify) นี่จึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการฆ่าพระ เผาโรงเรียน และข่มขู่คนศาสนาอื่นให้ออกจากพื้นที่ตน และความพยายามจะ purify แบบใจแคบและหลงตัวเองนี้เอง มีกระแสของความเป็นพี่น้อง (brotherhood) กันของพี่น้องมุสลิมทั่วโลก (ซึ่งในส่วนดี คือการรวมตัว ป้องกันการทำร้ายพี่น้องที่ไม่มีอำนาจ และช่วยกันด้านมนุษยธรรม) และนี่ก็ทำให้ความรุนแรง มีการสนับสนุนจากต่างประเทศ ทำให้ความขัดแย้งบานปลาย และทำให้เงินทองที่จะก่อให้เกิดการลุกลาม ถึงขั้นมีคนสงสัยว่า มุสลิมจะยึดประเทศไทย มันมีเค้าลาง
ผมไม่ได้มาโจมตีศาสนาอิสลาม แต่ยกภาพกว้าง ๆ ของสิ่งที่เกิดขึ้น และเหตุที่ผมมองเห็น ไม่ได้ตั้งใจสื่อความเหตุในเชิงอคติกับศาสนาใด แต่ผมเห็นว่า หากชาวมุสลิม ยังคิดจะใช้แผนในการเอาคนของตนไปอยู่ระดับสูง รุกคืบไปในจังหวัดต่าง ๆ ยึดพื้นที่ ยึดอำนาจการปกครอง ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศแล้ว พยายามเอาศาสนาอิสลามไปยัดเยียดให้คนพุทธ หรือไปรุกล้ำพื้นที่ว่างทางความเห็นต่างและวิถีวัฒนธรรม ผมไม่เชื่อว่า ชาวพุทธจะหันไปนับถืออิสลาม (ซึ่งในส่วนอิสลามจะเปลี่ยนเป็นพุทธนั้น ไม่มีอยู่แล้ว เพราะศาสนานี้มีข้อกำหนดที่ค่อนข้างใจแคบ คือเขายอมไม่ได้นะครับ หากทำก็ถือเป็นผู้ทรยศ มีสิทธิถูกฆ่าตายได้ง่าย ๆ หากยังพบปะกับพี่น้องในศาสนาเดิม) สิ่งที่ผมเดาว่าจะเกิดขึ้น หากผู้นำไทยดึงศาสนิกชนของพุทธกับอิสลามไปอยู่ใกล้กัน โดยมีวาระทางการเมืองที่ผลักดันโดยผู้นำศาสนาและการเมืองที่ใฝ่ศาสนา แล้วหวังฮุบประเทศไทยนั้น การฆ่าชาวมุสลิมแบบที่ชาวพุทธโดนฆ่าในแดนมุสลิมใต้นั้น จะเกิดขึ้นแบบที่ชาวโลกคาดไม่ถึงและจะตะลึงว่า ชาวพุทธที่ว่าจิตใจโอบอ้อมอารีย์นั้น จะทำได้ขนาดนั้น เชียวหรือ? ผมบอกให้เลยนะครับ ชาวพุทธเมือง มีสองบุคลิก บทจะอดทน ใจดี มีน้ำใจโอบอ้อม ก็จะเป็นแบบนั้น อย่างเป็นธรรมชาติ แต่บทที่จะสู้ และใช้ความโหดขึ้นมา ผมว่าเขาก็ทำได้ ไม่แพ้ชาวมุสลิมที่นิยมความรุนแรงบางกลุ่ม เช่นกัน
ดังนั้น บทสรุปที่ผมขอมอบให้ผู้ปกครองบ้านเมือง (ด้วยอำนาจเถื่อน ซึ่งประชาชนจะต้องสะสางโทษย้อนหลังแน่ ๆ) วันนี้ก็คือ อย่าชักศึกเข้าบ้าน อย่าเริ่มจุดไฟเผาเรือนอีกเลย เพราะไฟศาสนานี้ มันได้ทำร้ายโลกมานักต่อนักแล้ว!!! รักแผ่นดินไทยจริง อย่าเอาศาสนาอิสลามไปปนกับพุทธ โดยคิดว่าจะอยู่ด้วยกันได้ หรือจะให้อิสลามกลืนพุทธ เพราะแค่คิดก็ผิดแล้วครับ!
