ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Thursday, May 12, 2016

การปล่อยให้รัฐธรรมนูญโจร ผ่านการลงประชามติ... คือการขุดหลุมฝังประชาธิปไตย

การปล่อยให้รัฐธรรมนูญโจร ผ่านการลงประชามติ
เท่ากับการยอมรับให้เผด็จการครองเมืองต่อไป
คือการขุดหลุมฝังประชาธิปไตย
และการเปิดประตูสู่นรกของคนไทย
แล้วเป็นการปล่อยให้สถานการณ์ไปสู่สงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ

จงช่วยกันหยุดรัฐธรรมนูญโจรให้ได้




การปล่อยให้รัฐธรรมนูญโจร ผ่านการลงประชามติ... คือการขุดหลุมฝังประชาธิปไตย

การปล่อยให้รัฐธรรมนูญโจร ผ่านการลงประชามติ
เท่ากับการยอมรับให้เผด็จการครองเมืองต่อไป
คือการขุดหลุมฝังประชาธิปไตย
และการเปิดประตูสู่นรกของคนไทย
แล้วเป็นการปล่อยให้สถานการณ์ไปสู่สงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ

จงช่วยกันหยุดรัฐธรรมนูญโจรให้ได้




เปิดตัวสถานีใหม่ "VOT", "Voice of Thailand" (YouTube-TV)

(กรุณากระจายข่าวนี้ไปให้มากที่สุดด้วย... ขอบพระคุณมากครับ)
เปิดตัวสถานีใหม่ "VOT", "Voice of Thailand" (YouTube-TV)
 ขอเชิญทุกๆท่านช่วยกรุณาสมัครเป็นสมาชิก (Subscribe)ด้วยครับ 
สถานีนี้จะเน้นไปในทางข่าวต่างประเทศจากทั่วโลก และส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย

สถานีนี้จะถ่ายทอดสดการ "ประชุมสัมัชชาประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ครั้งที่ 2"
จาก นครลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา วันที่ 21 พ.ค. 2559, เวลาเช้า 9:00 - 9:30 น. และ เวลาบ่าย 3:00-6:00 น.
(เวลาประเทศไทย 21 พ.ค. 2559, เวลาค่ำ 11:00 - 11:30 น. และ 22 พ.ค. 2559, เวลาเช้า 5:00-8:00 น.)

เราประเดิมทดลองสถานีด้วยการอัพโหลดคลิปสัมมนา "โฟกัสที่ประเทศไทย" (ภาษาอังกฤษ)
โดย  ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ ร.ศ. ดร. ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557, ณ นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา 
 ขอเชิญทุกๆท่านช่วยกรุณาสมัครเป็นสมาชิก (Subscribe)ด้วยครับ

ไอ้ตูบประยุทธ์ ตัวเดียวในโลก


ไอ้ตูบประยุทธ์ ตัวเดียวในโลก


การนิ่งเฉย ดูการทำลายพระศาสนา หรือเราจะอยู่ดูกันอย่างนี้ต่อไป ?!?

การนิ่งเฉย ดูการทำลายพระศาสนา  หรือเราจะอยู่ดูกันอย่างนี้ต่อไป ?!?
-
ไอ้มารศาสนา ธรรมนูญ อัตโชติ  สมคบ DSI มุ่งทำลายพระศาสนาอย่างนี้ไม่เรียกว่าไอ้เหี้ย แล้วจะเรียกอะไร ...จริงๆแล้ว ข่าวฟ้องธรรมกาย ในคดีความต่างๆ ใกล้ถึงจุดแตกหัก อีกทั้ง สหกรณ์ฯ เองก็ออกตัว ไม่เกี่ยวข้องกับการฟ้องพระธัมมชโย ในครั้งนี้.......... แล้วทำไมระบบความ อยุติธรรม ที่กระทำต่อพระ และองค์กรพุทธ ในสังคมไทยถึงไม่หยุด  ทำไมพวกมารศาสนาเหล่านั้นยังคง จ้องทำลาย แม้กระทั้ง พระ ที่ไม่มีความผิด หรือต้องรอ การหยุด  ด้วยพลังศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ พระพุทธศาสนา ..... นั้นคือคำถามถึงชาวพุทธทั้งหลาย หรือเราจะรอการล่มของพระพุทธศาสนา ที่ถูกกระทำด้วยคนใจบาป อย่าง ทรราช คสช. - DSI และคณะ
-
ฉนั้น 16 พ.ค.2559 นี้ ........ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ คงถึงเวลาต้องร่วมกันแสดงพลังเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา พบกันที่ วัดธรรมกาย  
-
การปกป้องพระศาสนาเป็นหน้าที่ของชาวพุทธ ทุกคน

-
เสรีชน

-------------------------------------------------------------------------------------

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2559 นายประกิต พิลังกาสา รองประธานกรรมการดำเนินการคนที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการดำเนินการ/ประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น จำกัด กล่าวถึงกรณีที่นายธรรมนูญ อัตโชติ สมาชิกประเภทสมทบของสหกรณ์ ได้ยื่นข้อกล่าวหาต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ดำเนินคดีกับพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย ในข้อหาสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร ต่อกรณีดังกล่าว เพื่อให้สมาชิกสหกรณ์ฯ กองทุนฯ และสังคม ตลอดจนสื่อมวลชนต่างๆ ได้ทราบข้อเท็จจริงว่ามีความเกี่ยวข้องผูกพันกับสหกรณ์ฯ อย่างไรหรือไม่นั้น สหกรณ์ฯ ขอเรียนชี้แจงให้ทราบดังนี้

-
1) การดำเนินการของนายธรรมนูญและพวกตามที่ปรากฏในสื่อสังคมนั้นเป็นเรื่องเฉพาะปัจเจกบุคคลหรือคณะที่ดำเนินการตามความคิดเห็น ความเชื่อส่วนตัว และเป็นอิสระ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือกระทำในนามของสหกรณ์ฯ และสมาชิกคนอื่นแต่ประการใด จึงไม่มีผลผูกพันต่อสหกรณ์ฯ ทั้งนี้ คณะกรรมการของสหกรณ์ฯ ผู้เป็นตัวแทนสหกรณ์ฯ ตามนิตินัยไม่มีความเห็นและมติที่จะดำเนินการดังกล่าวด้วย

-
2) การกระทำดังกล่าวของนายธรรมนูญและพวก อาจสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงตามข้อเท็จจริงต่อผู้รับรู้ข้อมูลข่าวสารโดยทั่วไปว่า สหกรณ์ฯ รู้เห็นในการฟ้องร้องดังกล่าวด้วย ซึ่งไม่เกิดผลดีต่อสหกรณ์ฯ และสมาชิกของสหกรณ์ฯ​ โดยรวม

-
คณะกรรมการของสหกรณ์ฯ มีจุดยืนและนโยบายที่ชัดเจนในการฟ้องร้องติดตามให้ตัวการผู้กระทำผิดคือนายศุภชัยและพวกคืนเงินให้กับสหกรณ์ฯ โดยวิธีการทางแพ่ง ส่วนการดำเนินการเอาผิดทางอาญาแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงินหรือรับของโจรนั้นจำเป็นต้องมีหลักฐานพยานที่ชัดเจนและซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของสหกรณ์ฯ จะดำเนินการได้เอง และเล็งเห็นว่าดีเอสไอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมีหน้าที่โดยตรงในการสืบสวนสอบสวนได้ดำเนินการอยู่แล้วตามกระบวนการยุติธรรมและจะเป็นการเหมาะสมกว่า

-
3) ในส่วนความเสียหายที่เกิดแก่พระเทพญาณมหามุนีจากการถูกกล่าวหาโดยนายธรรมนูญนั้น สหกรณ์ฯ ตระหนักดีถึงความสะเทือนใจ เสียใจ ของผู้ถูกกล่าวหาและคณะศิษย์ พร้อมเห็นว่าผู้เสียหายย่อมเรียกร้องความเป็นธรรมและชดใช้ความเสียหายได้ทั้งในทางแพ่งและอาญา

-
สหกรณ์ฯ สามารถให้ความกระจ่างในสังคมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์ฯ และสมาชิกของสหกรณ์ฯ เพื่อความเข้าใจอันดีและถูกต้อง รวมทั้งประโยชน์ที่ทางกองทุนฯ พระเทพญาณมหามุนีได้มอบให้แก่สมาชิกสหกรณ์ฯ ซึ่งสะท้อนถึงเจตนาและภาพลักษณ์ที่ดีให้สังคมได้รับทราบ

-
4) สหกรณ์ฯ ขอเรียนให้สมาชิกสหกรณ์ฯ ทุกท่านและสังคมทุกภาคส่วนทราบถึงสถานภาพความจำเป็นขณะนี้ว่า การฟื้นฟูกิจการของสหกรณ์ฯ ให้ดำรงอยู่ได้ ต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในเรื่องการระดมเงินจำนวนมากมาพยุงฐานะการเงินและการทำธุรกิจหารายได้มาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย เช่น เงินที่ภาครัฐจะพิจารณาหาแหล่งเงินทุนให้ หรือเงินจากการติดตามสินทรัพย์ในคดีต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ยังอยู่ในกระบวนการขั้นตอนดำเนินการอีกระยะหนึ่ง

-
ขณะที่สหกรณ์ฯ คลองจั่นมีภาระที่จะต้องชำระหนี้คืนแก่เจ้าหนี้ในกลางปีและสิ้นปีนี้ให้ได้ตามที่แผนฟื้นฟูกำหนดไว้ โดยเงินจำนวนดังกล่าวมาจากการได้รับเยียวยาจากกองทุนเงินเฉพาะกิจลูกศิษย์วัดพระธรรมกายเป็นส่วนใหญ่ สหกรณ์ฯ จึงขอขอบคุณในความเมตตาที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายได้ให้การสนับสนุนบรรเทาความเดือดร้อนของสมาชิกสหกรณ์ฯ ไว้ในโอกาสนี้

-
"อย่างไรก็ตาม สหกรณ์ฯ ขอยืนยันว่า การดำเนินการใดๆ ก็ตาม จะเป็นไปเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในการติดตามเงินที่สหกรณ์ฯ​ สูญเสียไปกลับคืนมาให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ในการฟื้นฟูกิจการเป็นสำคัญ มิได้เอนเอียงไปเพื่อผลประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง การติดตามเงินเป็นเป้าหมายเดียวของคณะกรรมการฟื้นฟูฯ ส่วนเรื่องคดีความต่างๆ ให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่" นายประกิตกล่าว


การนิ่งเฉย ดูการทำลายพระศาสนา หรือเราจะอยู่ดูกันอย่างนี้ต่อไป ?!?

