Tuesday, August 25, 2015

มองข้ามช็อตรัฐธรรมนูญสูตรหมกเม็ด : สืบทอดอำนาจประเทศพัง

เครดิต http://www.thairath.co.th/content/514192

ติดทำเนียบนักการเมืองฝีปากกล้า ผ่านงานรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง เมื่อเกิดเหตุบ้านการเมืองผันแปรก็โลว์โปรไฟล์ไปพักใหญ่

นิกเนม "เสี่ยไก่" นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ และแกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง โดยพุ่งเป้าส่องภาพรวมของประเทศ มากกว่าแตะลงลึกถึงรายละเอียดของร่างรัฐธรรมนูญ

เพราะอะไร ติดตามความในจากใจของผู้ให้สัมภาษณ์กันได้เลย โดยกะเทาะเปลือกรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.

เริ่มจากปมที่ไปฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ต่อศาลปกครองให้คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน

เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของ คสช.ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้คุ้มครองผมเดินทางไปไหนอย่างอิสระ โดยไม่ต้องไปขออนุญาตจากรัฐ

ขอบอกไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ว่า ไม่ว่าผู้ออกคำสั่งจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม คำสั่งนั้นจะขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน การปกครอง สิทธิมนุษชน จะมาบอกไม่ได้ว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ยึดอำนาจมา สังคมต้องมีหลักนิติรัฐ

หลายคนถามทำแบบนี้ว่าไม่เป็นการทำลายกระบวนการปรองดองเหรอ ในโลกไม่มีเครื่องมือใดๆ ทำให้คนคิดเหมือนกันได้ ยกเว้นความยุติธรรมที่จะเป็นเครื่องมือทำให้มนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างก็ยังสามารถอยู่ร่วมกันได้

เช่นเดียวกับประเทศไทยถ้ากติกาไร้ซึ่งความเป็นธรรม สังคมจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร การออกแบบรัฐธรรมนูญต้องเป็นกติกาที่เป็นธรรม ขอให้จำไว้ในโลกไม่มีเครื่องมือทำให้คนรักกันหรือไม่รักกันได้ ยกเว้นความยุติธรรมเท่านั้น

การยึดอำนาจก็เช่นเดียวกัน ที่รัฐบาลขอ โอกาสและเวลาบริหารประเทศอีกไม่นาน แต่ตอนนี้ผ่านมาขวบปีมานานแล้ว เหมือนหมอรักษาคนไข้ ถ้ารักษาดีขึ้นก็ให้โอกาสรักษา แต่ถ้าขอรักษา 3 เดือนแล้วคนไข้พะงาบๆ จะตายก็จำเป็นต้องเปลี่ยนหมอ

ถ้า พล.อ.ประยุทธ์เดินตามโรดแม็ป บริหารประเทศมีประสิทธิภาพ ประชาชนย่อมจะถอยให้ความถูกต้อง ถ้าทำบริหารบ้านเมืองดีขึ้น คนนับร้อยย่อมทำอะไร พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ หากมีคนออกมาด่าก็จะมีคนออกมาไล่กระทืบคนด่า

แต่วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศล้มเหลวทุกมิติ

ทั้งมิติเศรษฐกิจ โดยมี 4 เครื่องยนต์ทำให้ประเทศเดินได้ แต่ขณะนี้การส่งออกการค้าขายตกลงมา 6 เดือนไม่มีทางฟื้นกลับมาได้ เพราะประเทศคู่ค้าตัดสิทธิ์เนื่องจากรังเกียจรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ อียูตัดความสัมพันธ์ทางการค้าทุกรูปแบบ ไม่รับการเจรจาไม่ประสานในทุกมิติ

เพื่อกดดันให้คืนอำนาจประชาชน แค่ปรับ ครม.ก็แก้ปัญหาของประเทศไม่ได้ ปัญหามีแต่เพิ่มมากขึ้นๆ

เศรษฐกิจหัวทิ่มแบบนี้ประเทศเสียหายยับ แค่ยึดอำนาจก็ทำให้เศรษฐกิจตกลงมา 4 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นต้นทุนของการยึดอำนาจที่ คสช.เอาไปจากประเทศ

การบริโภคภายใน พ่อค้าแม่ขาย ขายของได้ยากเย็นแสนเข็ญ กำลังรอวันตายกันถ้วนหน้า การลงทุนใหม่ไม่เกิดขึ้นในประเทศ นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาลงทุน เป็นผลพวงจากการยึดอำนาจ

การกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ รัฐบาลเผด็จการเต็มรูปแบบใช้งบประมาณแผ่นดินไม่ถึงครึ่ง ไม่เรียกว่าไร้ฝีมือ หมดปัญญา แล้วจะเรียกว่าอะไร ประเทศเดินต่อไปไม่ได้ มิติทางเศรษฐกิจจบเห่

มิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเมืองระหว่างประเทศ เอาเฉพาะกรณีอุยกูร์ เมื่อก่อนเดินทางไปต่างประเทศจะบอกด้วยความภูมิใจมาจากแดนสยาม มาวันนี้ไปไหนอย่าบอกว่าเป็นคนไทย ไม่เช่นนั้นจะไม่ปลอดภัย

สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหาแบบทหาร ซึ่งไม่ได้รับการฝึกฝนให้มาแก้ปัญหาของประเทศที่ซับซ้อน อันนี้ไม่ได้โทษ พล.อ.ประยุทธ์ แต่โทษคนที่เรียกให้ทหารออกมา ปัญหานี้ถ้าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แก้ได้ไม่ยาก ไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาด้วยถ้าเดินตามกระบวนการยุติธรรมเหมือนที่ผ่านๆมา

มิติสังคมและการเมือง ตลอดเวลา 1 ปีกว่าที่ปฏิวัติเพื่อให้เกิดความสามัคคี ปรองดอง แต่วันนี้สังคมแตกแยกหนักยิ่งขึ้น มองไม่เห็นอนาคตของประเทศ ร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังยกร่างมีคนด่าข่มทั้งเมือง

ก่อนหน้านั้น นายวัฒนา เคยระบุว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังยกร่างเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจเผด็จการเต็มรูปแบบ ผ่านองค์กรที่เกิดขึ้นใหม่ตามรัฐธรรมนูญ คือ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปแห่งชาติ

องค์กรนี้มีอำนาจเหนืออำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย ทำให้รัฐสภา ครม.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงตุลาการตกอยู่ภายใต้การครอบงำของฝ่ายเผด็จการ

ฉายภาพให้เห็นคือเอามาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมาใส่ไว้ในองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการต่อไป

แม้ทางคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะมีการปรับรูปองค์กรดังกล่าวแล้ว แต่ นายวัฒนา ยังบอกว่า จะปรับแก้ไขร่างอย่างไร แต่รัฐธรรมนูญถูกออกแบบให้มีโครงสร้างการสืบทอดอำนาจเผด็จการ

เอาอำนาจประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง ไปยัดเยียดให้ใครที่มาจากไหนไม่รู้ กติกาเยี่ยงนี้ประชาชนไม่รับ มีวิธีเดียวต้องรื้อโครงสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งหมด

ขอเตือน คสช.และรัฐบาลด้วยความปรารถนาดี ให้โละร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ต้องปล่อยให้ถึงขั้นประชามติไม่ผ่านแล้วตั้งคณะกรรมการขึ้นมายกร่างใหม่ ต้องทำประชามติอีกกี่ปีกี่ชาติถึงจะผ่าน

ประเทศจะตายก่อน เพราะรัฐบาลบริหารประเทศล้มเหลวในทุกมิติ ไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ ประชาชนจะลุกฮือก่อน ตามที่คุณไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เคยพูดไว้

ทางออกที่ดีที่สุดควรแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอีกครั้ง โดยให้นำรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชน หมวดว่าด้วยการเลือกตั้งมาใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อเปิดประตูสู่การเลือกตั้ง มี ส.ส. ตั้งรัฐบาลใหม่และเลือกตั้ง ส.ส.ร.เข้ามายกร่างรัฐธรรมนูญ

รัฐบาลแห่งชาติก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ทางออกมีประตูเดียว คือ การคืนอำนาจให้ประชาชนเร็วที่สุด