+++++++++++++
ข่าวล่าสุดจากมติชน
เตรียมจัดเวทีรับฟังความเห็นสวนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จ.เชียงใหม่
จ.เชียงใหม่ เตรียมทำความเข้าใจกับชาว อ.ดอยหล่อ ถึงข้อดีข้อเสียของการก่อสร้างสวนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล และยืนยันว่าการคืนบัตรข้าราชการของผู้นำชุมชน เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย ไม่มีผลต่อการบริหารราชการในพื้นที่
ชาวบ้านใน ต.ดอยหล่อ อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสวนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลที่จะใช้พื้นที่ของกรมธนารักษ์ใน ต.ดอยหล่อ กับ ต.สันติสุข อ.ดอยหล่อ กว่า 800 ไร่ เป็นสถานที่ก่อสร้าง เพราะส่วนใหญ่ยังกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และวิถีชีวิตของชาวบ้าน
โดยก่อนหน้านี้ กลุ่มผู้นำชุมชนทั้งกำนัน และผู้ใหญ่บ้าน 4 ตำบลใน อ.ดอยหล่อ กว่า 60 คน ได้คืนบัตรข้าราชการให้กับ จ.เชียงใหม่ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย และขอให้ทบทวนโครงการนี้ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเข้ามาให้ความรู้ และข้อมูลกับชาวบ้านแต่อย่างใด
นายนาวิน สินธุสอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า กรณีนี้ยังไม่มีผลกระทบกับการบริหารราชการในพื้นที่ โดยยอมรับว่าแม้จะมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่อยากให้รอฟังการชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน และเชื่อว่าหากโครงการนี้เกิดขึ้นจริง น่าจะส่งผลดีมากกว่าผลเสีย
ในวันที่ 7 เมษายน 2558 จ.เชียงใหม่ จะเปิดเวทีพูดคุยระหว่างสำนักจุฬาราชมนตรี คณะกรรมการอิสลาม จ.เชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจกับชาวบ้าน รวมถึงการทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั้งอำเภอ หากจะต้องเดินหน้าโครงการนี้
สวนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลเป็นแนวคิดของ จ.เชียงใหม่ ร่วมกับหอการค้า จ.เชียงใหม่ สำนักจุฬาราชมนตรี กรมธนารักษ์ และกรรมการอิสลามประจำ จ.เชียงใหม่ เพื่อต้องการผลิตอาหาร และสินค้าชนิดต่างๆ ขายให้กับชาวมุสลิมทั่วโลก โดยใช้งบประมาณ 6,000 - 7,000 ล้านบาท แต่ชาวบ้านในพื้นที่บางส่วนไม่เห็นด้วย เพราะตามมาตรฐานอาหารฮาลาลระบุว่าพนักงานที่ผลิตควรเป็นชาวมุสลิมเท่านั้น จึงกังวลว่าโครงการนี้อาจไม่ช่วยสร้างงานและอาชีพให้กับคนในพื้นที่
เบื้องหลัง 10 เมษาฯ ถล่ม “บูรพาพยัคฆ์” ฆาตกรมือเปื้อนเลือดที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จวันนี้ (มติชนสุดฯ)
เบื้องหลัง 10 เมษาฯ ถล่ม “บูรพาพยัคฆ์” (ขอบคุณ มติชนสุดฯ)
หลัง ความพ่ายแพ้ ทั้งที่สถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว เมื่อ 9 เมษายน และโดยเฉพาะเหตุนองเลือด 10 เมษายน 2553 ที่แยกคอกวัวและถนนดินสอ สถานภาพที่แท้จริงของกองทัพไทยก็ปรากฏโดยพลัน พร้อมๆ กับบทเรียนและบาดแผลจากสงคราม
ชื่อของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. กับเพื่อนรัก บิ๊กหนุ่ย พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. กลับถูกวิพากษ์ลั่นกองทัพ แม้ว่าจะทำเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองก็ตาม