การนิ่งเฉย ดูการทำลายพระศาสนา  หรือเราจะอยู่ดูกันอย่างนี้ต่อไป ?!?
-
ไอ้มารศาสนา ธรรมนูญ อัตโชติ  สมคบ DSI มุ่งทำลายพระศาสนาอย่างนี้ไม่เรียกว่าไอ้เหี้ย แล้วจะเรียกอะไร ...จริงๆแล้ว ข่าวฟ้องธรรมกาย ในคดีความต่างๆ ใกล้ถึงจุดแตกหัก อีกทั้ง สหกรณ์ฯ เองก็ออกตัว ไม่เกี่ยวข้องกับการฟ้องพระธัมมชโย ในครั้งนี้.......... แล้วทำไมระบบความ อยุติธรรม ที่กระทำต่อพระ และองค์กรพุทธ ในสังคมไทยถึงไม่หยุด  ทำไมพวกมารศาสนาเหล่านั้นยังคง จ้องทำลาย แม้กระทั้ง พระ ที่ไม่มีความผิด หรือต้องรอ การหยุด  ด้วยพลังศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ พระพุทธศาสนา ..... นั้นคือคำถามถึงชาวพุทธทั้งหลาย หรือเราจะรอการล่มของพระพุทธศาสนา ที่ถูกกระทำด้วยคนใจบาป อย่าง ทรราช คสช. - DSI และคณะ
-
ฉนั้น 16 พ.ค.2559 นี้ ........ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ คงถึงเวลาต้องร่วมกันแสดงพลังเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา พบกันที่ วัดธรรมกาย  
-
การปกป้องพระศาสนาเป็นหน้าที่ของชาวพุทธ ทุกคน

-
เสรีชน

-------------------------------------------------------------------------------------

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2559 นายประกิต พิลังกาสา รองประธานกรรมการดำเนินการคนที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการดำเนินการ/ประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น จำกัด กล่าวถึงกรณีที่นายธรรมนูญ อัตโชติ สมาชิกประเภทสมทบของสหกรณ์ ได้ยื่นข้อกล่าวหาต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ดำเนินคดีกับพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย ในข้อหาสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร ต่อกรณีดังกล่าว เพื่อให้สมาชิกสหกรณ์ฯ กองทุนฯ และสังคม ตลอดจนสื่อมวลชนต่างๆ ได้ทราบข้อเท็จจริงว่ามีความเกี่ยวข้องผูกพันกับสหกรณ์ฯ อย่างไรหรือไม่นั้น สหกรณ์ฯ ขอเรียนชี้แจงให้ทราบดังนี้

-
1) การดำเนินการของนายธรรมนูญและพวกตามที่ปรากฏในสื่อสังคมนั้นเป็นเรื่องเฉพาะปัจเจกบุคคลหรือคณะที่ดำเนินการตามความคิดเห็น ความเชื่อส่วนตัว และเป็นอิสระ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือกระทำในนามของสหกรณ์ฯ และสมาชิกคนอื่นแต่ประการใด จึงไม่มีผลผูกพันต่อสหกรณ์ฯ ทั้งนี้ คณะกรรมการของสหกรณ์ฯ ผู้เป็นตัวแทนสหกรณ์ฯ ตามนิตินัยไม่มีความเห็นและมติที่จะดำเนินการดังกล่าวด้วย

-
2) การกระทำดังกล่าวของนายธรรมนูญและพวก อาจสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงตามข้อเท็จจริงต่อผู้รับรู้ข้อมูลข่าวสารโดยทั่วไปว่า สหกรณ์ฯ รู้เห็นในการฟ้องร้องดังกล่าวด้วย ซึ่งไม่เกิดผลดีต่อสหกรณ์ฯ และสมาชิกของสหกรณ์ฯ​ โดยรวม

-
คณะกรรมการของสหกรณ์ฯ มีจุดยืนและนโยบายที่ชัดเจนในการฟ้องร้องติดตามให้ตัวการผู้กระทำผิดคือนายศุภชัยและพวกคืนเงินให้กับสหกรณ์ฯ โดยวิธีการทางแพ่ง ส่วนการดำเนินการเอาผิดทางอาญาแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงินหรือรับของโจรนั้นจำเป็นต้องมีหลักฐานพยานที่ชัดเจนและซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของสหกรณ์ฯ จะดำเนินการได้เอง และเล็งเห็นว่าดีเอสไอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมีหน้าที่โดยตรงในการสืบสวนสอบสวนได้ดำเนินการอยู่แล้วตามกระบวนการยุติธรรมและจะเป็นการเหมาะสมกว่า

-
3) ในส่วนความเสียหายที่เกิดแก่พระเทพญาณมหามุนีจากการถูกกล่าวหาโดยนายธรรมนูญนั้น สหกรณ์ฯ ตระหนักดีถึงความสะเทือนใจ เสียใจ ของผู้ถูกกล่าวหาและคณะศิษย์ พร้อมเห็นว่าผู้เสียหายย่อมเรียกร้องความเป็นธรรมและชดใช้ความเสียหายได้ทั้งในทางแพ่งและอาญา

-
สหกรณ์ฯ สามารถให้ความกระจ่างในสังคมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์ฯ และสมาชิกของสหกรณ์ฯ เพื่อความเข้าใจอันดีและถูกต้อง รวมทั้งประโยชน์ที่ทางกองทุนฯ พระเทพญาณมหามุนีได้มอบให้แก่สมาชิกสหกรณ์ฯ ซึ่งสะท้อนถึงเจตนาและภาพลักษณ์ที่ดีให้สังคมได้รับทราบ

-
4) สหกรณ์ฯ ขอเรียนให้สมาชิกสหกรณ์ฯ ทุกท่านและสังคมทุกภาคส่วนทราบถึงสถานภาพความจำเป็นขณะนี้ว่า การฟื้นฟูกิจการของสหกรณ์ฯ ให้ดำรงอยู่ได้ ต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในเรื่องการระดมเงินจำนวนมากมาพยุงฐานะการเงินและการทำธุรกิจหารายได้มาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย เช่น เงินที่ภาครัฐจะพิจารณาหาแหล่งเงินทุนให้ หรือเงินจากการติดตามสินทรัพย์ในคดีต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ยังอยู่ในกระบวนการขั้นตอนดำเนินการอีกระยะหนึ่ง

-
ขณะที่สหกรณ์ฯ คลองจั่นมีภาระที่จะต้องชำระหนี้คืนแก่เจ้าหนี้ในกลางปีและสิ้นปีนี้ให้ได้ตามที่แผนฟื้นฟูกำหนดไว้ โดยเงินจำนวนดังกล่าวมาจากการได้รับเยียวยาจากกองทุนเงินเฉพาะกิจลูกศิษย์วัดพระธรรมกายเป็นส่วนใหญ่ สหกรณ์ฯ จึงขอขอบคุณในความเมตตาที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายได้ให้การสนับสนุนบรรเทาความเดือดร้อนของสมาชิกสหกรณ์ฯ ไว้ในโอกาสนี้

-
"อย่างไรก็ตาม สหกรณ์ฯ ขอยืนยันว่า การดำเนินการใดๆ ก็ตาม จะเป็นไปเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในการติดตามเงินที่สหกรณ์ฯ​ สูญเสียไปกลับคืนมาให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ในการฟื้นฟูกิจการเป็นสำคัญ มิได้เอนเอียงไปเพื่อผลประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง การติดตามเงินเป็นเป้าหมายเดียวของคณะกรรมการฟื้นฟูฯ ส่วนเรื่องคดีความต่างๆ ให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่" นายประกิตกล่าว


ทรราช คสช. ถูกแรงกระทบเข้าอย่างจัง ทั้ง อียู ยูเอ็น องค์กรสิทธิฯ ต่างๆ รอบโลกและรวมทั้งทูตสหรัฐ

ทรราช คสช. ถูกแรงกระทบเข้าอย่างจัง ทั้ง อียู ยูเอ็น องค์กรสิทธิมนุษยชน ต่างๆ รอบโลกและรวมทั้งทูตสหรัฐ

แม้ท่านทูตจะบอกไม่ได้ประณามรัฐบาลทรราช คสช.  แต่การออกมากล่าวเช่นนี้เหมือเป็นการเอาตีนที่เหยียบขี้หมา ลูบหน้าทรราช คสช.อย่างจัง แม้ประชาชนภายในประเทศ จะมองสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างไร แต่ฑูตสหรัฐฯ ก็ ย้ำจุดยืนกังวลสถานการณ์ไทย พร้อมชี้ ทรราช คสช.ไม่เคารพเสรีภาพ และสร้างบรรยากาศข่มขู่ สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน นั้นเอง

------------------------------------------------------------------------------------


เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 12 พฤษภาคม ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับนายกลิน เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย โดยหลังการหารือราว 1.30 ชั่วโมง ทั้งคู่ได้แถลงข่าวร่วมกัน นายดอนได้เปิดโอกาสให้นายเดวีส์ให้สัมภาษณ์และตอบคำถามของสื่อมวลชนก่อน ในช่วงต้นเดวีส์ได้พูดถึงประเด็นที่มีการหารือกับนายดอนคือเรื่องทะเลจีนใต้และเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทย พร้อมกับขอบคุณนายดอนที่ได้มีการพูดคุยหารือกันอย่างตรงไปตรงมา

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องที่เอเอฟพีได้เสนอข่าวว่าสหรัฐได้ประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ เดวีส์กล่าวว่าสหรัฐห่วงกังวลอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น และย้ำจุดยืนที่ได้พูดไปโดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแล้วว่าสหรัฐห่วงกังวลกับการจับกุมนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและเห็นว่าควรต้องมีการเปิดพื้นที่ทางการเมือง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นขัดต่อพันธกรณีของไทยตามหลักสากล

ผู้สื่อข่าวถามว่าความสัมพันธ์สหรัฐ-ไทยหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร นายเดวีส์กล่าวว่า ความสัมพันธ์สองประเทศยังแข็งแกร่ง เพราะไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ของสหรัฐและยังมีความร่วมมือระหว่างกันในหลายมิติ

