ใครสนใจเรื่อง ประวัติโดยสังเขปของความเป็นมาของสงฆ์ 2 นิกายในไทย
ก็อ่านดูนะ เป็นความรู้
@อย่าก่อสังฆเภท@
_____>>คณะสงฆ์เถรวาทในประเทศไทยแต่เดิมเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวกัน ต่อมาในยุคต้นรัตนโกสินทร์เมื่อได้เกิด "ธรรมยุติกนิกาย" ขึ้นแยกจากคณะสงฆ์เดิม คณะสงฆ์ไทยแต่เดิมจึงเรียกว่า "มหานิกาย"
>>ในประเทศศรีลังกาและกัมพูชามีคณะสงฆ์เถรวาทหลายนิกาย แต่ละนิกายก็มีพระสังฆราชของตนเองปกครอง เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยที่พระภิกษุนานาสังวาสจะไม่ทำสังฆกรรมร่วมกัน แต่ในประเทศไทยคงปกครองร่วมกันเพื่อความสามัคคี
<< ปัจจุบัน >>
คณะสงฆ์มหานิกายมีวัด 31,890 แห่ง พระภิกษุ 256,826 รูป
คณะสงฆ์ธรรมยุติ มีวัด 1,987 แห่ง พระภิกษุ 33,189 รูป
โดยเฉลี่ยสัดส่วนของวัดและพระภิกษุของมหานิกายต่อธรรมยุติประมาณ 10:1
>>เนื่องจากคณะสงฆ์ธรรมยุติถือกำเนิดโดยรัชกาลที่ 4 จึงมีความใกล้ชิดกับพระราชวงศ์ และมีสิทธิ์พิเศษหลายอย่าง เช่น สมัยที่ยังมีเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ตำแหน่งละ 1 รูป หากเจ้าคณะเหล่านี้เป็นพระภิกษุธรรมยุติจะปกครองวัดมหานิกายในพื้นที่นั้นๆได้ แต่หากเจ้าคณะพื้นที่ใดเป็นพระภิกษุมหานิกาย ห้ามปกครองวัดธรรมยุติ ให้ปกครองแต่พระภิกษุและวัดมหานิกายเท่านั้น ส่วนวัดธรรมยุติจะไปขึ้นตรงกับเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติที่กรุงเทพฯ
>>การถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมนี้สร้างความอึดอัดแก่คณะสงฆ์มหานิกาย แต่ก็กล้ำกลืนฝืนทน และมาถูกจุดระเบิดขึ้นเมื่อพ.ศ.2494
>> ในขณะนั้น การปกครองคณะสงฆ์ไทยเป็นไปตามพรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2484 ซึ่งกำหนดให้สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งสังฆนายกคล้ายนายกรัฐมนตรีของสงฆ์ แล้วสังฆนายกแต่งตั้งสังฆมนตรีว่าการองค์การต่างๆ
>>ในพ.ศ.2494 ตำแหน่งสังฆนายกว่างลง สมเด็จพระสังฆราช กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร แทนที่จะแต่งตั้งสมเด็จปลด วัดเบญจมบพิตรพระมหาเถระฝ่ายมหานิกาย ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ แต่กลับทรงมีพระบัญชาตั้งพระศาสนโสภณ ซึ่งเป็นพระธรรมยุติด้วยกันเป็นสังฆนายก
>>พระราชาคณะ 47 รูป ฝ่ายมหานิกายจึงได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงสมเด็จพระสังฆราช คัดค้านพระบัญชาดังกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว ส่งผลให้พระศาสนโสภณลาออกจากตำแหน่งสังฆนายก และสมเด็จพระสังฆราชได้นิมนต์พระเถระฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติประชุมร่วมกัน ณ ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2494 มีข้อตกลงร่วมกันคือ
__1. การปกครองส่วนกลาง คงบริหารร่วมกัน แต่การปกครองบังคับบัญชาให้เป็นไปตามนิกาย
__2.การปกครองส่วนภูมิภาคให้แยกไปตามนิกาย
>>ข้อตกลงนี้เรียกว่า __"ข้อตกลงตำหนักเพชร 2494"__ ซึ่งรัฐบาลได้รับรองอย่างเป็นทางการด้วย