จุดนี้ถ้ารัฐบาลไม่ทำตามข้อเสนอ ประเทศจะตกอยู่ในสภาพอย่างไร นายวัฒนา บอกว่า เมื่อบ้านเมืองเดินต่อไปไม่ได้ก็ต้องถอย อยู่แล้วเป็นภาระของประเทศจะอยู่ไปทำไม

อย่าพยายามยื้ออำนาจ สืบทอดอำนาจ อยู่ในอำนาจให้นาน เสพติดอำนาจ เพราะขณะนี้กำลังมีขบวนการที่ยื้อ เช่น ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองทำไม่ได้ ไม่สนใจโลก

ฉะนั้นเมื่ออยู่ในอำนาจไม่ได้ ขอให้ลงอย่างสง่างามโดยรีบคืนอำนาจให้ประชาชน หากไม่ยอมลงสุดท้ายประชาชนจะออกมาไล่แล้วจะจบไม่สวย

อย่าลืมว่าขณะนี้ปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าหนักหน่วงกว่าทุกครั้ง ประชาคมโลกต่อต้าน จนประชาชนมองถึงเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเล็ก ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องกลายเป็นเรื่องใหญ่

ไม่ใช่มาขอเวลาเดินตามโรดแม็ปแบบปลายเปิด ที่ไม่มีเวลาแน่นอน ยกร่างรัฐธรรมนูญไม่มีวันไม่จบไม่สิ้น

ทีมข่าวการเมือง ถามย้ำว่า การเลือกตั้งล่าช้าจะเกิดอะไรตามมา นายวัฒนา บอกว่า ถ้าปล่อยให้ยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ เมื่อนั้นอาการประเทศที่เปรียบเหมือนโรคมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว ขอให้จองศาลาวัดไว้ล่วงหน้าเลย

เพราะสภาพปัญหาของประเทศต้องการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาสะสาง แต่รัฐธรรมนูญที่ยกร่างกันอยู่ออกแบบมาตัดมือตัดเท้าของรัฐบาลให้ตกอยู่ในสภาพเป็ดง่อย ไม่มีอำนาจ

ทั้งๆที่กระบวนการผลิตของโลกยุคใหม่เปลี่ยนแปลงเหมือนในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เราจำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของประเทศใหม่ แต่เมื่อมีรัฐบาลเป็ดง่อย ไร้อำนาจ จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างประเทศทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างไร

ฉะนั้นเมื่อประเทศเดินต่อไปไม่ได้ ขอให้รีบคืนอำนาจให้ประชาชน เพื่อเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด

พล.อ.ประยุทธ์จะลงจากอำนาจอย่างสง่างาม แต่ถ้าขืนนั่งอยู่ในอำนาจยาวต่อไป...

...ท่านจะตกเป็นจำเลยของสังคม.

ทีมการเมือง

ขัดตาทัพ

เรียนดร.              ช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุคโคโลนีทับซ้อนกับฟิวดัลนั้น มีการขับเคี่ยวชิงความเป็นผู้นำโลกคือ ฝรั่งเศสกับอังกฤษ ฝรั่งเศสตัดสินใจเขาร่วมปฏิวัติน้ำชา เมื่อสำเร็จได้ลากเทพีเสรีภาพแบ่งเป็นสามส่วนข้ามทะเลไปให้เป็นของขวัญ ต่อมาทำให้ฝรั่งเศสเห็นถึงการปลดแอกจึงเกิดการปฏิวัติและลามไปหลายประเทศ(เกิดความต่างทางด้านการปกครองของอังกฤษกับฝรั่งเศส)               ในยุคโคโลนีก็คือการครอบครองพื้นที่ในโลกเช่นเดียวกับฟิวดัล ธรรมชาติการปฏิวัตินั้นคือการล้มอำนาจเก่าเพื่อสร้างอำนาจใหม่จุดพลิกผันอยู่ที่ความคิดยุคเรอเนซองคิดว่าทุกอย่างมนุษย์เป็นผู้กำหนดปัจจุบันเรียกว่าวิทยาศาสตร์ ควบกับยุคที่เองเกลยอมรับคาร์มาร์ก ทุกสิ่งเกิดที่เยอรมันเสียส่วนใหญ่ เนื่องจากยุโรปใต้เมื่อพ้นยุคดาร์กเอชนั้นมีการฆ่าผู้เห็นต่างอย่างมากมาย จนเกิดนครเล็กที่สุดแต่ทรงอิทธิพลที่สุดเรียกว่า วาติกัน               การรีโวรูชั่นทั่วไป  คือ ผู้ถูกกดขี่เห็นความไม่เป็นธรรมในผู้กดขี่ จึงลุกขึ้นต่อต้าน อ่านได้จากแนวคิดจอร์น ลอค หรือ คาร์ล เป็นความเห็นเหมือนกันแต่การกระจายอำนาจต่างกัน เมื่อล้มผู้มีอำนาจได้ จะเกิดการขัดแย้งในหมู่ผู้ถูกกดขี่ด้วยกันเองแบ่งเป็นสองขั้ว เข้าสู้ยุคสงครามกลางเมืองหรือการปกครองหนึ่งประเทศสองระบบ และจึงได้บทสรุปที่คำว่าประชาธิปไตยกับกฏเหล็ก5ข้อที่ห้ามทำลาย                 ย้อนมองประเทศไทยวันนี้ยังไม่มีการล้มระบบฟิวดัล แต่กลับมีการสร้างมวลชนเป็นสองฝ่ายเหมือนว่าเจ้าของที่ดินได้ถูกล้ม แล้ว เป็นหน้าที่ประชาชนต้องมาตกลงเพื่อนำพาประเทศต่อไป หมากนี้ถูกซ่อนเงื่อนจากประเทศไม้ไผ่ที่มีระบบจักรพรรดิ์ยาวนานว่าเหตุใดระบบที่เข้มแข็งจึงล้มได้  เมื่อคุยกันอยู่ถึงสามสิบปีจึงพบว่าเกิดจากผู้ถูกปกครองไม่ยอมรับในตัวผู้ปกครอง(สมัยฟิวดัลนั่นเอง)จึงมีการคายอำนาจและให้ผลประโยชน์แก่คนกลุ่มหนึ่ง และคนกลุ่มนั้นจะมีสวัสดิการครอบคลุมคนรอบข้างจนไม่คิดจะล้มผู้ให้การอุปถัมเพราะเท่ากับเป็นการล้มตัวเอง  เมื่อคนกลุ่มนี้มีมากกว่ากลุ่มผู้ถูกกดขี่การรีโวรูชั่นจึงจบลงในขั้นการวางระบบการปกครองเท่านั้นเองไม่สามารถก้าวไปถึงผู้ปกครองได้  (ปล.ฉบับนี้ยาวไปหน่อยและรบกวนเวลาอันมีค่าของ ดร. ผมขออภัยที่มีรายละเอียดไม่เกี่ยวข้องมากเกินไป)  ในนี้มีคำตอบของข้อสอบจองหงวนครับมันซับซ้อนเลยไม่สามารถตอบแบบตรงๆได้                                                                                                                                           ด้วยความเคารพอย่างสูง