หลังนายเดวีส์ให้สัมภาษณ์เช่นนั้น นายดอนได้เรียกเอกสารจากเจ้าหน้าที่มาดูก่อนที่จะสอบถามนายเดวีส์อีกครั้งซึ่งเดวีส์ยืนยันว่า แคทรีนา อดัมส์ คือโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งขัดกับการชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศไทยก่อนหน้านี้ จากนั้นนายเดวีส์ได้หยิบเอกสารขึ้นมาอ่านต่อหน้าสื่อมวลชนและให้เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐแปลให้สื่อมวลชนฟังเป็นภาษาไทยว่า สหรัฐรู้สึกไม่สบายใจกับเหตุการณ์จับกุมเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการโพสต์ข้อความออนไลน์ รวมถึงการจับกุมมารดาของนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งขัดแย้งกับพันธกิจของไทยต่อนานาชาติ ซึ่งไม่เป็นการเคารพเสรีภาพในการแสดงออกและสร้างบรรยากาศของการข่มขู่ และทำให้เกิดการเซนเซอร์ตัวเอง

นายเดวีส์กล่าวต่อว่า การข่มขู่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและครอบครัว ทำให้เกิดความวิตกกังวลและห่วงใยอย่างยิ่งต่อพันธกรณีของไทยที่ต้องเคารพเสรีภาพในการแสดงความเห็น สหรัฐยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น การจำกัดเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การจำกัดสิทธิในการแสดงความเห็น สิทธิในการชุมนุม รวมถึงการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร

"สหรัฐเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยินยอมให้มีพูดคุยกันอย่างเปิดเผย และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในอนาคตทางการเมืองของประเทศ ซึ่งรวมถึงการร่างรัฐธรรมนูญและการลงประชามติในเดือนสิงหาคม เราขอเรียกร้องและกระตุ้นให้ไทยยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้"เดวีส์กล่าว และว่า นี่คือจุดยืนและท่าทีของสหรัฐในขณะนี้ พร้อมกับขอบคุณรัฐบาลไทยอีกครั้งที่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนควาเห็นในเรื่องต่างๆ ซึ่งรวมถึงสิทธิมนุษยชนในไทย ทั้งยังขอบคุณสื่อมวลชนที่ทำงานเพื่อประชาชนและย้ำว่าสื่อมวลชนมีหน้าที่ในการสื่อความจริงให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งสหรัฐให้ความเคารพกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน

หลังนายเดวีส์อ่านเอกสารที่เตรียมมาจบ นายดอนได้ย้ำว่า นายเดวีส์ไม่ได้หยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยกับตนระหว่างการหารือกันแต่อย่างใด นายเดวีส์จึงพูดอีกครั้งว่า ยืนยันว่าตนไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพูดกับนายดอน แต่พูดกับสื่อเพื่อแสดงจุดยืนของรัฐบาลสหรัฐ ขณะที่ในการหารือกับนายดอนก็ได้พูดคุยกันในหลายเรื่องรวมถึงเรื่องสิทธิพลเมือง และรับว่าสหรัฐไม่ได้ใช้คำว่าประณามไทย

นายดอนให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังส่งนายเดวีส์และคณะแล้วว่า สิ่งที่เดวีส์ย้ำเป็นการแสดงความห่วงใยแต่ไม่มีการประณามไทยตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ระหว่างการหารือไม่มีการพูดถึงประเด็นเหล่านี้ ตรงกันข้ามสหรัฐเป็นฝ่ายรับฟังด้วยซ้ำว่าเรื่องที่เป็นประเด็นในขณะนี้คืออะไรบ้าง ซึ่งตนก็ได้พูดถึงเรื่องการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยต่อคณะทำงานยูพีอาร์ที่เจนีวา ซึ่งก็มีเสียงชื่นชมไทยในหลายประเด็น

นายดอนกล่าวต่อว่า ในเรื่องสิทธิพลเมืองก็พูดให้สหรัฐฟังว่าไทยก็เหมือนสหรัฐที่เมื่อมีเรื่องที่สร้างความวุ่นวายในสังคมก็ต้องหารทางไม่ให้เกิดความปั่นป่วน สังคมก็ต้องหาทางดูแลปัญหาเหล่านั้นเช่นกัน ที่ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพูดเพราะเป็นที่เข้าใจว่าทุกประเทศก็มีปัญหาเหล่านี้เช่นกัน ขณะที่ในรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั้งที่สหรัฐและอังกฤษเพิ่งเผยแพร่ออกมา ประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นเป้า ซึ่งไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญหา ถ้าจะมีก็เหมือนประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นเป้าเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องมีการพูดคุยทำความเข้าใจกับสหรัฐอีกครั้งหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าไทยและสหรัฐจะเข้าใจเรื่องไม่ตรงกัน นายดอนกล่าวว่า คงมีโอกาสพบกันอีกแต่จะพูดคุยเรื่องเดิมคงใช่ที่ แต่อย่าถือเป็นเรื่องใหญ่โต มันเป็นเรื่องการเลือกใช้คำของสื่อแล้วคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และไม่เข้าใจเจตนาก็เอาไปใช้ต่อ

เมื่อถามว่าแสดงว่าสหรัฐไม่เข้าใจกระบวนการจัดการภายในของไทยหรือ นายดอนกล่าว่า เข้าใจไม่เข้าใจคงต้องเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง เพราะเราพูดกันมาพอควร และสหรัฐก็รู้ว่ามันเป็นปัญหาในหลักการอันหนึ่งเช่นเดียวกับบ้านเมืองเขา ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าการเดินทางมาหารือกันครั้งนี้เป็นการเรียกทูตสหรัฐมาพบหรือสหรัฐขอพบ นายดอนกล่าวว่า สหรัฐขอพบมานานแล้วแต่เพิ่งมีเวลาว่าง

Cr. MatichonOnline


ทรราช คสช. ถูกแรงกระทบเข้าอย่างจัง ทั้ง อียู ยูเอ็น องค์กรสิทธิฯ ต่างๆ รอบโลกและรวมทั้งทูตสหรัฐ

ทรราช คสช. ถูกแรงกระทบเข้าอย่างจัง ทั้ง อียู ยูเอ็น องค์กรสิทธิมนุษยชน ต่างๆ รอบโลกและรวมทั้งทูตสหรัฐ

แม้ท่านทูตจะบอกไม่ได้ประณามรัฐบาลทรราช คสช.  แต่การออกมากล่าวเช่นนี้เหมือเป็นการเอาตีนที่เหยียบขี้หมา ลูบหน้าทรราช คสช.อย่างจัง แม้ประชาชนภายในประเทศ จะมองสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างไร แต่ฑูตสหรัฐฯ ก็ ย้ำจุดยืนกังวลสถานการณ์ไทย พร้อมชี้ ทรราช คสช.ไม่เคารพเสรีภาพ และสร้างบรรยากาศข่มขู่ สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน นั้นเอง

------------------------------------------------------------------------------------


เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 12 พฤษภาคม ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับนายกลิน เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย โดยหลังการหารือราว 1.30 ชั่วโมง ทั้งคู่ได้แถลงข่าวร่วมกัน นายดอนได้เปิดโอกาสให้นายเดวีส์ให้สัมภาษณ์และตอบคำถามของสื่อมวลชนก่อน ในช่วงต้นเดวีส์ได้พูดถึงประเด็นที่มีการหารือกับนายดอนคือเรื่องทะเลจีนใต้และเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทย พร้อมกับขอบคุณนายดอนที่ได้มีการพูดคุยหารือกันอย่างตรงไปตรงมา

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องที่เอเอฟพีได้เสนอข่าวว่าสหรัฐได้ประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ เดวีส์กล่าวว่าสหรัฐห่วงกังวลอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น และย้ำจุดยืนที่ได้พูดไปโดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแล้วว่าสหรัฐห่วงกังวลกับการจับกุมนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและเห็นว่าควรต้องมีการเปิดพื้นที่ทางการเมือง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นขัดต่อพันธกรณีของไทยตามหลักสากล

ผู้สื่อข่าวถามว่าความสัมพันธ์สหรัฐ-ไทยหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร นายเดวีส์กล่าวว่า ความสัมพันธ์สองประเทศยังแข็งแกร่ง เพราะไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ของสหรัฐและยังมีความร่วมมือระหว่างกันในหลายมิติ

หลังนายเดวีส์ให้สัมภาษณ์เช่นนั้น นายดอนได้เรียกเอกสารจากเจ้าหน้าที่มาดูก่อนที่จะสอบถามนายเดวีส์อีกครั้งซึ่งเดวีส์ยืนยันว่า แคทรีนา อดัมส์ คือโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งขัดกับการชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศไทยก่อนหน้านี้ จากนั้นนายเดวีส์ได้หยิบเอกสารขึ้นมาอ่านต่อหน้าสื่อมวลชนและให้เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐแปลให้สื่อมวลชนฟังเป็นภาษาไทยว่า สหรัฐรู้สึกไม่สบายใจกับเหตุการณ์จับกุมเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการโพสต์ข้อความออนไลน์ รวมถึงการจับกุมมารดาของนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งขัดแย้งกับพันธกิจของไทยต่อนานาชาติ ซึ่งไม่เป็นการเคารพเสรีภาพในการแสดงออกและสร้างบรรยากาศของการข่มขู่ และทำให้เกิดการเซนเซอร์ตัวเอง

นายเดวีส์กล่าวต่อว่า การข่มขู่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและครอบครัว ทำให้เกิดความวิตกกังวลและห่วงใยอย่างยิ่งต่อพันธกรณีของไทยที่ต้องเคารพเสรีภาพในการแสดงความเห็น สหรัฐยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น การจำกัดเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การจำกัดสิทธิในการแสดงความเห็น สิทธิในการชุมนุม รวมถึงการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร

"สหรัฐเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยินยอมให้มีพูดคุยกันอย่างเปิดเผย และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในอนาคตทางการเมืองของประเทศ ซึ่งรวมถึงการร่างรัฐธรรมนูญและการลงประชามติในเดือนสิงหาคม เราขอเรียกร้องและกระตุ้นให้ไทยยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้"เดวีส์กล่าว และว่า นี่คือจุดยืนและท่าทีของสหรัฐในขณะนี้ พร้อมกับขอบคุณรัฐบาลไทยอีกครั้งที่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนควาเห็นในเรื่องต่างๆ ซึ่งรวมถึงสิทธิมนุษยชนในไทย ทั้งยังขอบคุณสื่อมวลชนที่ทำงานเพื่อประชาชนและย้ำว่าสื่อมวลชนมีหน้าที่ในการสื่อความจริงให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งสหรัฐให้ความเคารพกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน

หลังนายเดวีส์อ่านเอกสารที่เตรียมมาจบ นายดอนได้ย้ำว่า นายเดวีส์ไม่ได้หยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยกับตนระหว่างการหารือกันแต่อย่างใด นายเดวีส์จึงพูดอีกครั้งว่า ยืนยันว่าตนไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพูดกับนายดอน แต่พูดกับสื่อเพื่อแสดงจุดยืนของรัฐบาลสหรัฐ ขณะที่ในการหารือกับนายดอนก็ได้พูดคุยกันในหลายเรื่องรวมถึงเรื่องสิทธิพลเมือง และรับว่าสหรัฐไม่ได้ใช้คำว่าประณามไทย

นายดอนให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังส่งนายเดวีส์และคณะแล้วว่า สิ่งที่เดวีส์ย้ำเป็นการแสดงความห่วงใยแต่ไม่มีการประณามไทยตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ระหว่างการหารือไม่มีการพูดถึงประเด็นเหล่านี้ ตรงกันข้ามสหรัฐเป็นฝ่ายรับฟังด้วยซ้ำว่าเรื่องที่เป็นประเด็นในขณะนี้คืออะไรบ้าง ซึ่งตนก็ได้พูดถึงเรื่องการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยต่อคณะทำงานยูพีอาร์ที่เจนีวา ซึ่งก็มีเสียงชื่นชมไทยในหลายประเด็น

นายดอนกล่าวต่อว่า ในเรื่องสิทธิพลเมืองก็พูดให้สหรัฐฟังว่าไทยก็เหมือนสหรัฐที่เมื่อมีเรื่องที่สร้างความวุ่นวายในสังคมก็ต้องหารทางไม่ให้เกิดความปั่นป่วน สังคมก็ต้องหาทางดูแลปัญหาเหล่านั้นเช่นกัน ที่ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพูดเพราะเป็นที่เข้าใจว่าทุกประเทศก็มีปัญหาเหล่านี้เช่นกัน ขณะที่ในรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั้งที่สหรัฐและอังกฤษเพิ่งเผยแพร่ออกมา ประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นเป้า ซึ่งไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญหา ถ้าจะมีก็เหมือนประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นเป้าเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องมีการพูดคุยทำความเข้าใจกับสหรัฐอีกครั้งหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าไทยและสหรัฐจะเข้าใจเรื่องไม่ตรงกัน นายดอนกล่าวว่า คงมีโอกาสพบกันอีกแต่จะพูดคุยเรื่องเดิมคงใช่ที่ แต่อย่าถือเป็นเรื่องใหญ่โต มันเป็นเรื่องการเลือกใช้คำของสื่อแล้วคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และไม่เข้าใจเจตนาก็เอาไปใช้ต่อ

เมื่อถามว่าแสดงว่าสหรัฐไม่เข้าใจกระบวนการจัดการภายในของไทยหรือ นายดอนกล่าว่า เข้าใจไม่เข้าใจคงต้องเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง เพราะเราพูดกันมาพอควร และสหรัฐก็รู้ว่ามันเป็นปัญหาในหลักการอันหนึ่งเช่นเดียวกับบ้านเมืองเขา ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าการเดินทางมาหารือกันครั้งนี้เป็นการเรียกทูตสหรัฐมาพบหรือสหรัฐขอพบ นายดอนกล่าวว่า สหรัฐขอพบมานานแล้วแต่เพิ่งมีเวลาว่าง

Cr. MatichonOnline


DSI จ้องทำคดีพระธรรมกาย หรือจ้องทำลายพระศาสนา กันแน่

DSI จ้องทำคดีพระธรรมกาย หรือจ้องทำลายพระศาสนา กันแน่

ต้องยอมรับว่า คดีของพระธรรมกายเป็นคดีที่ประชาชนเรือนล้าน รวมถึงพระและบุคคลสำคัญทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจ 

การกระทำของ DSI ที่จ้องทำคดีพระธรรมกาย หรือแท้จริงแล้ว ต้องการทำลายพระศาสนา เพื่อให้คนของ กลุ่ม อำมาตย์ทรราช คสช. เข้านั้งในตำแหน่ง พระสังฆราช กันแน่

ความลับในห้อง ห้องกระจก วัดบวรฯ - พระลิขิต ว่าด้วยเงินอุดหนุนสังฆราช 300 ล้านบาทที่หายไป จะเป็นภูเขาไฟที่รอการปะทุ ได้จริงหรือ

และ การตื่นตัวของพระ และผู้ศรัทธาพระพุทธศาสนา จนท่านเจ้าคุณเบอร์ลิน ออกมากล่าวว่า 

"เนื่องจากช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเรื่องเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงการพระพุทธศาสนา ได้สร้างความยุ่งยากให้คณะสงฆ์ ก็ล้วนมีที่มาจากห้องกระจก ทั้งสิ้น"

แล้วก็ให้ข้อมูลตรงกัน

"ที่สำคัญต้นเหตุแห่งการเรื่องร้องเรียนเงินเกือบ 
300 ล้าน ของสมเด็จพระสังฆราช ในวันนี้ นั่นเอง"

ห้องกระจกฝั่งรากในวัดบวรนานแค่ไหน ?

สร้างความยุ่งยากให้วัดบวรมากน้อยเพียงไร ?


คนวัดบวรนั่นแหละรู้ดีที่สุด

พระ และคนที่เขามีใจเป็นธรรม รักความถูกต้อง รักวัดบวร และมีเคารพนับถือในองค์สมเด็จญาณฯ เขาอึดอัดกันทั้งนั้น จึงอยู่ในสถาพน้ำท่วมปาก 
พูดออกไปไม่ได้ มีแต่เสียกับเสีย ทั้งอาจเกิดอันตรายต่างๆกับตนอย่างไม่คาดคิดอีกด้วย ยิ่งเมื่อสมเด็จพระสังฆราชทรงอาพาธด้วยแล้วห้องกระจกก็ยิ่งปรากฏฉายรัศมีแห่งอำนาจมืด แผ่ครอบคลุมทั่วสังฆมณฑล หนักเข้าอีก
โดยเฉพาะ เกิดมีฤาษีคอยแปลงสาส์นสารพัดคือ

ให้พระอักษรเป็นพระลิขิต! 

ให้พระลิขิตเป็นพระบัญชา!

แล้วนำพระลิขิตไปแสวงหาผลประโยชน์นานาประการ ทั้งเงินทอง ตำแหน่ง ลาภยศ จนชื่อเสียงห้องกระจกเน่าฟอนเฟะ ส่งกลิ่นชั่วกลิ่นเหม็นไปทั่วบ้านทั่วเมือง ก็แปลกนะครับ กลิ่นเหม็นเหล่านี้พอเดินเข้าวัดบวรกลับกลายเป็นกลิ่นหอมไปได้ไงก็ไม่ทราบทุกคนเงียบหมด ไม่พระหรือคน

เรื่องเหล่านี้ ใครๆ เขารู้กันทั้งนั้น!! 

ด้วยทรงฤทธิ์ทรงเดช จึงปลุกเสกได้สารพัดดังนั้น จึงมีพระหลายรูปได้เป็นเจ้าคุณ จนถึงรองสมเด็จ โดยง่ายโดยแทบไม่ต้องถามหาคุณสมบัติ หรือกฎระเบียบใดๆทั้งสิ้นก็อิทธิฤทธิ์เพราะห้องกระจกนี้แหละบันดาลได้สารพัดนึก

ยังไม่เพียงแค่นั้น ฤทธิ์เดชชั่วนี้ ก็ยังขยายไปสู่อาณาจักรของคนไม่ใช่พระอีกนั่นก็คือ..... มีคนหลายคนได้เป็น นายพล นายพัน ก็เพราะห้องกระจกนี้ด้วยที่แทบไม่น่าเชื่อเลยก็คือ ....

"ดันมีอีกหลายคนเช่นกัน ที่ได้เป็นคุณหญิง คุณนาย เพราะห้องกระจกนี้เช่นกัน"ตำนานห้องกระจกนี้ BBC หรือCNN คงได้รู้สักวันนะครับ ในอนาคต 
ถึงเวลานั้นเมืองไทยอาจดังก้องโลกด้วยเรื่องเน่าๆ ก็ได้ คงสนุกกันบ้างงานนี้
ไอ้ที่เคยกระหยิ่มใจมาตลอดว่า..

"ใครมันจะมากล้ากับกู"

-------------------------------------------------------------------------------------

ข่าวเงิน 300 ล้านที่หายไป กลับกลายเป็นประเด็นเงียบ ทั้งๆที่มีหลักฐานชัดแจ้งในการเบิกจ่าย 

เรื่องราวทั้งหมด  ท่านเจ้าคุณแขก หนึ่งในผู้ทรงอำนาจ แห่งห้องกระจก พระแขก  แห่งเนปาล ที่เข้ามาอยู่ในวัดบวรฯ ตั้งแต่เด็ก ๆ รู้ดี  รู้แม้กระทั้งการเอาเงินดั่งกล่าวไปซื้อที่อะไรทีใหน เมื่อไร 

และรู้แม้กระทั้ง ครอบครัวของใครได้ผลประโยนช์ จากเงิน 300 ล้าน ของสมเด็จพระสังฆราช  ........... 