ด้วยรู้กันว่าก่อนหน้า นั้นบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แม้จะไม่ได้เป็น “ทหารแตงโม” แต่ก็ใส่เกียร์ว่าง รักษาเนื้อรักษาตัวกลัวเป็น ผบ.ทบ. มือเปื้อนเลือด จึงปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ น้องรัก ใส่เกียร์ 5 เดินหน้าเต็มตัว ประหนึ่งเป็น ผบ.ทบ. โดยมี พล.ท.ดาว์พงษ์ ประหนึ่งเป็น เสธ.ทบ. ราวกับเตรียมฝึกงานไว้ก่อน
การเสียหน้าเสียฟอร์ม เสียศักดิ์ศรี ที่ทหารพร้อมใจกันแตกทัพ ถูกคนเสื้อแดงต้อนหนีออกทุ่งนา ไม่ว่าจะเพราะเป็นแตงโม หรือไม่กล้าใช้ความรุนแรง กลัวต้องรับผิดชอบหรือสร้างเงื่อนไข ก็ตาม รวมทั้งความคาดหวังหลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่าต้องจัดการเด็ดขาด พร้อมทั้ง “คำสั่งพิเศษ” ที่ว่า “ให้จบก่อนสงกรานต์ที่กดดันทั้งรัฐบาลและกองทัพ
ทำ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.ท.ดาว์พงษ์ ไม่รีรอที่จะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า ที่บังคับให้เรียกอย่างสวยหรูว่า “ขอคืนพื้นที่” หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ต้องการให้ทำมานานแล้ว
แต่ยุทธการ “ยึดผ่านฟ้า” กลับเริ่มต้นตอนบ่ายโมงเศษๆ โดยฉวยโอกาสเมื่อคนเสื้อแดงบุกไล่ทหารที่กองทัพภาค 1 เพราะกลัวว่าจะมาสลายการชุมนุม จึงมีเวลาปฏิบัติการแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนพลบค่ำ ซึ่งตามหลักนิยมทหารแล้วจะหลีกเลี่ยงเพราะควรจะเป็นช่วงก่อนรุ่งสางมากกว่า เลือกเวลาที่ม็อบอ่อนล้าอ่อนเพลีย หรือลดจำนวนน้อยลง แถมมีเวลาปฏิบัติการได้ทั้งวันหากจะปิดเกม
ทั้งๆ ที่เพลี่ยงพล้ำก็ควรจะหยุดเพื่อตั้งหลักตามยุทธวิธี แต่อาจด้วยเพราะ “อารมณ์” กลับมีคำสั่งให้เสริมกำลังทหารพร้อมเสียงกรอกใส่โทรศัพท์ว่า “ต้องให้จบในคืนนี้” ทั้งๆ ที่ปฏิบัติการทางทหารต้องใช้สถานการณ์เป็นตัวตัดสิน ต้องค่อยๆ ก้าวอย่างมีกลยุทธ์ ไม่เร่งรัดหรือขีดเส้นเวลา ที่สำคัญ ต้องไม่ให้ปัจจัยการเมืองมาแทรกแซงปฏิบัติการทางทหาร
งานนี้ บรรดาทหาร “วงศ์เทวัญ” จากกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล. 1 รอ.) รับผิดชอบวงนอก ตั้งแต่พระราชวังจิตรลดาฯ ตามถนนราชดำเนิน ไปสู่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่มีการปะทะกับคนเสื้อแดง แต่ก็แค่ใช้รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง
แม้จะ “หัว เสธ.” แค่ไหน แต่ก็จบจากโรงเรียนเดียวกัน เรียนตำราเล่มเดียวกันมา เมื่อกองทัพต้องใช้แผน “ล้อมปราบ” ด้วยการใช้ “ทหารป่า” อย่างกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) กาญจนบุรี บุกมาทางฝั่งธนบุรี สะพานพระปิ่นเกล้า ส่วนกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) อันโด่งดังในชื่อ “บูรพาพยัคฆ์” ออกจากทั้งที่รวมพลที่กองทัพภาค 1 และ บก.ทบ. เดินหน้าลุยเข้าถนนดินสอ หน้า ร.ร.สตรีวิทยา และแยกไปทางวัดบวรนิเวศน์ฯ บางลำพู เข้าถนนตะนาว ข้าวสาร และแยกคอกวัว
โดยมีกำลังเสริมจาก กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) มาเสริม โดยเฉพาะรถสายพานลำเลียงพล แบบที-85 จากจีน รวม 9 คัน เพื่อหวังเป็นด่านหน้าในการบุกตะลุย และเป็นเกราะกำบังภัยให้ทหาร เพื่อไป “รวมกันตี” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วบุกเข้ายึดผ่านฟ้า พร้อมกับกำลังจาก พล.1 รอ. ที่จะบุกมาจากทางแยก จปร.