ทุนสามานย์

เรียนดร.              ในยุค1930 อเมริกามีการปลุกกระแสตลาดหุ้นอย่างหนักเพื่อให้คนนำเงินเข้าสู่ตลาดแทนที่จะฝากธนาคาร สุดท้ายเศรฐกิจได้ล่มสลายคนตกงานสิบกว่าล้านคน ในยุคเดียวกันนี้เองได้เกิดแนวความคิดของการสร้างสิ่งที่ทำให้เกิดการจ้างงานหรือเรียกว่าการเปิดสลอตใหม่ให้มีการหมุนเวียนของเงินเป็นวงรอบ แทนที่จะรอว่าสิ่งใดเป็นที่ต้องการตลาดและสร้างสิ่งตอบสนอง ตามแนวความคิดแบบเศรฐศาสตร์คลาสิค               ปี40 ประเทศไทยเกิดวิกฤตขึ้น ในปี44 มีการใช้แนวคิด เคนเชี่ยนเข้ามาเกิดสิ่งใหม่ขึ้นมากมายในสังคมไทยเงินเกิดการหมุนเวียนไปทุกหนแห่ง แต่ระบบแบบนี้ไม่เป็นผลดีแน่ต่อระบบผูกขาดเนื่องจาก เกิดคู่แข่งหน้าใหม่ขึ้นมากมายและฝั่ง ดีมาน สามารถเลือกผู้จะซัพพลายตัวเองได้มากขึ้น ผู้เคยเป็นแรงงานก็มีโอกาสเข้าสู่สลอตใหม่ที่ถูกเปิดไว้ทำให้ระบบเก่าระส่ำระสายเนื่องจากขาดแรงงาน เป็นผลให้เล็งเห็นว่าระบบนี้เป็นภัยต่อกลุ่มทุนผูกขาดอย่างมหันส์ นอกจากเสียแรงงานแล้วแรงงานนั้นยังกลับสามารถพัฒนาตัวเองมาเป็นคู่แข็งที่น่ากลัว จนเกิดประโยคที่ว่า "เราไม่เน้นแต่ค่า จีดีพี " ของพรรคตรงข้าม  เขาเลยเรียกระบบนี้ว่าทุนสามานย์ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ระบบผูกขาด    (ปล.เมื่อใดก็ตามคู่ค้ารายใหญ่มีตัวเลือกที่ดีกว่าเมื่อนั้นความจริงจะถูกเปิดเผยทั้งประเทศ ว่าปัจจัยสี่ของคนไทยถูกผูกขาดเพื่อใช้ต่อรองกับผู้ถูกปกครองว่าอย่ากระด้างกระเดื่อง)                                                                                                                                              ด้วยความเคารพอย่างสูง