ใครกัน ................. เล่าที่กล้าเอาเงินของ สมเด็จพระสังฆราช ไป ใครกันที่ทรงอำนาจ ในห้องกระจก  ถ้าไม่ใช่ นางมารร้าย ที่ชื่ออังกาบ และทำไมไม่มีการขัดขวาง เพราะผลประโยนช์ที่แบ่งกัน ได้ลงตัว โดยการนำเงินของสมเด็จพระสังฆราช 300 ล้าน ไปซื้อที่ดิน ที่ ลุมพินี  เพื่อพัฒนาด้านธุรกิจ  แม้จะมีการกล่าวอ้างเรื่อง ทำเพื่อดำรงไว้ซึ่งพระพุทธพระศาสนา ก็ไม่ควร

เพราะนั้นมันเงินของพระ ของ สมเด็จพระสังฆราช  และเป็นเงินของแผ่นดิน 

หากเรามีเปรียบเทียบ ระหว่างเงินของแผ่นดิน กับเงินของประชาชน ในกรณี ของวัดพระธรรมกาย แล้วนั้น


มันชั่งแตกต่างกันราวหน้ามือกับหลังตีน อย่างเห็นได้ชัด


พระธัมมชโย ท่าน ไม่เคยทำสิ่งที่ไม่ดีเลย มีแต่ทำความดีและประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนา เงินที่ได้สร้างวัดสร้างความเจริญให้กับพระพทุธศาสนา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเงินบริจาคทั้งสิ้น 


ประเด็นที่น่าสงสัย ระหว่างเงินแผ่นดินกับเงินบริจาคของประชาชนผู้ศรัทธา
ทำไมสมุนของ ทรราช คสช. อย่าง DSI และมารศาสนาที่เกี่ยวข้องต้องการ ทำร้ายพระธัมมชโย 

1. ตอนนั้นคดีจบ เพราะบอกว่าเงินสหกรณ์บริจาคให้วัด 684 ล้าน และคนวัดเห็นใจสหกรณ์จึงรวบรวมกันคืนให้ทั้งหมด

2. ตอนนี้มาบอกว่าเงินสหกรณ์ที่หายเป็นหมื่นล้าน ย้ำหมื่นล้าน โยนความผิดมาให้วัด ทั้งๆที่ข้อมูลหลักฐานตอนนั้นชัดเจนมาก 684 ล้าน อย่างนั้นหรือ

3. ผลประโยชน์ของเรื่องนี้คืออะไร ใครกันที่ปลุกกระแสสร้างภาพลบๆให้พระพุทธศาสนา แล้วสุดท้ายใครที่ได้ผลประโยชน์ หากไม่ใช่ ทรราช คสช. ที่ต้องการ กำจัด สมเด็จช่วงและ เลื่อนการแต่งตั้งพระสังฆราช ออกไป อย่างไม่มีกำหนด 

เงินหายแต่ไม่ไป ต้องหาที่ที่มันหาย ทั้งเงินบริจาคให้วัดธรรมกาย ทำไมมันถึงแตกต่างกับเงินที่หายไปของ พระสังฆราช 

มารศาสนาอย่าง DSI ต้องการทำลายพระศาสนาไปทำไม ถ้าไม่มีคนสั่ง 

DSI และ ทรราช คสช. รู้หรือไหมว่าการทำเช่นนี้เป็นการ ปลุกพระ และประชาชนผู้ศรัทธาจะลุกขึ้นมา รวมตัวกันต่อต้าน ทรราช คสช. อย่างถึงที่สุดและนั้น จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง ขององค์กรพระพทุธศาสนา

หากการรวมตัวของพระ และประชาชนใน วันที่ 16 พ.ค.นี้ อาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศและคงไม่มีใครทนได้ เมื่อเห็น

"ทหารและข้าราชการของทรราช คสช. ฆ่าพระและทำลายพระศาสนา "

-
เสรีชน 


DSI จ้องทำคดีพระธรรมกาย หรือจ้องทำลายพระศาสนา กันแน่

DSI จ้องทำคดีพระธรรมกาย หรือจ้องทำลายพระศาสนา กันแน่

ต้องยอมรับว่า คดีของพระธรรมกายเป็นคดีที่ประชาชนเรือนล้าน รวมถึงพระและบุคคลสำคัญทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจ 

การกระทำของ DSI ที่จ้องทำคดีพระธรรมกาย หรือแท้จริงแล้ว ต้องการทำลายพระศาสนา เพื่อให้คนของ กลุ่ม อำมาตย์ทรราช คสช. เข้านั้งในตำแหน่ง พระสังฆราช กันแน่

ความลับในห้อง ห้องกระจก วัดบวรฯ - พระลิขิต ว่าด้วยเงินอุดหนุนสังฆราช 300 ล้านบาทที่หายไป จะเป็นภูเขาไฟที่รอการปะทุ ได้จริงหรือ

และ การตื่นตัวของพระ และผู้ศรัทธาพระพุทธศาสนา จนท่านเจ้าคุณเบอร์ลิน ออกมากล่าวว่า 

"เนื่องจากช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเรื่องเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงการพระพุทธศาสนา ได้สร้างความยุ่งยากให้คณะสงฆ์ ก็ล้วนมีที่มาจากห้องกระจก ทั้งสิ้น"

แล้วก็ให้ข้อมูลตรงกัน

"ที่สำคัญต้นเหตุแห่งการเรื่องร้องเรียนเงินเกือบ 
300 ล้าน ของสมเด็จพระสังฆราช ในวันนี้ นั่นเอง"

ห้องกระจกฝั่งรากในวัดบวรนานแค่ไหน ?

สร้างความยุ่งยากให้วัดบวรมากน้อยเพียงไร ?


คนวัดบวรนั่นแหละรู้ดีที่สุด

พระ และคนที่เขามีใจเป็นธรรม รักความถูกต้อง รักวัดบวร และมีเคารพนับถือในองค์สมเด็จญาณฯ เขาอึดอัดกันทั้งนั้น จึงอยู่ในสถาพน้ำท่วมปาก 
พูดออกไปไม่ได้ มีแต่เสียกับเสีย ทั้งอาจเกิดอันตรายต่างๆกับตนอย่างไม่คาดคิดอีกด้วย ยิ่งเมื่อสมเด็จพระสังฆราชทรงอาพาธด้วยแล้วห้องกระจกก็ยิ่งปรากฏฉายรัศมีแห่งอำนาจมืด แผ่ครอบคลุมทั่วสังฆมณฑล หนักเข้าอีก
โดยเฉพาะ เกิดมีฤาษีคอยแปลงสาส์นสารพัดคือ

ให้พระอักษรเป็นพระลิขิต! 

ให้พระลิขิตเป็นพระบัญชา!

แล้วนำพระลิขิตไปแสวงหาผลประโยชน์นานาประการ ทั้งเงินทอง ตำแหน่ง ลาภยศ จนชื่อเสียงห้องกระจกเน่าฟอนเฟะ ส่งกลิ่นชั่วกลิ่นเหม็นไปทั่วบ้านทั่วเมือง ก็แปลกนะครับ กลิ่นเหม็นเหล่านี้พอเดินเข้าวัดบวรกลับกลายเป็นกลิ่นหอมไปได้ไงก็ไม่ทราบทุกคนเงียบหมด ไม่พระหรือคน

เรื่องเหล่านี้ ใครๆ เขารู้กันทั้งนั้น!! 

ด้วยทรงฤทธิ์ทรงเดช จึงปลุกเสกได้สารพัดดังนั้น จึงมีพระหลายรูปได้เป็นเจ้าคุณ จนถึงรองสมเด็จ โดยง่ายโดยแทบไม่ต้องถามหาคุณสมบัติ หรือกฎระเบียบใดๆทั้งสิ้นก็อิทธิฤทธิ์เพราะห้องกระจกนี้แหละบันดาลได้สารพัดนึก

ยังไม่เพียงแค่นั้น ฤทธิ์เดชชั่วนี้ ก็ยังขยายไปสู่อาณาจักรของคนไม่ใช่พระอีกนั่นก็คือ..... มีคนหลายคนได้เป็น นายพล นายพัน ก็เพราะห้องกระจกนี้ด้วยที่แทบไม่น่าเชื่อเลยก็คือ ....

"ดันมีอีกหลายคนเช่นกัน ที่ได้เป็นคุณหญิง คุณนาย เพราะห้องกระจกนี้เช่นกัน"ตำนานห้องกระจกนี้ BBC หรือCNN คงได้รู้สักวันนะครับ ในอนาคต 
ถึงเวลานั้นเมืองไทยอาจดังก้องโลกด้วยเรื่องเน่าๆ ก็ได้ คงสนุกกันบ้างงานนี้
ไอ้ที่เคยกระหยิ่มใจมาตลอดว่า..

"ใครมันจะมากล้ากับกู"

-------------------------------------------------------------------------------------

ข่าวเงิน 300 ล้านที่หายไป กลับกลายเป็นประเด็นเงียบ ทั้งๆที่มีหลักฐานชัดแจ้งในการเบิกจ่าย 

เรื่องราวทั้งหมด  ท่านเจ้าคุณแขก หนึ่งในผู้ทรงอำนาจ แห่งห้องกระจก พระแขก  แห่งเนปาล ที่เข้ามาอยู่ในวัดบวรฯ ตั้งแต่เด็ก ๆ รู้ดี  รู้แม้กระทั้งการเอาเงินดั่งกล่าวไปซื้อที่อะไรทีใหน เมื่อไร 

และรู้แม้กระทั้ง ครอบครัวของใครได้ผลประโยนช์ จากเงิน 300 ล้าน ของสมเด็จพระสังฆราช  ........... 

ใครกัน ................. เล่าที่กล้าเอาเงินของ สมเด็จพระสังฆราช ไป ใครกันที่ทรงอำนาจ ในห้องกระจก  ถ้าไม่ใช่ นางมารร้าย ที่ชื่ออังกาบ และทำไมไม่มีการขัดขวาง เพราะผลประโยนช์ที่แบ่งกัน ได้ลงตัว โดยการนำเงินของสมเด็จพระสังฆราช 300 ล้าน ไปซื้อที่ดิน ที่ ลุมพินี  เพื่อพัฒนาด้านธุรกิจ  แม้จะมีการกล่าวอ้างเรื่อง ทำเพื่อดำรงไว้ซึ่งพระพุทธพระศาสนา ก็ไม่ควร

เพราะนั้นมันเงินของพระ ของ สมเด็จพระสังฆราช  และเป็นเงินของแผ่นดิน 

หากเรามีเปรียบเทียบ ระหว่างเงินของแผ่นดิน กับเงินของประชาชน ในกรณี ของวัดพระธรรมกาย แล้วนั้น


มันชั่งแตกต่างกันราวหน้ามือกับหลังตีน อย่างเห็นได้ชัด


พระธัมมชโย ท่าน ไม่เคยทำสิ่งที่ไม่ดีเลย มีแต่ทำความดีและประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนา เงินที่ได้สร้างวัดสร้างความเจริญให้กับพระพทุธศาสนา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเงินบริจาคทั้งสิ้น 


ประเด็นที่น่าสงสัย ระหว่างเงินแผ่นดินกับเงินบริจาคของประชาชนผู้ศรัทธา
ทำไมสมุนของ ทรราช คสช. อย่าง DSI และมารศาสนาที่เกี่ยวข้องต้องการ ทำร้ายพระธัมมชโย 