ในเมื่อฝั่ง ฝ่ายเสื้อแดงก็มีทั้งทหารเก่าทหารแก่ และทหารแตงโมที่เชี่ยวการศึก วางกลยุทธ์ให้ และใช้ข้ออ้าง เมื่อมีกระสุนจากปืนสไนป์เปอร์จากตึกสูงพุ่งเข้าหัวคนเสื้อแดงแตกกระจุย ทั้งเอ็ม 67 และเอ็ม 79 ก็ระดมใส่ทหาร ผ่านฟ้าลีลาศ จึงไม่กลายเป็น “เทียนอันเหมิน” อย่างเช่นที่ทหารจีนใช้รถถังและอาวุธกระสุนจริงปราบปรามนักศึกษาและประชาชน ที่เรียกร้องประชาธิปไตย ในห้วงเวลาเดียวกันนี้ของเมื่อ 21 ปีก่อน
โดย ลูกแรก หมายเด็ดหัวแม่ทัพนายกอง หยอดใส่วงประชุมจัดกำลังของบิ๊กอู๊ด พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ. ที่กำลังถกกับผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพัน ทั้งเหล่าบูรพาพยัคฆ์ ทหารม้า และทหารรบพิเศษ 2 ลูกติดกัน จนทัพระส่ำแตกพ่าย เอารถสายพานฯ หนีได้แค่ 3 คัน ที่เหลือถูกยึด รวมทั้งทหารประจำรถและอาวุธต่างๆ เมื่อถอยร่นกันอุตลุต หิ้วลากร่างทหารทั้งที่ไร้วิญญาณและบ้างโชกเลือด ไม่ต่างจากคนเสื้อแดง
การ สูญเสียของทั้งสองฝ่าย ยิ่งสำหรับทหารแล้ว ถือว่าที่เสียชีวิต 6 คน บาดเจ็บอีก 230 คน สาหัส 90 คนนั้น มากกว่าสงครามครั้งใดเลยด้วยซ้ำ แถมนายทหารสัญญาบัตรสายเลือดเตรียมทหาร จปร. ทั้งตายและเจ็บ ที่สำคัญล้วนเป็น “ทหารเสือราชินี” ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ เสธ.เปา พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. เป็นศพแรก
ส่วน พล.ต.วลิต ขาซ้ายแตกหัก 3 ท่อน ที่ต้องดามเหล็ก ไม่นับแผลตามร่าง พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช ผบ.ร.12 พัน 2 รอ. ที่สะเก็ดเอ็ม 79 ฝังในศีรษะเจาะสมอง แม้จะพ้นขีดอันตรายแต่ก็ไม่มีวันกลับมาเป็นผู้พันไก่คนเดิม พ.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผบ.ร.21 รอ.หน่วยทหารเสือราชินี ก็ถูกสะเก็ดฝังที่ต้นขา พ.ท.นพสิทธิ์ สิทธิพงษ์โสภณ ผบ.ม.พัน 3 รอ. ที่จู่ๆ ต้องมีสะเก็ดเอ็ม 79 ฝังอยู่ในขาทั้งสองข้าง โดยหมอไม่ผ่าออก เพราะเกรงกระทบเส้นประสาทกล้ามเนื้อ ไม่นับรวมระดับรองผู้การกรม ผู้พัน และรองผู้พัน ที่ล้วนเป็น จปร. อีกหลายคน
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเป็นการส่วนพระองค์เพื่อเยี่ยมบรรดาทหารเสือราชินี ที่ล้วนเคยถวายงาน ถึงที่ ร.พ.พระมงกุฎเกล้าฯ รวมทั้งพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พ.อ.ร่มเกล้า ด้วยพระองค์เอง
การศึกนี้ นอกจากแพ้พ่ายแล้ว ยังเสียขุนพล และเสียทหารไป 1 กองพล คือ พล.ร.2 รอ. ที่ต้องเรียกว่า “ละลาย” ไปเลย เพราะในจำนวนทหารที่บาดเจ็บกว่า 200 คนนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบูรพาพยัคฆ์