วัฒนา เมืองสุข เรื่องการปรองดองกับเผด็จการ

วัฒนา ให้สัมภาษณ์พิเศษ
- มองที่มาที่ไปของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯอย่างไร
แนวความคิดที่ออกมาตอนนี้เป็นแนวความคิดของข้าราชการเก่า สังคมข้าราชการเป็นสังคมทำลายล้าง จะเอาคนไม่ชอบหน้าออกไปจากกลุ่ม คนนี้ไม่ใช่พวกก็จะย้ายคนนี้ออกไป เพราะเขามองว่าคู่แข่งที่แข่งกันมาคือศัตรู อย่างทหารแข่งกันอยู่สองคนจะเอาคนนี้ขึ้น ต้องเอาอีกคนออกจากหน่วยไปเลย เพราะมันแข่งกันมาจึงมองหน้ากันไม่ได้ ซึ่งมันต่างจากสังคม
เราไม่สามารถย้ายคนไทยออกจากประเทศไทยได้ ต้องทำให้คนที่คิดไม่เหมือนกันอยู่ด้วยกันได้
แต่คนที่เข้ามาเขียนรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่มาจากข้าราชการ วิธีการคิดสร้างสังคมปรองดองคือเอาคนคิดเหมือนลูกน้องเขา คนคิดต่างเอาออกไปหมด ทางแก้มีอย่างเดียวคือ ความชอบธรรมของกติกาที่เป็นธรรม
- เจตนาที่คลอดคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ
(สวนทันที) ต้องการสืบทอดอำนาจ ก็มีแค่นั้นเอง มองว่าการเมืองอีกฝ่ายเป็นศัตรู ทำอย่างไรก็ได้เพื่อไม่ให้ฝ่ายผมชนะ หรือชนะก็บริหารไม่ได้ เพราะทุกครั้งไม่ว่ามีการปฏิวัติหรือเลือกตั้งทีไร พวกผมก็ชนะทุกที เลยต้องออกมาออกกฎกติกาเพื่อไม่ให้พวกผมทำงานได้
ปกติแล้วการปฏิรูปมันเน้นการมีส่วนร่วมในการปฏิรูป แต่ถ้าออกคำสั่งฝ่ายเดียวมันเรียกว่าสั่ง มันเป็นกระบวนการปิด คิดกันเองของคนกลุ่มหนึ่ง แล้วไปบอกว่าถูกแล้ว ดีงามแล้ว ประเทศจะเดินไปได้
แล้วถามว่าที่อยู่กันมาเขาปฏิรูปอะไร ผมไม่เห็นนายกฯปฏิรูปอะไรสักอย่าง ใช้อำนาจมาตรา 44 คือการปฏิรูปเหรอ แล้วรัฐบาลอื่นที่ไม่มีกฎหมายมาตรา 44 จะทำอย่างไร
- จึงมีคณะยุทธศาสตร์ฯที่ถอดแบบอำนาจมาตรา 44 เพื่อให้รัฐบาลหน้าสานต่อปฏิรูปได้
จะให้ประเทศอยู่ภายใต้คำสั่งแบบนี้ต่อไปเหรอ เรากลับมาตั้งหลักกันใหม่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของใคร... เป็นของประชาชน แล้วไม่ฟังประชาชนได้ไง
- โครงสร้างกรรมการจึงมีนายกฯ
ที่มาจากเลือกตั้งตอบโจทย์ยึดโยงประชาชน
ใครคนคิดให้ ใครคนกำหนดคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯนี้ขึ้นมา ประชาชนหรือเปล่า คนเหล่านี้ไม่ได้มาจากประชาชนแม้แต่น้อย บอกว่ากรรมการต้องเป็นปลัดกระทรวงคนนั้น ผบ.ทบ. คนเหล่านี้คือใคร มาจากประชาชนที่ไหน แล้วใช้อำนาจแทนประชาชนได้อย่างไร
- ในโครงสร้างก็มีคนของรัฐบาล เช่น นายกฯ ประธานสภา อยู่ไม่เพียงพอ
แล้วที่เหลือเป็นใครบ้างล่ะ แม่ทัพทั้งหลาย แล้วอำนาจเป็นของใคร กลายเป็นอำนาจของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ
- ถ้ารัฐธรรมนูญผ่าน สปช. และผ่านประชามติ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯบังคับใช้ ภาพการเมืองจะเป็นอย่างไร
มันก็จะเกิดความวุ่นวาย เมื่อเจ้าของอำนาจคือประชาชน ไม่สามารถใช้อำนาจตัวเองได้ สมมุติพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคเพื่อไทย ชนะเสียงข้างมาก จัดตั้งรัฐบาลได้ แต่บริหารไม่ได้ เพราะมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯคอยถ่วง เหมือนบ้าน คุณเป็นเจ้าของบ้าน แต่ใช้สิทธิ์ในบ้านไม่ได้เลย เพราะไอ้คนทำตัวใหญ่เหนือเจ้าของบ้าน อยู่ได้ไหม สักวันก็ต้องทะเลาะกัน
- เมื่อคนการเมืองต่างก็มองเห็นอนาคต ควรตัดสินใจอย่างไรต่อรัฐธรรมนูญใหม่
อยากเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรค ให้คนไทยหันมาสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่เอาก็ต้องแสดงออกว่าไม่เอา คัดค้านในสิ่งที่ไม่เห็นด้วย ถ้าพรรคการเมือง หรือคนกลัวแต่อำนาจ พูดมากก็ไม่ให้เดินทาง ใช้เรื่องการเดินทางเป็นอำนาจต่อรอง เสียงคัดค้านก็เบา แต่ถ้าทุกคนไม่กลัว ออกมาช่วยกันแบบนี้ไม่เอา เผด็จการก็อยู่ไม่ได้
- ถึงจุดหนึ่งพรรคการเมืองควรจะ
บอยคอตการเลือกตั้งไหมเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องพูดกันในระดับพรรค พูดเป็นความเห็นส่วนตัวไม่ได้ มันเป็นเรื่องใหญ่
- พอมีช่องทางรณรงค์โหวตโนเหมือนตอนทำประชามติรัฐธรรมนูญ 2550 หรือไม่
มีกฎอัยการศึกแบบนี้ มาตรา 44 ห้ามชุมนุมทางการเมือง จะทำอะไร จะประชุมพรรคเตรียมสู้คดีถอดถอนยังห้ามประชุมเลย แต่ฝั่งพวกเขาชุมนุมได้ ประชุม สนช.ก็เรียกชุมนุมทางการเมืองยังประชุมได้ กปปส.ก็ยังประชุมได้ แต่ฝั่งผมไม่ให้ทำ
- ข้อเสนอรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ 4 ปี จะเป็นยาวิเศษที่ทำให้เกิดความปรองดองหรือไม่
เป็นไปไม่ได้ ก็วิธีคิดเขาคิดแบบทหาร ไอ้นี่เหรอไม่ใช่พวกกู กูก็ย้ายออกจากหน่วย แล้วพอ 60 ปีเกษียณ ต่างคนก็ต่างกลับบ้าน แต่การเมืองไม่มีอายุ คุณเป็นรัฐบาลปรองดองได้ 4 ปี แล้วปีที่ 5 จะทำอย่างไร
- อาจจะดีขึ้นเพราะอยู่ร่วมกันถึง 4 ปี
ไม่มีทาง คุณเป็นแฟนแมนฯ ยูฯ ผมเป็นแฟนลิเวอร์พูล จะไปนั่งดูบอลด้วยกันอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน แมตช์นี้นั่งดูบอลด้วยกัน จับมือกัน กินน้ำด้วยกัน โอเคไม่ตีกัน แต่ก็กัดฟันอยู่ เพราะคิดไม่เหมือนกัน
องค์ประกอบมันมีตั้งเยอะ เป็นรัฐบาลปรองดอง ใครจะมาเป็นนายกฯ วิธีคิดพวกนี้คือจะเอาเทวดาเหาะมาเป็นนายกฯ แค่แบ่งกระทรวงดูแลก็เป็นปัญหาแล้ว ทุกพรรคก็อยากได้กระทรวงที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ ที่เรียกว่ากระทรวงเกรดเอ เพราะมันมีผลต่อคะแนนเสียงของเขา
สมมุติรัฐมนตรีว่าการเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการเป็นของพรรคเพื่อไทย คิดเหรอว่าจะแบ่งงานดี ๆ ให้พรรคเพื่อไทยทำ หรือกลับกัน พรรคเพื่อไทยจะแบ่งงานดี ๆ ให้พรรคประชาธิปัตย์ มันเป็นอัตตา เป็นตัวตน ก็ต้องแบ่งของดี ๆ ให้พวกตัวเอง มันฝืนธรรมชาติ
- แต่รัฐบาลปรองดองจะกลายเป็นหนึ่งคำถามในประชามติ ถ้าประชาชนเห็นชอบขึ้นมาจะทำอย่างไร
ถามหลาย ๆ คนที่เขียนรัฐธรรมนูญที่แต่งงานแล้วหย่ามา งานแต่งงานก็ประกาศว่าจะรักกันมั่นคง มีแขกมาเป็นสักขีพยานแล้วอยู่ด้วยกันได้ไหม
- ผลประชามติ มันผูกมัดยิ่งกว่าแต่งงานแล้วหย่ากัน
ประชามติมันก็เหมือนสักขีพยานคือประชาชน ผมบอกประชามติมันทำให้คนรักกันได้ที่ไหน มันจะรักกันได้ไม่ได้มันอยู่ที่ตัวคุณ ไม่ได้อยู่ที่สักขีพยาน ต่อให้ประชามติบอกว่า พรรคการเมืองต้องรักกัน
มันรักกันได้ที่ไหนเล่า ไปเขียนกฎหมายมาตรา 44 บอกให้รักผู้หญิงคนนี้ มันรักได้เหรอ
- ใจอาจไม่รักแต่สภาพกฎหมายบังคับให้อยู่ด้วยกัน
มันบังคับไม่ได้หรอก บังคับให้ตั้งรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ ตั้งแบบไหน เลือกตั้งมาแล้วไปหานายกฯคนกลาง มารวมกันตั้งรัฐบาลอย่างนั้นเหรอ พอเข้าไปเป็นรัฐบาลมันก็เริ่มตีกันแล้ว
- มันมีสภาพบังคับโดยเสียงประชาชน ให้สองพรรคใหญ่มาอยู่ด้วยกัน
มันฝืนธรรมชาติ มันไม่มีหรอกประชามติ ตั้งคำถามหลอกประชาชน มีรัฐบาลปรองดองแห่งชาติไหม เขาจะได้รักกัน
- พรรคการเมืองมีสิทธิ์ไม่ทำตามผลของประชามติได้หรือไม่
ก็แล้วแต่ คือ...ให้มีรัฐบาลปรองดองจะมีผลบังคับอะไร เกิดพวกผมไม่เข้าร่วมล่ะ ผมไม่เอา ไม่เข้า ผมคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ไม่เอา...แล้วไง มันบังคับกันได้ทุกเรื่องเหรอ วิธีตั้งคำถามหลอกประชาชนง่ายนิดเดียว บ้านเมืองแตกแยก เราควรมีรัฐบาลสองพรรคมาจับมือกันปรองดองจะได้รักกัน คนฟังก็เห็นดีด้วย อยู่ที่คำถามปลายมันเปิดแบบไหน
- หากคำถามเปิดแบบนี้ แล้วพรรคเพื่อไทยไม่เข้าร่วมรัฐบาลปรองดองจะถูกมองว่าฉีกประชามติหรือไม่
ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยว ก็เรามีอุดมการณ์ของเรา ก็ว่าไปตามสิ่งที่เรามีอุดมการณ์ เหมือนกับที่เขียนกฎให้ผมปฏิบัติ มันไม่เป็นธรรม ทำไมผมต้องไปฟัง มันไม่ได้สั่งกันได้ทุกเรื่องหรอก
เชื่อเถอะว่าบ้านเมืองมันไม่มีทางสงบหรอก ถ้าเราไม่เอายุติธรรมใส่ แล้วถ้าเอาหลักเกณฑ์ไปผิดธรรมชาติมันอยู่ได้ไม่นาน แล้วเราจะไปฝืนทำไม
- ถ้าฝืนธรรมชาติจะเกิดอะไรขึ้น
ก็กลับมาฆ่ากันใหม่ ท้ายที่สุดประชาชนก็ต้องมีเรื่อง มันเกิดภาวะสองมาตรฐานไหม อย่าง สนช.ไปถอดถอน ส.ส. แล้วเสียงพอไม่ถอน พรรคก็ไปขอบคุณ ผมแค่แก้รัฐธรรมนูญก็หาว่าล้มล้างการปกครอง อีกฝั่งหนึ่งปิดสถานที่ราชการ ศาลบอกว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ คิดว่าคนจะบอกว่ามันแฟร์เหรอ...คือกระบวนการที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทั้งหมดมันมัดมือชก
- เหตุผลที่จะเอามาฉีกประชามติ หรือแก้เชือกที่มัดมืออยู่ ต้องเป็นเหตุผลแบบไหน
ก็ไม่ฉีก สมมุติเชิญผมเข้าร่วมรัฐบาล แต่ผมไม่เข้าร่วมไม่ได้แปลว่าผมฉีกประชามติ เราก็หาเสียงบอกประชาชน ถ้าชนะเลือกตั้งเราก็จัดตั้งเป็นรัฐบาล ถ้าแพ้ก็เป็นฝ่ายค้าน เพราะการขัดขืน การไม่ปฏิบัติ
ตามแบบอารยะขัดขืน ไม่เอาด้วย ผมก็สละสิทธิ์ เชิญมาร่วมรัฐบาลแห่งชาติก็ว่ากันไป
- อารยะขัดขืนเข้าร่วมรัฐบาลปรองดอง
ไม่ใช่อารยะขัดขืน ผมไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่มีใครไม่เห็นด้วยกับกระบวนการปรองดอง แต่นี่ไม่ใช่กระบวนการปรองดอง คุณไปคิดชื่ออุปโลกน์ขึ้นมาเอง
- คสช.บอกว่าการเมืองปรองดองไม่ได้หรอก เพราะลองทุกวิถีทางแล้ว
ก็ยึดอำนาจมันต่อไปสิ

Monday, August 24, 2015

ชวนคิดชวนคุย โดย ดร.เพียงดิน 25 ส.ค. 2558 คณะราษฎรเพื่อสาธารณรัฐสยาม ตอน เมื่อปวงชนชาวไทยกำลังจะล้อมปราบโจรกบฏ

ชวนคิดชวนคุย กับ ดร.เพียงดิน รักไทย ตอน เมื่อปวงชนชาวไทยกำลังจะล้อมปราบโจรกบฏ

ทางมหาวิทยาลัยประชาชน
https://youtu.be/tc1y_qTb_-Q

ดาวน์โหลด  mp3 เพื่อการเผยแพร่:  http://www.mediafire.com/listen/ue9bsehsb540fi8/DrPiangdin-2015-08-25-TheEndisNear.mp3