1. ตอนนั้นคดีจบ เพราะบอกว่าเงินสหกรณ์บริจาคให้วัด 684 ล้าน และคนวัดเห็นใจสหกรณ์จึงรวบรวมกันคืนให้ทั้งหมด

2. ตอนนี้มาบอกว่าเงินสหกรณ์ที่หายเป็นหมื่นล้าน ย้ำหมื่นล้าน โยนความผิดมาให้วัด ทั้งๆที่ข้อมูลหลักฐานตอนนั้นชัดเจนมาก 684 ล้าน อย่างนั้นหรือ

3. ผลประโยชน์ของเรื่องนี้คืออะไร ใครกันที่ปลุกกระแสสร้างภาพลบๆให้พระพุทธศาสนา แล้วสุดท้ายใครที่ได้ผลประโยชน์ หากไม่ใช่ ทรราช คสช. ที่ต้องการ กำจัด สมเด็จช่วงและ เลื่อนการแต่งตั้งพระสังฆราช ออกไป อย่างไม่มีกำหนด 

เงินหายแต่ไม่ไป ต้องหาที่ที่มันหาย ทั้งเงินบริจาคให้วัดธรรมกาย ทำไมมันถึงแตกต่างกับเงินที่หายไปของ พระสังฆราช 

มารศาสนาอย่าง DSI ต้องการทำลายพระศาสนาไปทำไม ถ้าไม่มีคนสั่ง 

DSI และ ทรราช คสช. รู้หรือไหมว่าการทำเช่นนี้เป็นการ ปลุกพระ และประชาชนผู้ศรัทธาจะลุกขึ้นมา รวมตัวกันต่อต้าน ทรราช คสช. อย่างถึงที่สุดและนั้น จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง ขององค์กรพระพทุธศาสนา

หากการรวมตัวของพระ และประชาชนใน วันที่ 16 พ.ค.นี้ อาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศและคงไม่มีใครทนได้ เมื่อเห็น

"ทหารและข้าราชการของทรราช คสช. ฆ่าพระและทำลายพระศาสนา "

-
เสรีชน 


“ไอ้ตูบประยุทธ์ ” ลั่นรัฐบาลทรราช คสช.ไม่เคยทำร้ายใคร ใช้กฏหมา ตามหลักมนุษยชน

"ไอ้ตูบประยุทธ์ " ย้ำกับสหรัฐฯ ไทยเดินตามโรดแมป เลือกตั้งปี 60 ลั่นรัฐบาลทรราช คสช.ไม่เคยทำร้ายใคร ใช้กฏหมา ตามหลักมนุษยชน ตอบข้อสงสัยทำไมพลเรือนขึ้นศาลทหาร
--------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 12 พฤษภาคม ที่ห้องสีม่วง ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.อ.เดนนิส แบลร์ ประธานมูลนิธิ Sasakawa Peace Foundation USA เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในโอกาสเยือนประเทศไทย ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ภายหลังการหารือ พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญว่า

นายกฯกล่าวต้อนรับ พล.ร.อ.เดนนิส แบลร์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งในกองทัพและฝ่ายบริหาร และเป็นที่ยอมรับในแวดวงการเมือง การทหารและธุรกิจ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิ Sasakawa Peace Foundation USA ทั้งนี้นายกฯทราบว่า พล.ร.อ.แบลร์ เขียนหนังสือเรื่อง Military Engagement: Influencing Armed Forces Worldwide to Support Democratic Transition จึงหวังว่า ว่า พล.ร.อ.แบลร์ จะเข้าใจการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยของไทย และจะช่วยสะท้อนมุมมองและแนวคิดของประเทศไทยไปยังผู้กำหนดนโยบาย และฝ่ายต่างๆ ในสหรัฐฯ เพื่อช่วยรักษาและเพิ่มพูนความสัมพันธ์ในภาพรวมระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ส่วนการหารือ ได้แก่ พัฒนาการการเมืองไทยและประเด็นสิทธิเสรีภาพ โดยนายกฯเห็นว่า การทำความเข้าใจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองมีความสำคัญ โดยเฉพาะในประเด็นที่อาจมีความคลาดเคลื่อน หรือ สร้างความเข้าใจผิด นอกจากนี้ นายกฯได้เน้นว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ไม่เคยจับกุมใคร ถ้าไม่มีการกระทำผิดกฎหมาย แต่หลายโอกาสบุคคลที่ต้องการสร้างความขัดแย้ง จะใช้การแสดงออกที่ผิดกฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้รับความสนใจจากประชาคมต่างประเทศ

"รัฐบาลไม่เคยทำร้ายใคร เพราะทุกคนเป็นคนไทย แต่ถ้าทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมย้ำว่า รัฐบาลให้เสรีภาพในการแสดงออกที่อยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ที่ไม่ยั่วยุเพื่อให้เกิดความขัดแย้งและความรุนแรง" พล.ต.วีรชนกล่าว

พล.ต.วีรชนกล่าวว่า สำหรับการเลือกตั้งไทยจะมีการเลือกตั้งภายในปี 2560 ซึ่งเป็นไปตามโรดแมปที่กำหนดไว้ พร้อมกล่าวถึงพัฒนาการของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะนำไปสู่การทำประชามติในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ โดยนายกฯยินดีที่จะรับฟังคำแนะนำและประสบการณ์ของสหรัฐฯ
-
Cr. MatichonOnline



“ไอ้ตูบประยุทธ์ ” ลั่นรัฐบาลทรราช คสช.ไม่เคยทำร้ายใคร ใช้กฏหมา ตามหลักมนุษยชน

"ไอ้ตูบประยุทธ์ " ย้ำกับสหรัฐฯ ไทยเดินตามโรดแมป เลือกตั้งปี 60 ลั่นรัฐบาลทรราช คสช.ไม่เคยทำร้ายใคร ใช้กฏหมา ตามหลักมนุษยชน ตอบข้อสงสัยทำไมพลเรือนขึ้นศาลทหาร
--------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 12 พฤษภาคม ที่ห้องสีม่วง ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.อ.เดนนิส แบลร์ ประธานมูลนิธิ Sasakawa Peace Foundation USA เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในโอกาสเยือนประเทศไทย ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ภายหลังการหารือ พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญว่า

นายกฯกล่าวต้อนรับ พล.ร.อ.เดนนิส แบลร์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งในกองทัพและฝ่ายบริหาร และเป็นที่ยอมรับในแวดวงการเมือง การทหารและธุรกิจ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิ Sasakawa Peace Foundation USA ทั้งนี้นายกฯทราบว่า พล.ร.อ.แบลร์ เขียนหนังสือเรื่อง Military Engagement: Influencing Armed Forces Worldwide to Support Democratic Transition จึงหวังว่า ว่า พล.ร.อ.แบลร์ จะเข้าใจการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยของไทย และจะช่วยสะท้อนมุมมองและแนวคิดของประเทศไทยไปยังผู้กำหนดนโยบาย และฝ่ายต่างๆ ในสหรัฐฯ เพื่อช่วยรักษาและเพิ่มพูนความสัมพันธ์ในภาพรวมระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ส่วนการหารือ ได้แก่ พัฒนาการการเมืองไทยและประเด็นสิทธิเสรีภาพ โดยนายกฯเห็นว่า การทำความเข้าใจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองมีความสำคัญ โดยเฉพาะในประเด็นที่อาจมีความคลาดเคลื่อน หรือ สร้างความเข้าใจผิด นอกจากนี้ นายกฯได้เน้นว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ไม่เคยจับกุมใคร ถ้าไม่มีการกระทำผิดกฎหมาย แต่หลายโอกาสบุคคลที่ต้องการสร้างความขัดแย้ง จะใช้การแสดงออกที่ผิดกฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้รับความสนใจจากประชาคมต่างประเทศ

"รัฐบาลไม่เคยทำร้ายใคร เพราะทุกคนเป็นคนไทย แต่ถ้าทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมย้ำว่า รัฐบาลให้เสรีภาพในการแสดงออกที่อยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ที่ไม่ยั่วยุเพื่อให้เกิดความขัดแย้งและความรุนแรง" พล.ต.วีรชนกล่าว

พล.ต.วีรชนกล่าวว่า สำหรับการเลือกตั้งไทยจะมีการเลือกตั้งภายในปี 2560 ซึ่งเป็นไปตามโรดแมปที่กำหนดไว้ พร้อมกล่าวถึงพัฒนาการของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะนำไปสู่การทำประชามติในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ โดยนายกฯยินดีที่จะรับฟังคำแนะนำและประสบการณ์ของสหรัฐฯ
-
Cr. MatichonOnline



แถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงในไทย

กรณียูเอ็นทบทวนสิทธิมนุษยชนในไทยเผยให้เห็นภาวะ 'มือถือสากปากถือศีล' ของรัฐบาลทหารทรราช คสช.