จึง ไม่แปลกที่ พล.ต.วลิต จะรู้ตัวว่า ถูกหมายหัว เพราะมีการชี้เป้า ก่อนที่กองกำลังไม่ทราบฝ่ายจะหยอดเอ็ม 79 ลงตรงพอดี แถมทั้งบรรดานายทหารที่แต่งกายต่างจากกำลังพลไปยืนรวมเป็นจุดใหญ่ ทั้งๆ ที่มีรถสายพานเป็นเกราะอยู่ จึงเป็นเสมือนการล้างแค้นที่ พล.ร.2 รอ. เคยปราบปรามเสื้อแดง ที่สามเหลี่ยมดินแดงเมื่อสงกรานต์ปีที่แล้ว จนได้รับยกย่องจาก ทบ. ไว้ด้วยนั่นเอง ไม่นับรวมความโดดเด่นของหน่วย ที่ในยุค 3 ป.นี้ถือเป็นยุคทอง ที่ทหารหน้าไหนก็พากันหมั่นไส้ จึงอาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยัง บูรพาพยัคฆ์ พร้อมกันนั้นก็เป็นบทเรียนของสิงห์ตะวันออก ทั้งน้อยใหญ่ รวมทั้ง ป้อม – ป๊อก – ประยุทธ์ ด้วยนั่นเอง
บทเรียน 10 เมษายน ทำให้เกิดการเรียกขาน พล.ท.ดาว์พงษ์ เป็น “แม่ทัพภาคศูนย์” เพราะสั่งการโดยตรงยัง ผบ.หน่วยคุมกำลังด้วยตัวเอง บางครั้งไม่ผ่านบิ๊กอ๊อด พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาค 1 ด้วยซ้ำ ที่อาจเป็นเพราะเคยพลาดหวังจากเก้าอี้แม่ทัพภาค 1 มาก่อน ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสได้แสดงฝีมือ แถมทั้งไม่วางใจใคร จนถึงขั้นที่ต้องสวมบท “จ่า” ลงไปยืนจี้ชี้สั่งการนายสิบ พลทหาร ในพื้นที่เองเลยทีเดียว เพราะมีดาบอาญาสิทธิ์ จาก พล.อ.ประยุทธ์
จึง เกิดการจับคู่ ทหารวงศ์เทวัญกับบูรพาพยัคฆ์ เกิดขึ้น ด้วย พล.ท.ดาว์พงษ์ เติบโตจาก ร.11 รอ. และในพล.1 รอ. ส่วน พล.ท.คณิต รุ่นน้อง ตท.13 โตมาจาก พล.ร.2 รอ. แถมต้องมาชิงเก้าอี้ห้าเสือ ทบ. และเป็นที่ไว้วางใจของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อขึ้นเป็น ผบ.ทบ.
งานนี้ เตรียมทหาร 12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ประธานรุ่น หมายจะโชว์ศักยภาพการขึ้นเป็นผู้คุมกองทัพในยุคต่อไป จึงทำงานกันแค่ไม่กี่คน เช่น บิ๊กเต่า พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายกิจการพลเรือน บิ๊กหน่อย พล.ต.จิระเดช สิทธิประณีต เลขานุการ ทบ. และใช้ทหารรบพิเศษหน่วยเฉพาะกิจ 90 (ฉก.90) ของ พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.นสศ. และแท็กทีมกับ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบชน. เพื่อนสีกากี
ทั้ง จะเห็นได้ว่า ศึกแดงเดือดครั้งนี้ มีการใช้ “ทหารม้า” มากเป็นพิเศษ ที่นอกจากเพราะมีบิ๊กอ้อ พล.ต.วิลาศ อรุณศรี รองแม่ทัพน้อยที่ 1 คุม ในฐานะที่เป็นพี่เลิฟของบิ๊กฟิ้งค์ พล.ต.สุรศักดิ์ บุญศิริ ผบ.พล.ม.2 รอ. เพราะไปอยู่ชายแดนภาคเหนือมาด้วยกันแล้ว ยังมีแนวคิดกลยุทธ์การรบแบบสงคราม “วอเตอร์ลู” (Waterloo) ร่วมด้วย
แต่ดูเหมือนจะเป็น “วอเตอร์ลู” ของทหารในฝ่ายเสื้อแดงด้วย เพราะนอกจากจะเป็นสงครามกลางเมืองแล้ว ยังจะเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” ของนโปเลียนด้วย แต่ยุทธการดับแดงเดือดนี้ ยังไม่รู้ว่าจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของฝ่ายใดเท่านั้น เพราะทหารสีแดงก็ระดมการต่อสู้ทุกหนทาง แม้แต่ต้องก่อศึกสายเลือดฆ่าฟันกันเอง เมื่อสงครามยังไม่จบ ก็อย่าเพิ่งนับศพทหารหรือประชาชน
ยิ่งเมื่อกลุ่มเสื้อแดง ทิ้งผ่านฟ้าฯ แล้วคงยึดแยกราชประสงค์ไว้เป็นฐานที่มั่นเดียวไว้อยู่ และยังไม่เห็นทางออกที่จะไม่ให้เกิดการเจ็บตายขึ้นอีก
แม้ว่า นายอภิสิทธิ์จะกล้าเล่นกับไฟ ด้วยการตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เป็นหัวหน้าส่วนราชการในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือที่ภาษาทหารเรียกกันว่า “ผู้บัญชาการเหตุการณ์” แทนนายสุเทพ เพื่อที่จะ “แก้เผ็ด” การที่ พล.อ.อนุพงษ์ ลอยตัว ไม่เต็มที่ เพื่อประคองตนให้เกษียณแบบมือไม่เปื้อนเลือดและไม่มีคดีความติดตัว
ความ เป็น “เด็กดื้อ” ของ นายอภิสิทธิ์ ประกอบกับความมั่นใจใน “กองหนุน” ที่มีหลายระดับ ทำให้เขากล้าที่จะเอ่ยปากเหน็บแนมทหาร ที่บิ๊กๆ ฟังแล้วไม่สบายใจ ทั้ง “เจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ท้อแท้” หรือ “หากไม่ทำ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลอ่อนแอ แต่เป็นการสะท้อนความอ่อนแอของรัฐและความมั่นคงของประเทศ”
ครั้ง หนึ่งก่อนหน้า 10 เมษายน พล.อ.อนุพงษ์ เคยปฏิเสธข้อเสนอของ นายอภิสิทธิ์ ที่ให้ยึดพื้นที่ราชประสงค์คืน ว่า “ทำไม่ได้ เพราะจะเกิดการสูญเสียทั้งเศรษฐกิจ ทรัพย์สิน และชีวิตของทั้งสองฝ่าย” แต่เห็นว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ไม่ใช่แก้ด้วยการทหาร
หลัง 10 เมษายน พล.อ.อนุพงษ์ ถึงขั้นให้สัมภาษณ์ว่า “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” พร้อมเสนอให้ยุบสภา พร้อมทั้งยืนกรานว่า ทหารไม่ได้ “หน่อมแน้ม อ่อนแอ หรือเกียร์ว่าง” แต่ “ประเสริฐสุดยอด” ที่ไม่ยิงประชาชน
จะว่าไปแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เองก็ไม่ได้เกียร์ว่าง เพราะ 10 เมษายน เขาเป็นผู้บัญชาการศึกด้วยตนเอง เป็นแม่ทัพเสียเอง แม้พื้นที่วงในจะใช้กำลังจาก พล.ร.2 รอ., พล.ร.9 และ พล.ม.2 รอ. แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็สั่งการตรงไปถึงผู้บังคับการกรมเองด้วยซ้ำ พล.อ.อนุพงษ์ เผยเองว่า พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผบ.ร.2 รอ. โทรศัพท์มาขอถอนกำลังเพราะถูกระเบิดโจมตีทหารเจ็บหนักกว่า 30 คน โดยตนให้ถอยมาที่ สิบสามห้าง บางลำพูก่อน แต่ก็โดนระเบิดตามมาอีก จนต้องมายังสโมสร ทบ. เทเวศร์
รวมทั้งการขึ้น ฮ. บินดูสถานที่และจำนวนผู้ชุมนุมด้วยตนเอง แนวคิดการใช้ ฮ. แจกใบปลิว หรือการใช้ ฮ. โปรยแก๊สน้ำตาลงหน้าเวทีผ่านฟ้า ที่ก็แห้ว แถมทหารยศพันเอกถูกยิง ฮ. ทะลุเท้าเสียอีก แม้แต่การให้กำลังทหารแยกกันเดินเข้าถนนเล็กๆ หลายสาย ที่เป็นรูปตัว S น่าจะช่วยเป็นเกราะกำบังทหารเวลาบุกได้ ก่อนรวมกันตี
“ข่าวที่ออกมา เหมือนผมขัดแย้งกับพี่ป๊อก ว่าพี่ป๊อกไม่เอา ผมเอา ทั้งๆ ที่ความจริง มีอะไรก็ปรึกษาหารือกันตลอด แต่การตัดสินใจและสั่งการ เขาเป็นนาย เขาเป็นคนรับผิดชอบ” พล.อ.ประยุทธ์ แจงสั้นๆ
แต่ท่าทีโดยภาพรวมของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ปรากฏ ยิ่งเมื่อเสนอให้ยุบสภานั้น ก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่คนรักอภิสิทธิ์ คนสีเหลือง แม้แต่ นายสุเทพ เอง ที่เคยสนิทสนมก็เริ่มมองหน้ากันไม่สนิทใจ โดยเฉพาะแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถึงขั้นเชียร์ให้ นายอภิสิทธิ์ ปลด ผบ.ทบ. แล้วตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ทหารเสือราชินีตัวพ่อ ที่กล้าได้กล้าเสียและพร้อมลุย ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.เลย แต่ นายอภิสิทธิ์ รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และอะไรจะเกิดขึ้นหากทำเช่นนั้น
แต่วิธีของนายอภิสิทธิ์ก็คือ การตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ให้มาร่วมรับผิดชอบอย่างเต็มตัว ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ อันเป็นการมัดมือชกหรือบังคับไม่ให้หนีปัญหาอีกต่อไป จากเดิมที่เป็น ผช.ผอ.ศอฉ. เท่านั้น จนร่ำลือกันว่าหาก พล.อ.อนุพงษ์ ยังนิ่งเฉย หรือกล้าๆ กลัวๆ รัฐบาลก็จะหาเหตุในการปลด แล้วตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ รับผิดชอบแทน เพื่อที่จะล้อมปราบเสื้อแดงให้ราบคาบ
แรงกดดันจากสังคม รวมทั้งเล็งเห็นแล้วว่าต่อให้มีประชาชนหรือทหารเสียชีวิต ก็ไม่เห็นว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบอะไร แถมมีทางออกด้วยการโยนและประโคมข่าวให้เป็น “กลุ่มก่อการร้าย” กองกำลังติดอาวุธ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ทหารในการยิงเพื่อป้องกันตัวเอง หรือคุ้มกันในการถอนตัว ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ กล้าที่จะสั่งทหารจาก 3 กองพล คือทั้ง พล.1 รอ., พล.ม.2 รอ. และ พล.ร.9 พร้อมอาวุธครบมือเข้ายึดสีลมก่อนที่เสื้อแดงจะบุก
ถึงขั้นที่ เสธ.ไก่อู พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ได้ปลดปล่อยความรู้สึกด้วยการลั่นขู่ปะทะ และทหารได้ไฟเขียวให้ใช้อาวุธจริงได้ เพื่อป้องกันตัวเอง หรือหยุดยั้งผู้ชุมนุมตามสมควรแก่เหตุ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้ยิงได้เต็มที่ จนแกนนำเสื้อแดงเปลี่ยนแผนไม่บุกยึดสีลม เพราะนาทีนี้ หากสั่งทหารไปพร้อมโล่ กระบอง แก๊สน้ำตา ไม่มีใครไปแล้ว ต้องกระสุนจริงเท่านั้น
จุดยืนของ พล.อ.อนุพงษ์ก็คือ หากเสื้อแดงก่อเหตุป่วนเมืองหรือไปยึดสถานที่อื่น หรือแม้แต่ ร.11 รอ. ฐานบัญชาการ ศอฉ. รัฐบาลและกองทัพก็คงยอมไม่ได้ ต้องประกาศกฏอัยการศึก ปะทะ ตายเจ็บต้องมี แต่หากเสื้อแดงยังคงชุมนุมโดยสงบที่แยกราชประสงค์ ทหารก็จะไม่เข้าสลาย เพราะฝ่ายทหารสีแดงคงตั้งรับเต็มที่ แถมมีอาวุธปืนหลายแบบที่ยึดไปจากทหารมากกว่า 60 กระบอก แม้แต่ปืน Tavor ใหม่เอี่ยมจากอิสราเอล ที่ ทบ. ซื้อมาใช้แทนปืนเอ็ม 16 จึงอาจเกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่าย แต่จะจัดการกับกองกำลังติดอาวุธ กลุ่มก่อการร้าย และดำเนินคดีตามกฎหมายกับแกนนำที่ออกหมายจับ ทั้งแบบบนดินและใต้ดิน
บทเรียน 10 เมษายน ทำให้วันนี้ทหารที่ออกปฏิบัติหน้าที่ทุกคนต้องพกอาวุธ มีปืนเอ็ม 16 ติดตัวตามปกติ แถมมีการแจกจ่ายปืนลูกซองและกระสุนจริงไว้สลายม็อบ แทนแก๊สน้ำตาหรือกระสุนยาง ยกเลิกกฎการใช้กำลัง 7 ขั้น ที่หนักกว่านั้นคือ ทหารมีทั้งกระสุน “ลูก 9″ ที่ยิง 9 นัด จะแตกออกเป็น 9 ลูก และ “ลูก 70″ ที่จะแตกออกไป 70 ลูกเล็กๆ ที่สามารถหยุดม็อบแดงให้ร่วงผล็อยได้คราวละมากๆ เลยทีเดียว รวมทั้งการส่งพลซุ่มยิง หรือสไนป์เปอร์ ไปอยู่ตามตึกสูง เพื่อป้องกันกลุ่มก่อการร้ายขึ้นไปยึดพื้นที่รอจังหวะยิงทหารหรือสร้าง สถานการณ์ ทั้งยังปรับกลยุทธ์ด้วยการใช้ทหารนอกเครื่องแบบ พร้อมเข้าปฏิบัติการ
ส่วนนายทหาร ผบ.หน่วย หรือสัญญาบัตร ก็ต้องแต่งตัวให้กลมกลืนกับทหาร สวมเสื้อเกราะและหมวกเหล็ก ราวทำสงครามใหญ่ และปกปิดตัวเอง ไม่ให้ออกสื่อมาก จนคนจำหน้าได้ อันเป็นบทเรียนจากบูรพาพยัคฆ์
หากไม่มี “สัญญาณพิเศษ” หรือคำสั่งพิเศษมายัง พล.อ.อนุพงษ์ เขาก็จะประคองสถานการณ์ไปเรื่อยๆ เพื่อรอให้การเมืองแก้ปัญหากันเอง หรือให้สถานการณ์คลี่คลายด้วยตัวของมันเอง หรือบางทีม็อบสีเหลืองอาจเป็นทางออกในที่สุด เพราะหากต้องยึดพื้นที่ราชประสงค์คืนนั้น ทุกฝ่ายคาดการณ์ว่าต้องมีตายเป็นหลักร้อยหรือหลักพัน บาดเจ็บนับไม่ถ้วน ไม่ต่างจากเหตุนองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วชื่อของ พล.อ.อนุพงษ์ ก็จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ดำมืด และเป็น “ตราบาป” ไปตลอดชีวิต
นักการเมืองมาเป็นรัฐบาล ครองอำนาจอย่างมาก 4 ปี แล้วก็ไป แต่ทหาร หากมือต้องเปื้อนเลือด กองทัพจะอยู่อย่างไร นอกเสียจากเป็นจำเลยของสังคม
จึง ไม่แปลกที่จะเกิดข่าวลือ การปฏิวัติรัฐประหาร มาเป็นทางออกสุดท้าย ในเมื่อคำพูดของ ผบ.ทบ. ที่ให้การเมืองแก้ด้วยการเมือง ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้รับการตอบสนอง รัฐบาลคิดแต่จะโยนความรับผิดชอบภาระที่หนักอึ้งมาให้กองทัพ คิดแต่จะแก้ปัญหาการเมืองด้วยการทหาร โดยไม่สนใจว่านายทหารหรือพลทหาร จะตายอีกกี่คน เพราะทหารไม่อาจนั่งบัญชาการจากห้องแอร์ได้อย่างนักการเมือง แต่ต้องลงไปเสี่ยงกับลูกน้องด้วย หรือไม่สนใจว่าเสื้อแดงจะตายอีกกี่คน เพราะไม่ได้มองว่าเป็นประชาชน แต่ทว่าเป็นหนามยอกอก ด้วยการประโคมเรื่อง การก่อการร้ายมาเป็นข้ออ้างในการปราบปราม
“ชัยชนะบนซากศพของประชาชน มันช่างเป็นชัยชนะที่น่าเศร้าใจจริงๆ” บทเรียนแห่ง วอเตอร์ลู หรือ เทียนอันเหมิน มีอยู่แล้ว
โลกทั้งใบ จึงขึ้นอยู่กับ “นาย” คนเดียว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
Subscribe to:
Posts (Atom)