​Download

ทางออกประเทศไทย 24 ส.ค. 2558 อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน (สมบูรณ์)

ทางออกประเทศไทย 24 ส.ค. 2558 อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน (สมบูรณ์)
ตอน    ภาพลวงตา การเมืองไทย  ในปัจจุบันและอนาคต

"สุวิทย์ เมษินทรีย์" เตือนภัยจุดเปลี่ยนประเทศ ปฏิรูป "คุณภาพคน" ก่อนไทยไร้ที่ยืน! โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 20 ก.ค. 2558 05:01

หน้าหลัก / เศรษฐกิจ / สกู๊ปเศรษฐกิจ
"สุวิทย์ เมษินทรีย์" เตือนภัยจุดเปลี่ยนประเทศ ปฏิรูป "คุณภาพคน" ก่อนไทยไร้ที่ยืน!
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 20 ก.ค. 2558 05:01

 อีกครั้งที่ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ นักเศรษฐศาสตร์จาก Kellogg School of Management ของ Northwestern University ศิษย์รักของ ศ.ดร.ฟิลิปส์ คอตเลอร์ นักการตลาดผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของโลก ออกมาเตือนผู้คนในสังคมไทยว่า เราจะใช้ชีวิตกันในแบบเดิมๆอย่างที่กำลังเป็นอยู่ไม่ได้!
เมื่อมนุษย์ต้องพัฒนาตน ผู้คนบนโลกต้องได้รับการศึกษาเพิ่มขึ้น และมีศักยภาพสูงขึ้นเพื่ออยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงนานัปการให้ได้
ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญจัดทำวิสัยทัศน์ และออกแบบอนาคตประเทศไทย สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ดร.สุวิทย์ได้ออกมาบอกกับพวกเรา และรัฐบาลในฐานะที่แต่งตั้งให้เขาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการออกแบบอนาคตของประเทศว่า คนไทยจะต้องอยู่บนโลกเบี้ยวใบนี้ให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อโลกไม่ใช่ใบเดิมอีกต่อไป
สำคัญก็คือ ในขณะที่โลกเปลี่ยนไป ผู้คนทั่วโลกต่างแสวงหาความรู้เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพตน แต่สังคมไทย ประเทศไทย และคนไทย กลับใช้เวลาและทรัพยากรที่มีอยู่ไปในทิศทางตรงกันข้าม ไม่ก่อให้เกิดคุณภาพ ผลิตภาพ และประสิทธิภาพในทางเศรษฐกิจ
ทีมเศรษฐกิจ ขอนำเอาแนวคิด ผลการศึกษา และการออกแบบอนาคตประเทศไทยของ ดร.สุวิทย์มาถ่ายทอดให้ฟังในวาระที่ได้รับเชิญให้เป็นองค์ปาฐกในงานสัมมนาทางวิชาการผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยาทั่วประเทศเมื่อสัปดาห์ก่อน
และ "คน" คือหัวข้อใหญ่ที่ ดร.สุวิทย์เห็นว่า การออกแบบอนาคตประเทศไทย จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการ "สร้างคน" รุ่นใหม่เป็นสำคัญ
3 อาการที่ฟ้องให้เห็นปัญหา
ปัญหาประเทศไทยมีมากจนพวกเราอาจไม่รู้ตัว และเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนหลายคนเห็นเป็นเรื่องปกติ Normal และไม่คาดหวังจะแก้ไข หรือจำเป็นต้องแก้ไข
ผมมองเห็น 3 อาการที่เริ่มฟ้องว่า ประเทศและสังคมไทยกำลังมีปัญหาในช่วง 10 ปีให้หลังมานี้ก็คือ
1.เป็นประเทศที่มีผู้ป่วยติดเชื้อ HIV หรือเชื้อเอดส์มากที่สุดของเอเชียในปี 2552 ในเวลาเดียวกันก็เป็นประเทศที่มีความไม่เท่าเทียมกันในด้านรายได้มากที่สุดของเอเชียในปี 2552
3.เป็นประเทศที่มีคุณแม่วัยใสมากที่สุดของอาเซียนในปี 2554 ขณะเดียวกันเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดในโลกในปี 2553 ที่ร้ายกว่านั้น ขณะที่หลายประเทศพยายามหลุดพ้นจากระบอบการปกครองแบบเผด็จการทหาร ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่มีรัฐประหารมากที่สุดของปี และกลับมามีการทำรัฐประหารกันอีกครั้งในปี 2553
ถ้าลองมองไปดูประเทศเพื่อนบ้านที่เคยหายใจรดต้นคอกันมาอย่างมาเลเซีย จะพบว่าเขาข้ามผ่านการเป็นประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศที่ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงสำเร็จแล้ว แต่ไทยกลับอยู่ในตำแหน่งเดิม โดยมีประเทศที่เคยล้าหลังกว่า วิ่งขึ้นแซงหน้าไปเพื่อให้พ้นจากเส้นความยากจนสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางและรายได้สูงโดยการพัฒนาคุณภาพของประชากรเป็นสำคัญ
คำถามคือ เราลงทุนเพื่อการพัฒนาสมองของประชากรผ่านระบบการศึกษามากเพียงไร หรือว่า หยุดอยู่กับที่ ถึงแม้จะเห็นว่ารัฐบาลยอมเจียดงบประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นจาก 0.12 เป็น 0.24% แต่ประเทศอื่นๆโดยเฉพาะคู่แข่ง อัดฉีดงบประมาณเพื่อการนี้สูงกว่าเรา
เฉพาะการเรียนรู้เรื่องภาษา ถ้าใครเปิด วิกิพีเดีย (สารานุกรมโลก) ดูจะพบว่า มีบทความทางวิชาการที่ถูกแปลเป็นภาษาเวียดนามมากกว่าภาษาไทยถึง 6 เท่า และคนเวียดนามใช้อินเตอร์เน็ตมากกว่าคนไทย 1.7 เท่า
ขณะที่ระบบการศึกษาของหลายประเทศในอาเซียนและในโลกนำเสนอให้ประชากรในวัยเรียนของเขาต้องมีความรู้ใน 3 ภาษา ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศไทยที่เด็กไทยยังคงอ่านและเขียนภาษาไทยอย่างงูๆปลาๆ ส่วนความฉลาดในเรื่องของภาษาอังกฤษ ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 53 จาก 54 ชาติในเอเชีย ทั้งที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาจำเป็นที่ต้องใช้เพื่อการคบค้า และขายสินค้าของไทยในตลาดโลก
สิ่งนี้เป็นปัญหาที่ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงความห่วงใย ขณะที่ทีมเศรษฐกิจได้รับการเปิดเผยจากผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการว่า ไทยขาดบุคลากรด้านการสอน โดยเฉพาะในวิชาสำคัญๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ อยู่มากถึง 60,000-80,000 คน แต่ด้วยเหตุที่งบมากกว่า 52% เป็นค่าจ้างครู ทำให้กระทรวงศึกษาธิการพยายามชะลอ และลดจำนวนบุคลากรใหม่ๆเข้าสู่ระบบการศึกษาไทย
จึงไม่ต้องแปลกใจที่แต่ละโรงเรียนเต็มไปด้วย "ครูพละ" ที่เงินเดือนต่ำและสอนนักเรียนได้ทุกวิชา!
สิ่งบอกเหตุแห่งความเสื่อมถอย
ปัญหาที่เกิดขึ้น และไม่เคยมีใครคิดจะแก้ไขเหล่านี้ เป็นตัวบ่งชี้ชัดเจนว่า ไทยกำลังเดินไปสู่ความเสื่อมถอย ขณะที่เรามีแม่วัยใสที่ควรจะอยู่ในโรงเรียนเพื่อช่วยกันสร้างชาติแต่กลับต้องไปเลี้ยงลูก ในเวลาเดียวกัน
สังคมไทยก็มีคดีเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้น เมื่อเติบโตมาเป็นผู้ใช้แรงงาน ก็มีแต่แรงงานที่มีหนี้สินรุงรัง และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหา
สังคมที่ดี จะต้องเป็นสังคมที่มีความหวัง คือ HOPE มีความสุข HAPPINESS และมีความสมานฉันท์ HARMONY
แต่นั่นไม่ใช่สังคมไทยที่เราอยู่กัน สังคมวันนี้ คนจนยังคงจนดักดาน และคำว่า "โง่ จน เจ็บ" ยังคงเป็นคำพูดที่สะท้อนถึงความเป็นจริงที่เราไม่สามารถออกจากกับดักเหล่านี้ได้ นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่ผู้ร่วมสัมมนาในฐานะ Nation Builder จะช่วยกันแก้ไข และการจะแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ได้ก็ต้องวางแผน "สร้างคน" เป็นสำคัญ

เมื่อผมมองดูการบริหารจัดการของประเทศต่างๆในโลก ผมพบว่า หลายประเทศมีความทะเยอทะยานที่จะนำพาประเทศตนไปสู่ประเทศโลกที่ 1 ซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ตลอดจนถึงการค้าบนเวทีโลกอย่างมีเสถียรภาพ จาก
ชาติมหาอำนาจเดิมๆอย่างสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ทุกวันนี้ เราจะเห็นว่า มีสิงคโปร์ เกาหลีใต้ จีน และอินเดีย พาตัวเองไปสู่ความมั่งคั่งในประเทศโลกที่ 1
ส่วนเวียดนาม พม่า และลาว ซึ่งอยู่ในประเทศโลกที่ 3 ก็กำลังนำพาตัวเองทะยานสู่ประเทศกำลังพัฒนา จากประเทศยากจนสู่ประเทศที่ประชาชนมีรายได้ปานกลางเช่นเดียวกับประเทศไทย เพียงแต่เมื่อเทียบกับประเทศไทยในบริบทของการวางแผนเพื่อการพัฒนาชาติแล้ว ต้องบอกว่า ไทยเรากำลังปักหลักยืนอยู่กับที่
ความล้าหลัง และการไม่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าพร้อมๆกับประเทศต่างๆซึ่งเคลื่อนตัวไปตามภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกจะทำให้เศรษฐกิจประเทศเปราะบาง ผู้คนอ่อนไหว สังคมแตกแยกและไร้ซึ่งเสถียรภาพในทุกๆด้าน ถ้าไม่ทำอะไรเลย ท้ายที่สุด ประเทศไทยจะยืนอยู่บนเวทีโลกไม่ได้
สิ่งที่ประเทศไทยต้องเจอก็คือ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตซึ่งเป็นหลักในการสร้างความมั่งคั่งนั้น ติดอยู่บนกับดักที่ขึ้นไปข้างบนก็ไม่ได้ เพราะอุตสาหกรรมไทยไม่ได้พัฒนา หรือปรับโครงสร้างการผลิตให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ นั่นจึงทำให้เราแข่งขันด้วยเทคโนโลยีไม่ได้ ส่วนจะขยับลงล่างเพื่อสู้กับจีนและเวียดนามในเรื่องของค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าก็ไม่ได้ เพราะค่าจ้างแรงงานเราสูงกว่าแล้ว
ก็เหมือนนัทแครกเกอร์ที่ถูกบีบอยู่ตรงกลางทั้งบนและล่าง ขยับไปไหนไม่ได้ วันนี้เราจึงมีปัญหาเรื่องการส่งออก และถ้าไม่มีการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออกล่ะก็ ผมทำนายไว้เลยว่า ตัวเลขการส่งออกเราจะปรับลดลงเรื่อยๆ และท้ายสุดประเทศไทยจะสูญเสียตลาดส่งออกที่เราเคยเป็นเจ้าของไปหมด ถ้าไม่มีการปรับโครงสร้างทางการศึกษา และคุณภาพของคนเป็นสำคัญ
"คุณภาพคน" สร้างปัญหามากมาย
เรื่องของคน ทำให้ปัญหาลามเลียไปถึงโครงสร้างส่วนต่างๆของประเทศซึ่งรวมไปถึงการลงทุน ที่ทำให้เราฝืดเคืองอย่างหนัก ทุกวันนี้การลงทุนใหม่ไม่มี หรือมีก็ไม่มากพอจะสร้างนัยสำคัญทางเศรษฐกิจได้ ขณะที่เพื่อนบ้านมีการลงทุนที่มีสีสันบรรยากาศ ที่สำคัญการลงทุนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ใช่การลงทุนที่มีคุณภาพ
เราต้องการการลงทุนที่มี Knowlegde base มาขับเคลื่อนคน และถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการผลิตใหม่ๆ
ที่แน่ก็คือวันนี้เราไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีพอจะทำให้คนเข้ามาลงทุน นั่นสะท้อนให้เห็นถึงความถดถอยของขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวม
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีก 15 ปี อินโดนีเซียจะกลายเป็นประเทศที่รวยที่สุด 1 ใน 10 ของโลก ถ้ามองในแง่จีดีพี (รายได้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ) และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า กัมพูชา ลาว จะไม่ใช่ประเทศตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market อีกแล้ว คำถามคือ แล้วไทยเราจะอยู่ได้อย่างไร ขีดความสามารถในการแข่งขันเราจะอยู่ในระดับใด และวัดได้หรือไม่
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอีกเรื่องก็คือ ขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของประเทศไทยเราไม่เคยมีใครพูดถึง นั่นเป็นเรื่องน่ากลัว
ถ้าเราไม่ได้คิด หรือวางแผนไว้เลย และขีดความสามารถของประเทศในระยะยาวก็วัดกันตัวเดียวเท่านั้น คือ คุณภาพของคน คุณภาพของมนุษย์ในประเทศนั้นๆ
เมื่อพูดถึงคุณภาพของคน เราจะพบว่าประเทศไทยเราเจอปัญหา 2 อย่างพร้อมๆกัน เด้งที่ 1 คือ คนเราแก่ลง สังคมไทยกำลังเดินหน้าไปสู่สังคมสูงอายุ แต่หลายประเทศที่คุณภาพคนของเขาดี มีการศึกษาและการเรียนรู้ที่สูงขึ้น และยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไปข้างหน้าต่อไปได้ ต่อให้เขามีคนแก่เพิ่มขึ้น เขาก็อยู่ได้
เพราะคนรุ่นใหม่เขามีคุณภาพ มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี บางประเทศแม้จะดูเหมือนประเทศเขามีคนมากมาย เดินกันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แต่คนเหล่านั้นจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณภาพแน่นอน
ส่วนประเทศไทย โชคร้ายก็ตรงที่คนแก่ลง แต่คุณภาพคนรุ่นใหม่ลดลงตามไปด้วย มันจะสะท้อนภาพอนาคตอีกสิบปีข้างหน้าว่า คนแก่เราที่คาดว่าจะมีราว 20 ล้านคน มีเด็กราว 8 ล้านคน มีพลังของคนหนุ่มสาวขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ 35 ล้านคน จากที่มีอยู่ 43 ล้านคนวันนี้นั้น จะมีความสามารถในการแบกรับภาระคนแก่ได้ลดลง
อัตราการแบกรับภาระคนแก่จะลดลงตามลำดับจาก 8 ต่อ 1 คน เหลือแค่ 4 ต่อ 1 ในวันนี้ และจะเหลืออยู่แค่ 2 ต่อ 1 คนเท่านั้นในอนาคต มันจึงเป็นภาระอันหนักหน่วงของสังคมครับ เพราะฉะนั้น วันนี้เราเป็นอย่างไร วันหน้าเราก็จะได้อย่างนั้น เช่นกัน วันนี้เราสร้างคนไว้อย่างไร เราก็จะได้คนอย่างนั้น
ทิ้งความคิดเก่าสู่ความคิดใหม่
เราอาจรวยขึ้นจากประเทศที่เคยเป็น Low Income มาเป็น Middle Income แต่จะรวยขึ้นกว่านี้อีกไม่ได้เพราะติดกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลางด้วยการเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก ในเอเชียไทยเราเป็นประเทศที่เหลื่อมล้ำสูงสุด โดยเฉพาะคนรวยสุด 20% กับคนจนสุด 20% ซึ่ง ห่างกันมากเหลือเกิน
เมื่อความเหลื่อมล้ำสูงมาก สิ่งที่ตามมาด้วยไม่ใช่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้เท่านั้น ยังมีความเหลื่อมล้ำของโอกาสสูง และมีอภิสิทธิ์ชนที่สูงมาก 3 ปัจจัยนี้ ทำให้ไทยเป็นสังคมที่เสื่อมถอย เต็มไปด้วยความขัดแย้งสูง และไม่ Clean&Clear ไม่ Free&Fair ไม่ Care&Share ไม่สะอาดโปร่งใส ไม่ตรงไปตรงมา และไม่แคร์-ไม่เสียสละต่อกัน
สังคมเช่นนี้ ปล่อยต่อไปจะกลายเป็นสังคมที่เรียกว่า Fail State คือ สังคมที่ล้มเหลว
สิ่งที่ท้าทายก็คือ เราจะมีส่วนในการช่วยสร้างคนที่มีคุณภาพเพียงพอจะเปลี่ยนประเทศที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ การเอาเปรียบทางโอกาส และการมีแต่อภิสิทธิ์ชนได้อย่างไร ที่สำคัญจะทำอย่างไรให้ไทยหลุดพ้นกับดักต่างๆได้ แน่นอน ประเทศไทยจำเป็นต้องมั่งคั่งขึ้น แต่ความมั่งคั่งต้องไม่กระจุกตัวอยู่เฉพาะคนบางกลุ่ม สังคมต้อง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเอื้ออาทรต่อกัน
ผมอยากเรียนว่า การปฏิรูปประเทศ ไม่ใช่เรื่องของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หรือรัฐบาลเท่านั้น เพราะ สปช. และรัฐบาลเป็นแค่ตัวตั้งเรื่องให้ ถ้าการปฏิรูปไม่เกิดขึ้นในหมู่ของมวลชนคนไทย หรือได้รับการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยมวลมหาประชาชนแล้ว ผมไม่เชื่อว่ามันจะประสบความสำเร็จ
ทำไมเราต้องปฏิรูปประเทศ และเปลี่ยนแปลงตัวเองน่ะหรือ เหตุผลก็เพราะโลกเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกของความเป็นดิจิตอล ที่มี 2 อารยธรรมทับซ้อนกันอยู่ระหว่างโลกความเป็นจริงกับโลกเสมือนจริงในอินเตอร์เน็ต ฉะนั้น เด็กรุ่นใหม่จะต้องได้รับการเรียนการสอนเพื่อให้อยู่ในโลกที่มีวัฒนธรรมใหม่ของการดำรงอยู่ให้ได้
เมื่อบริบทของโลกเปลี่ยนไป

ควรนอนตะแคงซ้าย หรือ ตะแคงขวาดี? (เครดิต นิรนาม จากไลน์)

ทุุกๆ คนต่างรู้ดีว่าการนอนหลับนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก สำหรับการรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี อย่างไรก็ตามท่านอนของคุณก็มีความสำคัญอย่างมาก ท่านอนของคุณจะส่งผลต่อสุขภาพของคุณ ช่วยในการรักษาผิวของคุณให้ดูอ่อนเยาว์ และช่วยในการปรับปรุงสุขภาพทางเดินอาหารของคุณได้ 
► นอกจากนั้น การนอนหลับด้วยการนอนตะแคงไปทางด้านซ้ายของคุณนั้นยังสามารถช่วยชีวิตของคุณ ได้ ถ้าคุณนอนหลับในท่าทางอื่นๆ อยากให้คุณลองอ่านสิ่งนี้กันดูว่า ทำไมคุณถึงต้องเริ่มที่จะเปลี่ยนท่านอนโดยหันมานอนตะแคงซ้ายกันดูบ้าง

- มันเป็นเรื่องสำคัญในการเลือกข้างสำหรับท่านอนตะแคงของคุณ
► มีท่านอนที่หลากหลายออกไป ทั้งท่านอนหน้าตรง ท่านอนคว่ำ ท่านอนตะแคงซ้าย และท่านอนตะแคงขวา ท่านอนทั้งหมดเหล่านี้นั้นส่งผลต่อสุขภาพของคุณทั้งสิ้น ท่านอนคว่ำนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่งเพราะอาจทำให้คุณหยุดหายใจในระหว่างการนอนหรือเป็นโรคหอบหืดได้ 
► ท่านอนตะแคงขวามีแนวโน้มว่าจะก่อให้เกิดปัญหาในการย่อยอาหารในขณะนอนหลับ ส่วนท่านอนตะแคงซ้ายจะส่งผลช่วยในการปรับปรุงระบบทางเดินอาหารของคุณ

- ประโยชน์ที่ได้รับจากท่านอนตะแคงซ้ายของคุณ
► ท่านอนตะแคงซ้ายเชื่อว่าจะช่วยปรับปรุงสุขภาพและช่วยชีวิตของคุณได้ ในทางการแพทย์พบว่า การนอนตะแคงซ้ายนั้นร่างกายจะให้ความสำคัญต่อระบบต่อมน้ำเหลือง และในขณะที่คุณนอนตะแคงไปด้านนี้ ร่างกายของคุณจะมีเวลามากขึ้นในการกรองสารพิษ ของเหลวในน้ำเหลือง ของเสียผ่านช่องทรวงอก และต่อมน้ำเหลือง
► ในทางกลับกันถ้าคุณนอนตะแคงด้านขวา อาจทำให้ต่อมน้ำเหลืองของคุณทำงานช้าลง คุณคงไม่อยากให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น เพราะระบบต่อมน้ำเหลืองของคุณนั้นทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนทำให้ความสามารถในการกรองสารพิษหรือของเหลวไหลไปทั่วร่างกาย ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคร้ายเนื่องจากการสะสมสารพิษในร่างกายของคุณ
► เมื่อคุณเริ่มนอนตะแคงซ้าย คุณจะสังเกตเห็นว่าร่างกายของคุณนั้นมีประสิทธิภาพในการกำจัดของสารพิษมากขึ้น ท่านอนในตำแหน่งนี้จะช่วยปรับปรุงระบบการย่อยอาหาร และช่วยทำให้ร่างกายของคุณดึงสารพิษและสารอาหารทิ้งออกไป 

- วิธีการเรียนรู้ท่านอนในตำแหน่งนี้
► ถ้าโดยปกติคุณเป็นคนนอนคว่ำหน้า นอนหงาย หรือนอนตะแคงขวา คุณอาจสงสัยว่าจะเริ่มต้นนอนตะแคงซ้ายได้อย่างไรกันดี ท่านอนนี้จะต้องใช้เวลาในการฝึกฝน แต่มันจะสามารถทำได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้คุณสามารถที่จะนอนในตำแหน่งนี้ได้ และนี่คือเคล็ดลับบางส่วน 
► คุณสามารถนอนตะแคงซ้าย ด้วยการวางหมอนข้างตามแนวยาวที่บริเวณหลังของคุณ หมอนจะช่วยป้องกันคุณจากการพลิกตัวในช่วงเวลากลางคืน

► ลองเปลี่ยนด้านการนอนของคุณบนเตียงนอน มันจะง่ายสำหรับคุณในการพลิกไปนอนด้านอื่นๆ และเพลิดเพลินกับประสบการณ์นอนในรูปแบบเดียวกัน   เคล็ดลับอีกอย่างก็คือ ลองเปิดไฟแบบสลัวๆ ไว้ทางด้านขวาของคุณ เนื่องจากร่างกายของคุณจะหันหลบแสงไฟโดยธรรมชาติในระหว่างการนอนหลับ นั่นจะทำให้ง่ายสำหรับคุณที่จะหันไปนอนตะแคงด้านซ้ายได้ ลองพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งเล็กน้อยนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่าการนอนท่านี้นั้น จะส่งผลให้สุขภาพของคุณนั้นดีขึ้นมาได้

ทางออกประเทศไทย 24 ส.ค. 2558 อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน

ทางออกประเทศไทย 24 ส.ค. 2558 อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน

ตอน    ภาพลวงตา การเมืองไทย  ในปัจจุบันและอนาคต

สส.ดร.สุนัย ร่ายสดถลก "สมคิด"ในรายการรู้เขารู้เรา จากสวีเดนอาทิตย์ 23 สิงหา 58

ข่าวกอท.เสรีไทย:
●สส.ดร.สุนัย ร่ายสดถลก "สมคิด"ในรายการรู้เขารู้เราจากสวีเดนอาทิตย์23สิงหา58
•ระเบิดฉีกหน้าคสช.ปรับครม.ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น•

*ข่าวล่าสุดตลาดหุ้นไทยต้อนรับการมาของรองนายกสมคิดด้วยหุ้นตกเป็นประวัติการณ์ - 64.55 จุด (ลบ 64.55 จุด)เชื่อมั่นกันเหลือเกิน ฮ่าๆๆ

Royal Gossip ตอนที่ 74 มหาสมบัติของมหากษัตริย์ไทย (24/8/58.)

Royal Gossip ตอนที่ 74
มหาสมบัติของมหากษัตริย์ไทย(24/8/58.)




ที่นี่ Thai PBS : 7 วัน รำลึกเหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์ (24 ส.ค. 58)

ที่นี่ Thai PBS : 7 วัน รำลึกเหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์  (24 ส.ค. 58)

Download

สุเทพเอาเงินบริจาค กปปส. ไปฟอก ซื้อที่ดินทำรีสอร์ทหลายที่ในภาคใต้

ข่าวแว่วมาว่า...

สุเทพ...นำเงินจากการเรี่ยไร ของกปปส. มาฟอก ทุ่มซื้อทุ่มที่ดินและกิจการต่างๆอย่างมากมาย...โดยเฉพาะที่ติดทะเลสวยๆและกิจการรีสอร์ตหรูอีกหลายๆที....ในภาคใต้

เป็นจริงหรือไม่??
ลองพิจารณาและตรวจสอบดูนะครับ






ดร.ปิยบุตร ได้สรุปสาระการล้มระบบกษัตริย์และตัดวงจรการรัฐประหารของประเทศกรีซไว้

ดร.ปิยบุตร ได้สรุปสาระการเปลี่ยนระบอบของกรีซไว้
และหลักการเหล่านี้ คงเป็นเนื้อเดียวกับการเปลี่ยนระบอบในประเทศไทย



Sunday, August 23, 2015

ทักษิณ ชินวัตร - สนธิ ลิ้มทองกุล - สมคิด จาตุศรีพิทัพษ์ กับเรื่องเล่าเม้าท์กันในแวดวงการเมือง แวดวงธนาคาร

จอห์น ก็อดฟาเธอร์ผู้นำการพัฒนาประชาธิปไตย
40 นาที ·
 

ทักษิณ ชินวัตร - สนธิ ลิ้มทองกุล - สมคิด จาตุศรีพิทัพษ์ กับเรื่องเล่าเม้าท์กันในแวดวงการเมือง แวดวงธนาคาร

นี่คือเรื่องเล่า จะจริงหรือไม่จริง
ไม่ขอยืนยันนะขอรับ เล่าไปงั้น

สมคิด รู้จักและสนิทสนมกับสนธิมาก่อนรู้จักกับทักษิณ เคยทำงานในเครือบริษัทของสนธิ (สนธินั้น หากไม่รู้ จะนึกว่าเขามีแค่สื่อเครือผู้จัดการ แต่ความจริงแล้ว เขามีบริษัทต่าง ๆ นับสิบ
แต่ทะยอยปิดตัวไปเรื่อย เพราะเจ๊ง ปัจจุบันไม่รู้เหลือกี่บริษัท)

ช่วงสมคิดทำงานกับสนธิ (ก็ราว ๆ ปี 2530-2544) สร้างความอู้ฟู่ให้สนธิมาก แต่เป็นความอู้ฟู่ที่คู่กับหนี้สิน เพราะสนธิกู้แหลก
(จนมีหนึ่งคดีที่ศาลชั้นต้น-ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 85 ปีนั่นแหละครับ แต่ในชั้นฏีกา ผมเชื่อว่าหลุดเอาดื้อ ๆ คอยดูเหอะ)

ปี 2537 สนธิเป็นแนะนำให้สมคิดรู้จักกับทักษิณ ช่วงทักษิณเข้าร่วมพรรคพลังธรรม ก็ตั้งสมคิดเป็นที่ปรึกษา

เมื่อทักษิณออกจากพลังธรรม มาตั้งไทยรักไทย ทักษิณก็ชวนสมคิดโดยการ "อนุมัติ" ของสนธิ ให้มาร่วมงานการเมืองกัน (ก่อนหน้าสมคิดก็เข้าร่วมงานในบริษัทของทักษิณก่อนแล้ว)

ช่วงปี 2544-2548 สมคิดช่วยสนธิหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องหนี้กับกรุงไทย
ไม่ว่าจะเป็นการประนอมหนี้ ลดหนี้ให้สนธิจำนวนมหาศาล
ไม่ว่าจะเป็นการให้สนธิชำระหนี้กรุงไทยด้วยการโฆษณาในผู้จัดการ แทนการชำระหนี้
ไม่ว่าจะเป็นการให้กระทรวงการคลังช่วยซื้อโฆษณาเครือผู้จัดการ

ก็อย่างที่รู้กันครับ สนธินั้นเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อปี 2543
(และ AIS ก็ซื้อโฆษณาในเครือผู้จัดการ แต่ภายหลัง ทักษิณสั่งเลิก ไม่ซื้อแม้แต่สลึงเดียว)

ปี 46 สนธิได้เข้ามาจัดการรายการทางช่อง 9 อันเป็นที่มาของคำว่า

"ทักษิณคือนายกฯที่ดีที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา"

แต่หลังจากที่สนธิ "รีด" มากเกินไป จึงเกิดอาการ "คบไม่ได้" จากทักษิณ
ปลาย ๆ ปี 48 โดนปลดรายการออกจากช่อง 9

จึงเป็นที่มาของ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ที่สวนลุมฯ
(ว่ากันว่า ทักษิณนั้น ไม่เห็นสนธิอยู่ในสายตา เพราะรู้ไส้รู้พุงกันดีว่ามีอะไรแค่ไหน อย่างมากก็ฟ้องเล่นแก้รำคาญ
แต่ทักษิณมองข้าม "คนหลอกใช้สนธิ" ที่ฉวยโอกาสออกมาหนุนสนธิ จนกลายเป็นปรากฎการสนธิฟีเวอร์
และพอกลุ่ม "หลอกใช้สนธิ" เลิกหนุน ม็อบพันธมิตรก็กลายเป็นม็อบสามร้อย สันติอโศกขนคนมาร่วมก็เป็นม็อบสามพัน)

ปี 49 ที่ทักษิณโดนกระหน่ำหนัก สมคิดก็ออกอาการอยากขึ้นแทน (นี่ก็ลือกันว่าสนธิร่วมวางแผนด้วย)
มีการพูดคุยกับกลุ่มการเมืองในไทยรักไทย จนทำให้ทักษิณระแวงสมคิด และความสัมพันธ์ก็ถึงขนาด "เลิกไว้ใจ"
(ก็แหม เล่นทำตัวเป็นพวกสนธิซะขนาดนั้น แต่คนไม่รู้ คิดว่าทักษิณไม่อยากให้สมคิดขึ้น)

หลังโดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี จากการยุบพรรคไทยรักไทยในปี 50 สมคิดก็หันหลังให้ทักษิณเด็ดขาด
เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้ คมช. เข้าร่วมกับกลุ่มรวมใจไทย ที่ต่อมาเป็นมัชฌิมาประชาธิปไตย

และถึงวันนี้ ที่เขาเข้ามาเป็นรองนายกฯ

สมคิดนั้น ว่ากันว่า ถึงวันนี้ ยังมีความสัมพันธ์อันดีและแนบแน่นกับสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่เปลี่ยนแปลง

เป็นเรื่องเล่าคร่าว ๆ ครับ จริงเท็จแค่ไหน ใครอยากรู้ สืบค้นต่อเอาเองครับ
ผมก็เล่าเท่าที่เคยอ่านมา ฟังมา ตก ๆ หล่น ๆ ขาด ๆ เกิน ๆ ไปตามเรื่อง

อยากสื่อแค่ว่า จะดีจริงไหม จะเก่งจริงไหม เท่านั้นเอง

ดูคน เขาว่าให้ดูปูมหลังประกอบด้วย
คบคนเช่นไร ย่อมเป็นคนเช่นนั้นแล
— กับ ตะวันแดง สี ทอง

คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น

ภาพประกอบชวนขำกลิ้ง คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น คลังคำไทยที่มักสะกดผิด ภาษาไทยน...