------------------------------------------------------------------------------------

Thu, 2016-05-12 17:30

ฮิวแมนไรท์วอทช์แถลงเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2559 กรณีรัฐบาลไทยให้คำมั่นต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ที่อ้างวารัฐบาลไทยเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและจะคืนประเทศสู่ประชาธิปไตยนั้น ช่างเป็นคำพูดที่แทบจะไร้ความหมายและแสดงให้เห็นถึง "ความมือถือสากปากถือศีล" ของรัฐบาลเผด็จการทหาร

-
12 พ.ค. 2559 คำแถลงของฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่าโดยก่อนหน้าที่จะมีการประชุมทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เรียกว่า Universal Periodic Review (UPR) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตซ์เซอร์แลนด์เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ส่งรายงานทบทวนสถานการณ์ต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติระบุว่าพวกเขา "จัดให้เรื่องการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนทุกกลุ่มเป็นเรื่องสำคัญที่สุด" แต่ฮิวแมนไรท์วอทช์ก็ระบุว่าที่ผ่านมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างรุนแรงโดยลอยนวลไม่ต้องรับผิด มีการใช้อำนาจทหารหนักขึ้น และละเลยข้อผูกพันด้านสิทธิมนุษยชนนานาชาติโดยสิ้นเชิง

-
จอห์น ฟิชเชอร์ ผู้อำนวยการรณรงค์ของสำนักงานฮิวแมนไรท์วอทช์สาขากรุงเจนีวากล่าวว่าการโต้ตอบของไทยต่อกรณีที่สหประชาชาติประเมินไทยนั้นไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงการให้สัญญาอย่างจริงจังต่อการลดการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือให้การคุ้มครองเสรีภาพพื้นฐานมากขึ้น ในขณะที่หลายประเทศเริ่มแสดงความกังวลต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ตัวแทนจากประะเทศไทยก็ไม่ได้พูดอะไรที่จะขจัดความกังวลต่อวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นได้เลย

-
ฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่าหลังจากที่เกิดการรัฐประหารเมื่อปี 2557 และการเข้ามามีอำนาจของ คสช. นำโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีการใช้อำนาจโดยอ้าง ม.44 ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบหรือขั้นตอนตามกฎหมาย มีการร่างรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจกองทัพในการแทรกแซงการเมือง รวมถึงมีการสั่งเซนเซอร์สื่อ ทำการสอดส่องโลกออนไลน์ และลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ปราบปรามคนที่วิจารณ์หรือทำกิจกรรมต่อต้านเผด็จการทหาร โดยมักจะอ้างข้อหายุยงปลุกปั่น อีกทั้งยังมีการอ้างใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพิ่มขึ้นมากและมีการลงโทษรุนแรงที่สุดจากที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ไทย นอกจากนี้ยังมีการเรียกตัวนักกิจกรรมหรือผู้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองเข้า "ปรับทัศนคติ" อีกนับพันราย มีการใช้ศาลทหารที่ทำการกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้คนโดยไม่มีข้อหาหรือมีการไต่สวนรวมถึงไม่ให้พวกเขาสามารถเข้าถึงทนายความได้เลย

-
ในแถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุต่อไปว่าฝ่ายความมั่นคงของไทยยังคงละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงต่อไปโดยไม่ต้องรับผิด ยังไม่มีใครเลยที่ต้องรับผิดในกรณีการใช้กำลังปราบปรามและสังหารประชาชนช่วงการชุมนุม 2553 ในกรณีละเมิดสิทธิในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงในกรณี "สงครามยาเสพติด" สมัย ทักษิณ ชินวัตร ที่มีคนถูกวิสามัญฆาตกรรมมากกว่า 2,000 ราย รวมถึงการสังหารและอุ้มหายนักกิจกรรมด้านสิทธิชุมชนอย่าง 'บิลลี' หรือกรณีนักสิทธิมนุษยชนอย่าง 'ทนายสมชาย'

-
แถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอทช์ยังระบุอีกว่าทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกหลายข้อทั้งที่มีการลงนามอนุสัญญาไว้เช่น เรื่องการต่อต้านการอุ้มหาย อนุสัญญาเรื่องการต่อต้านการทารุณกรรมซึ่งรัฐบาลไทยล้มเหลวในการออกกฎบังคับใช้และยังไม่มีกฎหมายใดระบุให้มีการชดเชยเหยื่อที่ถูกทารุณกรรม อีกทั้งยังทำได้ไม่ดีพอในกรณีของการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยและการต่อต้านการค้ามนุษย์

-
"ไม่มีใครควรที่จะถูกหลอกโดยรัฐบาลไทยที่ให้คำสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนแบบเพียงแค่ลมปาก" ฟิชเชอร์ กล่าว

-
"ประเทศสมาชิกสหประชาชาติควรกดดันไทยให้ยอมรับข้อเสนอของพวกเขาเพื่อหยุดยั้งไม่ให้เกิดภาวะตกต่ำทิ้งดิ่งลงเหวด้านสิทธิมนุษย์ชน โดยต้องทำให้ไทยยกเลิกการข่มเหงปราบปราม ให้เคารพในหลักเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และคืนประเทศสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยภายใต้พลเรือน" ฟิชเชอร์ กล่าว

---------------------------------------------------------------------------------------

MAY 11, 2016

Thailand: UN Review Highlights Junta's Hypocrisy

แถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงในไทย

กรณียูเอ็นทบทวนสิทธิมนุษยชนในไทยเผยให้เห็นภาวะ 'มือถือสากปากถือศีล' ของรัฐบาลทหารทรราช คสช.

------------------------------------------------------------------------------------

Thu, 2016-05-12 17:30

ฮิวแมนไรท์วอทช์แถลงเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2559 กรณีรัฐบาลไทยให้คำมั่นต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ที่อ้างวารัฐบาลไทยเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและจะคืนประเทศสู่ประชาธิปไตยนั้น ช่างเป็นคำพูดที่แทบจะไร้ความหมายและแสดงให้เห็นถึง "ความมือถือสากปากถือศีล" ของรัฐบาลเผด็จการทหาร

-
12 พ.ค. 2559 คำแถลงของฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่าโดยก่อนหน้าที่จะมีการประชุมทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เรียกว่า Universal Periodic Review (UPR) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตซ์เซอร์แลนด์เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ส่งรายงานทบทวนสถานการณ์ต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติระบุว่าพวกเขา "จัดให้เรื่องการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนทุกกลุ่มเป็นเรื่องสำคัญที่สุด" แต่ฮิวแมนไรท์วอทช์ก็ระบุว่าที่ผ่านมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างรุนแรงโดยลอยนวลไม่ต้องรับผิด มีการใช้อำนาจทหารหนักขึ้น และละเลยข้อผูกพันด้านสิทธิมนุษยชนนานาชาติโดยสิ้นเชิง

-
จอห์น ฟิชเชอร์ ผู้อำนวยการรณรงค์ของสำนักงานฮิวแมนไรท์วอทช์สาขากรุงเจนีวากล่าวว่าการโต้ตอบของไทยต่อกรณีที่สหประชาชาติประเมินไทยนั้นไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงการให้สัญญาอย่างจริงจังต่อการลดการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือให้การคุ้มครองเสรีภาพพื้นฐานมากขึ้น ในขณะที่หลายประเทศเริ่มแสดงความกังวลต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ตัวแทนจากประะเทศไทยก็ไม่ได้พูดอะไรที่จะขจัดความกังวลต่อวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นได้เลย

-
ฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่าหลังจากที่เกิดการรัฐประหารเมื่อปี 2557 และการเข้ามามีอำนาจของ คสช. นำโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีการใช้อำนาจโดยอ้าง ม.44 ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบหรือขั้นตอนตามกฎหมาย มีการร่างรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจกองทัพในการแทรกแซงการเมือง รวมถึงมีการสั่งเซนเซอร์สื่อ ทำการสอดส่องโลกออนไลน์ และลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ปราบปรามคนที่วิจารณ์หรือทำกิจกรรมต่อต้านเผด็จการทหาร โดยมักจะอ้างข้อหายุยงปลุกปั่น อีกทั้งยังมีการอ้างใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพิ่มขึ้นมากและมีการลงโทษรุนแรงที่สุดจากที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ไทย นอกจากนี้ยังมีการเรียกตัวนักกิจกรรมหรือผู้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองเข้า "ปรับทัศนคติ" อีกนับพันราย มีการใช้ศาลทหารที่ทำการกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้คนโดยไม่มีข้อหาหรือมีการไต่สวนรวมถึงไม่ให้พวกเขาสามารถเข้าถึงทนายความได้เลย

-
ในแถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุต่อไปว่าฝ่ายความมั่นคงของไทยยังคงละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงต่อไปโดยไม่ต้องรับผิด ยังไม่มีใครเลยที่ต้องรับผิดในกรณีการใช้กำลังปราบปรามและสังหารประชาชนช่วงการชุมนุม 2553 ในกรณีละเมิดสิทธิในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงในกรณี "สงครามยาเสพติด" สมัย ทักษิณ ชินวัตร ที่มีคนถูกวิสามัญฆาตกรรมมากกว่า 2,000 ราย รวมถึงการสังหารและอุ้มหายนักกิจกรรมด้านสิทธิชุมชนอย่าง 'บิลลี' หรือกรณีนักสิทธิมนุษยชนอย่าง 'ทนายสมชาย'

-
แถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอทช์ยังระบุอีกว่าทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกหลายข้อทั้งที่มีการลงนามอนุสัญญาไว้เช่น เรื่องการต่อต้านการอุ้มหาย อนุสัญญาเรื่องการต่อต้านการทารุณกรรมซึ่งรัฐบาลไทยล้มเหลวในการออกกฎบังคับใช้และยังไม่มีกฎหมายใดระบุให้มีการชดเชยเหยื่อที่ถูกทารุณกรรม อีกทั้งยังทำได้ไม่ดีพอในกรณีของการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยและการต่อต้านการค้ามนุษย์

-
"ไม่มีใครควรที่จะถูกหลอกโดยรัฐบาลไทยที่ให้คำสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนแบบเพียงแค่ลมปาก" ฟิชเชอร์ กล่าว

-
"ประเทศสมาชิกสหประชาชาติควรกดดันไทยให้ยอมรับข้อเสนอของพวกเขาเพื่อหยุดยั้งไม่ให้เกิดภาวะตกต่ำทิ้งดิ่งลงเหวด้านสิทธิมนุษย์ชน โดยต้องทำให้ไทยยกเลิกการข่มเหงปราบปราม ให้เคารพในหลักเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และคืนประเทศสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยภายใต้พลเรือน" ฟิชเชอร์ กล่าว

---------------------------------------------------------------------------------------

MAY 11, 2016

Thailand: UN Review Highlights Junta's Hypocrisy

ทรราช คสช. บังคับให้ครูสร้างภาพ จริง...!!!