>>ผลจาก__ข้อตกลงตำหนักเพชร__ทำให้มีตำแหน่งเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ตำแหน่งละ 2 รูป เป็นของพระภิกษุมหานิกายและธรรมยุต แยกขาดจากกัน
จากนั้นสมเด็จพระสังฆราช ก็ได้มีพระบัญชาแต่งตั้งสมเด็จปลด วัดเบญจมบพิตร เป็นสังฆนายก
>>ปัจจุบันการปกครองคณะสงฆ์ตาม พรบ.คณะสงฆ์ 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 กำหนดให้มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานกรรมการ และมีกรรมการมหาเถรสมาคมฝ่ายมหานิกายและธรรมยุต ฝ่ายละ 10 รูป รวมเป็น 21 รูป
>>คณะสงฆ์มหานิกายมีมากกว่าคณะสงฆ์ธรรมยุติถึง 8:1 การกำหนดให้มีจำนวนกรรมการมหาเถรสมาคมเท่ากัน ไม่ยุติธรรม แต่คณะสงฆ์มหานิกายก็ยอมรับ เพราะเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของคณะสงฆ์และชาติบ้านเมือง
>>เมื่อดูการดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ก็พบว่า ตั้งแต่ พ.ศ.2453 ถึงปัจจุบัน มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติรวมระยะเวลา 89 ปี เป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกายรวมระยะเวลา 14 ปี
>>เมื่อพระมหาเถระฝ่ายธรรมยุติได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชอย่างยาวนาน คณะสงฆ์มหานิกายก็ไม่เคยคัดค้าน
>> แต่บัดนี้เมื่อสมเด็จพระญาณสังวรฯสมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง มหาเถรสมาคมได้มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559 เสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญซึ่งเป็นพระมหาเถระฝ่ายมหานิกายและมีอาวุโสสูงสุดทั้งโดยสมณศักดิ์และโดยพรรษาในบรรดาสมเด็จฯที่ยังปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นสมเด็จพระสังฆราช
>>คณะสงฆ์โดยรวมไม่มีปัญหา สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติเป็นผู้เสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ต่อที่ประชุมเองด้วยซ้ำไป กรรมการมหาเถรสมาคม ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นพ้องต้องกัน สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นปูชนียะที่คณะสงฆ์มหานิกายทั่วประเทศให้ความเคารพเป็นอย่างสูง ถ้าทำตามกฎหมายก็ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาเกิดเพราะมีกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีจะตะแบงเอาตามใจตัวเอง เรื่องการปกครองคณะสงฆ์ ไม่ฟังมติมหาเถรสมาคมแล้วจะฟังใคร
>>คณะสงฆ์มหานิกายและธรรมยุติกนิกายโดยภาพรวมปัจจุบันก็อยู่ร่วมกันด้วยดี เอื้อเฟื้อกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แต่ขบวนการชั่วได้หาเรื่องใส่ร้ายโจมตีเจ้าประคุณสมเด็จฯวัดปากน้ำเพื่อ ดิสเครดิตมากมาย *โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อความสามัคคีของคณะสงฆ์ทั้ง 2 นิกาย*
>>มีคนนำรถเก่าโบราณ 60 ปีก่อนมาถวายสมเด็จฯ ท่านก็ให้เอาไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ประชาชนที่สนใจมาศึกษาลักษณะรถโบราณ ท่านไม่ได้เอาไว้เป็นสมบัติส่วนตัว แต่มีการสร้างวาทกรรมโจมตีว่าท่านครอบครองรถหรูไม่เสียภาษี รถหรูอะไร เก่าจนวิ่งออกถนนไม่ได้แล้ว
>>นอกจากนี้มีกระแสข่าวว่า จะมีการใช้วิธีทำลายล้างทางการเมืองมาทำลายการคณะสงฆ์ สมคบคิดวางแผนโค่นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ โดยให้หน่วยราชการต่างๆหาทางจับผิดกลั่นแกล้งสมเด็จฯวัดปากน้ำ เพื่อให้เป็นข่าวอึกทึกครึกโครม ดิสเครดิตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชให้มัวหมอง อ้างว่ามีมลทินไม่เหมาะสม แล้วเสนอตั้งสมเด็จฯฝ่ายธรรมยุติเป็นสมเด็จพระสังฆราชแทน
>> มีพระภิกษุธรรมยุติตัวแทนกลุ่มลูกศิษย์หลวงตามหาบัวออกมาคัดค้านการเสนอนามพระมหาเถระฝ่ายมหานิกายเป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2559 รุนแรงหยาบคายถึงขนาดใช้คำว่า "เอาหมาขี้เรื้อนมาตั้งเป็นสังฆราช ใครจะไปกราบหมาขี้เรื้อนมันก็รู้อยู่นี่"
**พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงสอนให้พระภิกษุรูปใดด่าเรียกพระภิกษุรูปอื่นว่าเป็น__"หมาขี้เรื้อน"
>>การจาบจ้วงหยามเหยียดอย่างรุนแรงของกลุ่มพระธรรมยุติลูกศิษย์หลวงตามหาบัวครั้งนี้ ได้สะกิดให้ไฟแห่งความคับแค้นใจของคณะสงฆ์มหานิกายทั่วประเทศลุกโพลงขึ้นมาอีกครั้ง คณะสงฆ์มหานิกายทั้งประเทศกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด หากมีการใช้หน่วยงานราชการไปหาเรื่องจับผิดรังแกสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชจริง ก็เท่ากับเป็นการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ ซึ่งจะทวีดีกรีความร้อนแรงจนอาจจะแผดเผาสังฆมณฑลให้มอดมิดเป็นจุณไปก็ได้ สังคมไทยจะแตกแยกลึกซึ้งจนถึงแก่น และจะส่งผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อทุกสถาบันในสังคมไทย จนอาจจะไม่เหลือสถาบันใดๆ ให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยต่อไปอีกเลย
>>คณะสงฆ์กลุ่มลูกศิษย์หลวงตามหาบัว มีจำนวนราว 5% ของคณะสงฆ์ธรรมยุติ หรือราว 0.5% ของคณะสงฆ์ทั่วประเทศ และกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวนี้เป็นเพียงบางส่วนของลูกศิษย์หลวงตามหาบัวเท่านั้น เป็นกลุ่มที่ถือความเห็นตนเป็นใหญ่ แม้คณะสงฆ์ธรรมยุติเองก็ปกครองไม่ค่อยได้
>>ให้รัฐบาลตัดสินใจว่า จะเลือกคณะสงฆ์ส่วนรวม 99 % ของประเทศไทยโดยทำหน้าที่ตามกฎหมาย หรือจะเลือกคณะสงฆ์จำนวนไม่กี่รูปไม่ถึง 1% ของประเทศโดยใช้กฎหมู่ คณะสงฆ์มหานิกายทั่วประเทศจับตาดูอยู่
>>ขอให้รัฐบาลกำชับหน่วยงานราชการ__**อย่าตกเป็นเครื่องมือของขบวนการชั่วร้าย**__ ที่มุ่งทำลายคณะสงฆ์มหานิกาย อย่าเล่นกับไฟ หากมีการดำเนินการใดๆไปสู่การนำเสนอแต่งตั้งสมเด็จฯฝ่ายธรรมยุติเป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่เสนอสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือดองเรื่องถ่วงเวลา ก็อาจถึงเวลาที่คณะสงฆ์ไทยจะได้กระทำตามพระธรรมวินัย ตามหลักนานาสังวาส มีสมเด็จพระสังฆราชของคณะสงฆ์มหานิกายและธรรมยุติแยกขาดจากกัน ส่วนคณะสงฆ์ลูกศิษย์หลวงตาบัวบางส่วน จะทำสังฆเภทแยกการปกครองออกจากคณะธรรมยุติกนิกาย มีสังฆราชของตนเองหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา
18/1/59
No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.