ทรราช คสช. บังคับให้ครูสร้างภาพ จริง...!!! 
-
จากกรณี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 บังคับให้ครู ปรมมือให้ ไอ้ตูบประยุทธ์ และ บังคับให้ทุกคนต้องปรมมือให้กับ ผู้นำ ทรราช คสช. เมื่อกล่าวจบนั้น ..................ถามถึงครู ทั้งหลายว่า
-
สังคมจะเจริญ และครูจะสร้งผลงานในการผลิต เด็ก เพื่อให้เป็น อนาคตที่ดีของชาติ ได้อย่างไง 
-
ก็ในเมื่อ ครู ยังยอมก้มหัวให้กับ ความ อยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม โดยทรราช คสช. 
-
หรือว่าครู..................?
-
ครูยอมเป็นเครื่องให้กับ ทรราช คสช. เสียแล้ว ลืม จรรยาบรรณ ของครูที่ดี ยอมที่จะเลีบตีน เผด็จการทรราช คสช. อย่างนั้นหรือ 
-
หากเป็นเช่นนั้น ครูบางตัว ที่เด็กๆ เคารพ และนับถือ กระทำตัว ไม่ต่างกับ ผู้ขายบริการทางเพศ  โดยลืมจิตวิญญานของความเป็นครู
-
แล้ว................ สังคมจะสร้างเด็กให้เป็นอนาคตที่ดีของชาติ ได้อย่างไร
-
ฝากถึงครูที่เลว................ ด้วยครับ
-

เสรีชน
---------------------------------------------------------------------------------------


เอกสาร สพม.1 แจงกำหนดการครู ให้ปรบมือ-ตะโกนเชียร์ 'นายกฯสู้ๆ'
-
จากกรณีมีการเเชร์ภาพกำหนดการประชุมใหญ่ "นายกพบเพื่อนครู" วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2559 เวลา 11.00 – 16.30 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
-
เว็บไซต์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 พบเป็นเอกสารประกอบการประชุมเตียมงาน "นายกพบเพื่อครู" สพม.1 เผยแพร่เมื่อ วันพุธ, 11 พฤษภาคม 2559 จริง โดยเป็นกำหนดที่กำหนดหน้าที่ให้คณะครูทำตามพิธีกรรมต่างๆอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่เข้างานจนถึงนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึง และเมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงห้องประชุม ก็ให้ปรบมือจนกว่านายกฯจะเดินไปนั่งที่โซฟาจึงหยุดตบ เมื่อนายกฯพูดจบ จะมีสัญญานให้ครูทุกคนปรบมือให้ทุกคนพูดพร้อมกันว่า "นายกฯ สู้ๆ"

นอกจากนี้ กำหนดการณ์ดังกล่าวยังระบุว่า ขณะที่นายกฯ เดินเข้ามาในห้องประชุม ขอความกรุณาไม่ลุกขึ้นยืน หรือยกแขนขึ้นมาถ่ายรูป นายกฯ อนุญาตให้ถ่ายภาพได้แต่ต้องอยู่ในท่านั่งที่สุภาพ



ทรราช คสช. บังคับให้ครูสร้างภาพ จริง...!!!

ทรราช คสช. บังคับให้ครูสร้างภาพ จริง...!!! 
-
จากกรณี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 บังคับให้ครู ปรมมือให้ ไอ้ตูบประยุทธ์ และ บังคับให้ทุกคนต้องปรมมือให้กับ ผู้นำ ทรราช คสช. เมื่อกล่าวจบนั้น ..................ถามถึงครู ทั้งหลายว่า
-
สังคมจะเจริญ และครูจะสร้งผลงานในการผลิต เด็ก เพื่อให้เป็น อนาคตที่ดีของชาติ ได้อย่างไง 
-
ก็ในเมื่อ ครู ยังยอมก้มหัวให้กับ ความ อยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม โดยทรราช คสช. 
-
หรือว่าครู..................?
-
ครูยอมเป็นเครื่องให้กับ ทรราช คสช. เสียแล้ว ลืม จรรยาบรรณ ของครูที่ดี ยอมที่จะเลีบตีน เผด็จการทรราช คสช. อย่างนั้นหรือ 
-
หากเป็นเช่นนั้น ครูบางตัว ที่เด็กๆ เคารพ และนับถือ กระทำตัว ไม่ต่างกับ ผู้ขายบริการทางเพศ  โดยลืมจิตวิญญานของความเป็นครู
-
แล้ว................ สังคมจะสร้างเด็กให้เป็นอนาคตที่ดีของชาติ ได้อย่างไร
-
ฝากถึงครูที่เลว................ ด้วยครับ
-

เสรีชน
---------------------------------------------------------------------------------------


เอกสาร สพม.1 แจงกำหนดการครู ให้ปรบมือ-ตะโกนเชียร์ 'นายกฯสู้ๆ'
-
จากกรณีมีการเเชร์ภาพกำหนดการประชุมใหญ่ "นายกพบเพื่อนครู" วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2559 เวลา 11.00 – 16.30 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
-
เว็บไซต์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 พบเป็นเอกสารประกอบการประชุมเตียมงาน "นายกพบเพื่อครู" สพม.1 เผยแพร่เมื่อ วันพุธ, 11 พฤษภาคม 2559 จริง โดยเป็นกำหนดที่กำหนดหน้าที่ให้คณะครูทำตามพิธีกรรมต่างๆอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่เข้างานจนถึงนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึง และเมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงห้องประชุม ก็ให้ปรบมือจนกว่านายกฯจะเดินไปนั่งที่โซฟาจึงหยุดตบ เมื่อนายกฯพูดจบ จะมีสัญญานให้ครูทุกคนปรบมือให้ทุกคนพูดพร้อมกันว่า "นายกฯ สู้ๆ"

นอกจากนี้ กำหนดการณ์ดังกล่าวยังระบุว่า ขณะที่นายกฯ เดินเข้ามาในห้องประชุม ขอความกรุณาไม่ลุกขึ้นยืน หรือยกแขนขึ้นมาถ่ายรูป นายกฯ อนุญาตให้ถ่ายภาพได้แต่ต้องอยู่ในท่านั่งที่สุภาพ



กลุ่มชาวพุทธร้องขอ 'ไอ้้ตูบ' หยุดทำร้ายพระพุทธศาสนา และ 'พระธัมมชโย'

กลุ่มชาวพุทธร้องขอ 'ไอ้้ตูบ' สั่งดีเอสไอหยุดทำคดีที่จ้องทำร้ายพระพุทธศาสนา และ 'พระธัมมชโย'

-
กลุ่มชาวพุทธรักสันติ แห่ร้องนายกฯทรราช คสช.  สั่งดีเอสไอ หยุดทำคดี "พระธัมมชโย" อ้างไม่มีเหตุทุจริต ขัดหลักความเป็นจริง อีกทั้ง"พระธัมมชโย"เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กลับถูก สมุนของ ทรราช คสช. และกลุ่ม โล้นสุวิทย์ แห่งสำนักอ้อน้อย โจมตี และใส่ร้ายป้ายสี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 


------------------------------------------------------------------------------------------------------

เมื่อวันที่ 11 พ.ค.59 ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี  กลุ่มชาวพุทธรักสันติ กทม.นำโดย นายมาณพ เค้ามาก ประธานกลุ่มฯ ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับพระเทพญาณมหามุนี (พระธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย  โดยมี นางสุปราณี จันทรัตนวงศ์ ผู้ช่วย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล) เป็นตัวแทนรับเรื่อง 

ทั้งนี้กลุ่มดังกล่าว เรียกร้องไม่ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีกับพระธัมมชโย ในฐานะผู้ต้องหากระทำความผิด ฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินรวมถึงรับของโจร เนื่องจากการกล่าวหาดังกล่าว เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อีกทั้งดีเอสไอเคยสอบสวนพระธัมมชโยในฐานะพยานในคดีแล้ว ซึ่งในครั้งนั้นดีเอสไอทราบแล้วว่า พระธัมมชโยไม่มีความผิด เหตุใดจึงยังมากล่าวหาอีก รวมถึงกลุ่มลูกศิษย์วัดพระธรรมกายได้ตั้งกองทุนเยียวยาช่วยเหลือสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เป็นเงิน 684.78 ล้านบาท และทางสหกรณ์ฯ ได้ถอนฟ้องพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายแล้ว

นอกจากนี้การกล่าวหาว่า ยักยอกเงินวัดขัดกับหลักความเป็นจริง เพราะพระธัมมชโยได้อุปสมบทมาแล้ว 47 พรรษา มีสุขภาพไม่แข็งแรง อยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิต จึงไม่มีเหตุใดที่จะประพฤติทุจริต อันเป็นการกระทำที่ขัดกับปณิธานในการสร้างความดี ดังนั้นขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย.


กลุ่มชาวพุทธร้องขอ 'ไอ้้ตูบ' หยุดทำร้ายพระพุทธศาสนา และ 'พระธัมมชโย'

กลุ่มชาวพุทธร้องขอ 'ไอ้้ตูบ' สั่งดีเอสไอหยุดทำคดีที่จ้องทำร้ายพระพุทธศาสนา และ 'พระธัมมชโย'

-
กลุ่มชาวพุทธรักสันติ แห่ร้องนายกฯทรราช คสช.  สั่งดีเอสไอ หยุดทำคดี "พระธัมมชโย" อ้างไม่มีเหตุทุจริต ขัดหลักความเป็นจริง อีกทั้ง"พระธัมมชโย"เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กลับถูก สมุนของ ทรราช คสช. และกลุ่ม โล้นสุวิทย์ แห่งสำนักอ้อน้อย โจมตี และใส่ร้ายป้ายสี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 


------------------------------------------------------------------------------------------------------

เมื่อวันที่ 11 พ.ค.59 ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี  กลุ่มชาวพุทธรักสันติ กทม.นำโดย นายมาณพ เค้ามาก ประธานกลุ่มฯ ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับพระเทพญาณมหามุนี (พระธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย  โดยมี นางสุปราณี จันทรัตนวงศ์ ผู้ช่วย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล) เป็นตัวแทนรับเรื่อง 

ทั้งนี้กลุ่มดังกล่าว เรียกร้องไม่ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีกับพระธัมมชโย ในฐานะผู้ต้องหากระทำความผิด ฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินรวมถึงรับของโจร เนื่องจากการกล่าวหาดังกล่าว เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อีกทั้งดีเอสไอเคยสอบสวนพระธัมมชโยในฐานะพยานในคดีแล้ว ซึ่งในครั้งนั้นดีเอสไอทราบแล้วว่า พระธัมมชโยไม่มีความผิด เหตุใดจึงยังมากล่าวหาอีก รวมถึงกลุ่มลูกศิษย์วัดพระธรรมกายได้ตั้งกองทุนเยียวยาช่วยเหลือสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เป็นเงิน 684.78 ล้านบาท และทางสหกรณ์ฯ ได้ถอนฟ้องพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายแล้ว

นอกจากนี้การกล่าวหาว่า ยักยอกเงินวัดขัดกับหลักความเป็นจริง เพราะพระธัมมชโยได้อุปสมบทมาแล้ว 47 พรรษา มีสุขภาพไม่แข็งแรง อยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิต จึงไม่มีเหตุใดที่จะประพฤติทุจริต อันเป็นการกระทำที่ขัดกับปณิธานในการสร้างความดี ดังนั้นขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย.