ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Wednesday, March 18, 2015

องค์กรสิทธิฯสากล ขู่"ไทย"หากไม่หยุดละเมิดสิทธิประชาชน จะกดดันหนักขึ้น (เครดิต คุณจอม เพ็ชรประดับ)

นายสุณัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล (Human Rights Watch) ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia ถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย จากการบังคับใช้ กฎอัยการศึก และให้พลเรือนขึ้นศาลทหาร ว่า องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลทั่วโลก จี้ รัฐบาลเผด็จการทหารไทย ยกเลิกกฎอัยการศึก และหยุดการพิจารณาคดีของพลเรือนในศาลทหาร 





URL: https://youtu.be/F0506_2sGsc





ย้อนดูคำให้การน้องแหวน ที่มัดคอฆาตกรในเครื่องแบบอย่างแน่นหนา (เครดิต มติชนออนไลน์)

-คำเบิกความของ น.ส.ณัฏฐธิดา หรือ แหวน มีวังปลา มีรายละเอียดดังนี้



พยานเข้าไปตั้งเต็นท์ที่ราชประสงค์ตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. 2553 ที่บริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนกระทั่งช่วงเช้าของวันที่ 19 พ.ค. 2553 พยาน น.ส.กมนเกด และนายอัครเดช ได้ย้ายเข้าไปใน วัดปทุมวนารามเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ชุมนุมที่เข้าไปหลบภายในวัด

ขณะนั้นวัดปทุมฯ ถูกประกาศให้เป็นเขตอภัยทาน โดยมีนายมงคลเข้ามาสมทบที่เต็นท์พยาบาลเวลาประมาณ 14.00 น. โดยเต็นท์อยู่หน้าสหกรณ์ ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูทางออกของวัด
ต่อมาเวลาประมาณ 16.00 น. พยานได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางด้านแยกเฉลิมเผ่า เมื่อเกิดเสียงปืน ผู้ชุมนุมที่อยู่บนถนนพระราม 1 ข้างนอกวัดได้วิ่งเข้าภายในวัด
และพยานได้เห็นนายอัฐชัย ชุมจันทร์ อยู่ที่บริเวณตอม่อรางรถไฟฟ้า ถูกยิงล้มลง แต่นาย อัฐชัยยังลุกขึ้นได้และวิ่งมาล้มลงอีกครั้งที่ประตูวัด พยานและนายอัครเดช จึงเข้าไปช่วยพาเข้าเต็นท์เพื่อปฐมพยาบาล ขณะนั้นน.ส.กมนเกดไปเอาถังออกซิเจน

หลังจากที่นายอัฐชัยเสียชีวิตลงแล้วพยานได้ถ่ายรูปนายอัฐชัยไว้และเข้าไปถามหาญาติที่สวนป่าในวัด
ขณะกำลังเดินเข้าไปตามหาญาติของนายอัฐชัย มีผู้ชุมนุมวิ่งสวนพยานออกมาจากสวนป่าและขอยาล้างตากับพยาน ผู้ชุมนุมบอกกับพยานว่ามีแก๊สน้ำตาตกที่บริเวณห้องน้ำภายในสวนป่า ซึ่งมาจากทางด้านหลังของวัด
จากนั้นพยานร่วมกับ น.ส.กมนเกด นายอัครเดช และนายมงคล ได้กลับไปที่เต็นท์ด้านหน้าวัดอีกครั้งเพื่อเก็บอุปกรณ์การแพทย์เพื่อย้ายเข้าไปในสวนป่า เนื่องจากคิดว่าบริเวณด้านหน้าวัดไม่ปลอดภัยแล้ว
ขณะเดินออกมาก็มีกระสุนยิงตกกระทบที่พื้นข้างหน้าของพยาน ทำให้พื้นตรงหน้าเป็นฝุ่นกระจายขึ้นมาและพื้นเป็นหลุมลงไป โดยระหว่างนี้มีผู้บาดเจ็บเข้ามาขอความช่วยเหลือกับพยาน 2 คน คือ นายกิตติชัย แข็งขัน ถูกยิงที่ฝ่ามือขวา หลัง และโคนขาขวา และนายบัวศรี ทุมมา ถูกยิงที่ส้นเท้า
ขณะที่ น.ส.กมนเกด นายอัครเดช และนายมงคล กำลังเก็บของอยู่ในเต็นท์พยาบาลได้มีกระสุนสาดลงมา โดยขณะนั้นพยานอยู่ห่างจากเต็นท์ไปราว 5 เมตร เมื่อพยานได้ยินเสียงปืนจึงตะโกนบอกให้ทั้ง 3 คน หมอบ โดยไม่ได้หันกลับไปมองที่เต็นท์
จากนั้นค่อยหันกลับไปดูเห็นทุกคนหมอบอยู่จึงคิดว่าหมอบตามที่ตัวเองเตือน พยานเห็น น.ส.กมนเกด คลานตะเกียกตะกายจะไปที่รถกระบะที่จอดอยู่ด้านท้ายของเต็นท์ แต่ยังไปไม่ถึง น.ส.กมนเกด ก็หมอบนิ่งไป ส่วนนายมงคล พยานไม่เห็นว่ามีการขยับ นายอัครเดช เห็นยังขยับอยู่

ในระหว่างเกิดเหตุไม่มีใครสามารถเข้าไปช่วยได้ เนื่องจากมีการยิงลงมาจากทหารบนรางรถไฟฟ้าตลอด โดยยืนยันจากการที่ได้เห็นว่ามีประกายไฟเมื่อกระสุนกระทบกับเสาเหล็ก เห็นพื้นปูนเป็นฝุ่นฟุ้งและเป็นหลุมจากการตกกระทบของลูกกระสุน
ส่วนพยานยังหลบอยู่ที่กระถางต้นไม้ในบริเวณนั้นกับนักข่าวต่างประเทศ ชื่อนายแอนดรูว์ (พยานไม่ทราบนามสกุล) ขณะหลบอยู่นั้นนักข่าวได้ชันเข่าขึ้นมาทำให้ถูกยิงด้วย
จากนั้นพยานพยายามเข้าไปในสวนป่าเพื่อขอให้คนออกไปช่วย น.ส.กมนเกด นายอัครเดช และนายมงคล เข้ามาในสวนป่า ซึ่งตอนนั้นน.ส.กมนเกด และนายมงคลได้เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนนายอัครเดช ขณะที่ช่วยเข้าไปสวนป่ายังมีชีวิตอยู่
โดยเวลาขณะที่เข้าไปช่วยทั้ง 3 คนนั้นเป็นเวลาประมาณ 19.00 น. เมื่อช่วยเข้ามาได้แล้วเวลาประมาณ 20.00 น. นายอัครเดช จึงเสียชีวิต จากนั้นเวลาประมาณ 23.00 น. จึงมีรถพยาบาลเข้ามารับคนเจ็บออกจากวัด ซึ่งมีการติดต่อไปตั้งแต่ราว 18.00 น. แล้ว พยานคิดว่าถ้ารถพยาบาลสามารถเข้ามาเร็วกว่านี้อาจจะสามารถช่วยชีวิตนายอัครเดช ไว้ได้

น.ส.ณัฏฐธิดา เบิกความยืนยันว่าในระหว่างเกิดเหตุการณ์พยานได้เห็นทหารบนรางรถไฟฟ้าด้วย 5 นาย โดยใส่ชุดลายพราง สวมหมวก ด้านหลังหมวกติดสติ๊กเกอร์สีชมพู และทหารบนรางรถไฟฟ้ามีการประทับปืนเล็งลงมาที่วัด แต่พยานไม่พบเห็นหรือได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจากในวัด
พยานกล่าวด้วยว่าในวันนั้นตัวพยานเอง น.ส.กมนเกด นายอัครเดช มีปลอกแขนเครื่องหมายกาชาดใส่ไว้ชัดเจน ส่วนนายมงคล ใส่ชุดป่อเต็กตึ๊ง ตามหลักสากลแล้วจะต้องไม่ถูกทำร้ายจากทั้งสองฝ่าย

ขอบคุณข้อความจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1426720809





"เขาซ้อมผม" เหยื่อยัดคดีบึ้ม ‘สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน’ เผยนาทีทรมาณ ถูกซ้อมให้สารภาพฯ

อ่านดูนะครับ หลักฐานอีกหนึ่งชิ้น ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า
คสช. ที่นำโดยทหารของพระราชา ได้ก่อกรรมอันละเมิดกฎหมายสากลมาตลอด
จนน่าจะใกล้เข้าข่าย Crimes against humanity ไปเต็มตัวแล้ว


ข้อความจากไลน์ครับ...





พวกเขาซ้อมผม
เบื้องหลัง ‘สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน’
ไม่รับสารภาพ คดีระเบิดหน้าศาล
เบื้องหลังสอบสวน เขาโดนซ้อม

เขาว่าเหตุที่ไปพัวพันกับเหตุการณ์ปาระเบิดศาลอาจเนื่องมาจาก
เขาได้รับการชวนจากชาญวิทย์ (ถูกจับกุมเช่นกัน)
ให้ไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง
ให้กับกลุ่มผู้สนใจทางการเมืองกลุ่มหนึ่งที่ จ.ขอนแก่น
ประมาณสิบกว่าคน โดยที่เขาไม่ได้เคยรู้จักกับกลุ่มดังกล่าว
มาก่อนแต่อย่างใด งานดังกล่าวจัดขึ้น
ในวันที่14-15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในเขตอำเภอเมือง
ชาญวิทย์เขาบอกว่าชาญวิทย์พูดคนเดียวไม่ไหว
จึงต้องการให้เขาไปช่วยพูด ขณะที่ทหารรวมถึง
ตำรวจซึ่งมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
ได้สรุปรวมว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นการพบปะเพื่อวางแผนก่อเหตุ
โดยมีสรรเสริญและชาญวิทย์เป็นคนบรรยายแนวคิด
กระบวนการที่เจ้าหน้าที่พยายามทำให้สารภาพคือ
การขู่ตะคอก ตบหน้า ชกเขาที่บริเวณลิ้นปี่และชายโครง
รวมถึงเหยียบบริเวณลำตัว รอยช้ำส่วนใหญ่
เริ่มจางลงไปไปหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงบางส่วน
อย่างไรก็ตาม เขายังรู้สึกเจ็บชายโครงที่ถูกชก
สรรเสริญไม่ยอมรับสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับเหตุดังกล่าว เ
จ้าหน้าที่จึงได้ใช้ไฟฟ้าช็อตที่บริเวณต้นขา
เขาประมาณว่าถูกช็อตราว 30-40 ครั้ง

หัวอกคนชื่อจตุพร พรหมพันธุ์ ณ วินาทีนี้

ผมเป็นคนวัยเดียวกัน กับคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ติดตามประวัติและความเคลื่อนไหวกันมานาน  ผมถือว่า คุณจตุพร คือคนจริง ลูกผู้ชายตัวจริงคนหนึ่ง ในภาวะการเมืองที่เป็นเผด็จการที่สุด สำหรับในประเทศไทยแล้ว หากจะยกเอาคนที่ทหารและเจ้าหมายตา หรืออาจจะหมายหัวแบบเอาจริงเอาจัง จำนวนสามคนที่อยู่ในไทย ก็ต้องมีชื่อบุรุษนักสู้ท่านนี้

ในสภาวะที่ต่อสู้มา ผมว่าเครดิตของคุณจตุพร เกิดขึ้นเพราะลักษณะส่วนตัวและประวัติการต่อสู้ที่ยาวนานของเขา  แน่นอน เขามีข้อดี ข้อเสีย จุดอ่อน และจุดแข็ง อันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์  ผมรับรู้ถึงความอัดอั้นตันใจและสภาวะที่ต้องอับอาย พะอืดพะอม กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก และภาระทางใจที่แบกไว้คล้าย ๆ หนี้ที่ค้างชำระให้กับดวงวิญญาณและผู้ที่ยังมีชีวิตจำนวนมาก

จริง ๆ แล้ว พวกเราหลายคน ก็อยู่ในสภาพเดียวกับคุณจตุพร เพราะจะทำอะไรดั่งใจ มันก็รังแต่จะนำภัยสู่ตัวเอง มีคนด่าหรือใส่ร้ายจะไปตอบหมดก็ไม่ได้ มองบ้านเมืองก็เห็นแต่ความมืดมน นึกถึงทางข้างหน้าก็เหมือนการรู้ว่าจะต้องเกิดอะไรบางอย่าง ที่จะต้องหนักหนาสาหัส... ฯลฯ  แต่จงใช้สติอดทนเถิดสหาย  เพราะร่างที่มีลมหายใจของท่าน ที่มีสุขภาพกายและจิตที่ปกติ จะเป็นประโยชน์กับขบวนทัพประชาชนยิ่งนัก  วันเวลาข้างหน้ากำลังเรียกร้องขอให้ท่านไปช่วยกันกงล้อประวัติศาสตร์อยู่มิขาด และท่านไม่มีทางเลี่ยงแน่ ๆ เพราะชะตาชีวิตของพวกเรา ถูกกำหนดให้ต้องมาดูแลบ้านเมืองในยามวิกฤติที่สุดของยุคสมัย

ลองอ่านรายงานข่าวล่าสุดเกี่ยวกับคุณจตุพร (ซึ่งผมได้รับมาทางไลน์) แล้วคิดในกรอบที่ผมชวนคิดนะครับ ... ว่าท่านจะแตกหน่อขยายแนวกว้างและลึกได้ขนาดไหน  วันนี้หากเราเข้าใจสภาวการณ์และเข้าใจบุคคลที่เรามอง มันจะทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่ต้องไปทำลายมิตร หรือสร้างศัตรูในหมู่มิตรโดยไม่จำเป็น เพราะวันหนึ่ง เราต้องอาศัยเรี่ยวแรงของทุกท่านที่มีศักยภาพในตัวทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย  ขอให้ใจเรามุ่งในสิ่งเดียวกัน เป็นพอ

เมื่อ 18 มี.ค.58 นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธานนปช. กล่าวผ่านรายการมองไกล ทางพีซทีวี ถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เข้าจับกุมอาวุธและสัญลักษณ์ต่างๆที่เชื่อมโยงมายังกลุ่มคนเสื้อแดงได้ภายใน วัดป่าสีวลี จ.สระบุรี ว่า ประหลาดใจมาก วัดนี้ที่มีพระรูปเดียว การไปจับแล้วนำไปรวมกับอาวุธ ธง สัญลักษณ์อะไรต่างๆของนปช. ประมวลเหตุการณ์ทั้งสยามพารากอน ศาลอาญา แล้วก็มาวัดป่าสีวลี จะนำไปสู่อะไร แต่สิ่งหนึ่งความอดทนระหว่างกันเป็นเรื่องสำคัญ นายกฯประกาศเป็นประชาธิปไตยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นประชาธิปไตยมากกว่ารัฐบาลประชาธิปไตย ถ้าฝ่ายตนสวดมนต์ก็ยังกระทบกระเทือน ดังนั้นขอสื่อสารไปยังคนที่ติดตามเรื่องราวต่างๆ อะไรที่เป็นความขุ่นข้องหมองใจระหว่างกัน ควรปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา บอกมาจะให้ไปคุยที่ไหน เพราะเราต้องการรักษาบรรยากาศในบ้านเมืองเหมือนกัน นายจตุพรกล่าวว่า ได้เดินทางไป กสทช. กับพรรคพวกเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวกับทีวีคนเสื้อแดง การปิดทีวีเป็นการทำร้ายหัวใจเหมือนกัน ทำร้ายหัวใจฝ่ายเดียว ไม่ใช่คนไม่สู้คน แต่เราต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ไม่บอบช้ำกว่านี้ ทีวีบางช่องใช้ถ้อยคำยิ่งกว่าทีวีเสื้อแดง ไม่เห็นมีปัญหา แต่ก็ไม่ทราบที่ทำ ต้องการบีบบังคับให้ทำอะไร เข้าใจการทำหน้าที่ กสทช. เราก็เปิดรายการฟังความรอบด้าน เชิญแต่ละสีมาทั้งหมด แต่เชิญมาทั้งวันไม่ได้ เพราะหาคนยาก แต่พวกเราพยายามเปิดประตู คนในแม่น้ำ 5 สาย พวกเป่านกหวีดก็เชิญ เพื่อฟังความรอบด้านว่าเราไม่ได้ฟังเฉพาะพวกเราเท่านั้น แต่ถ้าความเห็นต่างซีกเดียว ไม่ได้ จากเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ถามว่า ปัญหาปัจจุบันของชาติที่หนักอยู่แล้ว แต่ละฝ่ายก็รู้ มีทุกข์อันแสนสาหัส ทำไมไม่สร้างบรรยากาศไม่ให้เลวร้าย ปิดโทรทัศน์เป็นเรื่องเล็ก แต่คนนำประเทศกลับเหมือนเดิม ไม่ใช่พวกผม การที่สังคมจะอยู่ด้วยกันได้ แต่ละฝ่ายควรจะมีที่ยืน เริ่มต้นปฏิบัติเหมือนกัน อยู่ไปอยู่มาจะเลือกปฏิบัติ หวังว่าเสียงวันนี้จะไปถึงหูผู้นำรัฐบาล เราจะอยู่ท่ามกลางปัญหาหรือต้องการแก้ไขปัญหา แสดงให้เห็นว่าโลกเป็นประชาธิปไตย นายจตุพร กล่าวอีกว่า การแสดงความเห็นโดยไม่เป็นปัญหา เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ทำไมต้องไปบีบบังคับให้คนไม่มีที่ยืน หรือบีบบังคับให้จนตรอก เราเป็นคนไทย ไม่มีใครกลัวใคร เคยประกาศเส้นทางนี้ไม่ตายก็ติดคุก ถ้าเรารักชาติบ้านเมืองมากกว่ารักตัวเอง แต่ละฝ่ายควรเปิดใจให้กว้าง คิดว่าชาติบ้านเมืองเป็นของเรา อะไรที่เกินเลย บีบคั้นหัวใจอย่าทำ ปัญหาต่างๆก็เคยเห็นมาแล้ว ที่เรียกกันว่า น้ำผึ้งหยดเดียว จากไม่มีอะไรก็กลายเป็นปัญหา ส่วนจะตัดสินใจอะไร จะไปร้องขออะไรไม่ได้ ในฐานะทำเป็นหัวแถวของคนซีกนี้ พวกผมเป็นคนมีเกียรติ ที่ต้องการสื่อสารอย่างมีเหตุผล ไม่ต้องการให้ใครมาซ้ำเติม มีเรื่องกันง่าย ต่อสู้กันไม่ยาก แต่สภาพการณ์ประเทศขนาดนี้ ต่างเห็นกันแล้วไม่ใช่หรือ ถามประชาชนว่ารู้สึกอย่างไร สิ่งที่เราได้ประจักษ์ มีความรู้สึก การแสดงความเห็นใดๆก็ตาม ได้บอกหมู่มิตรเสมอ มาจัดรายการก็ต้องระมัดระวัง อย่าสอพลอผู้มีอำนาจ อย่าทรยศประชาชน อย่างที่บอก พวกผมโชคร้าย สวดมนต์ก็ยังไม่น่าฟัง เริ่มต้นเสมอกัน แต่จะปฏิบัติกันอีกแบบ ปัญหาที่พวกท่านแก้กันก็หนักอยู่แล้ว อย่ามาเพิ่มปัญหาอีกเลย เราต้องมีสติ สมาธิ เราผ่านอะไรมามากมาย ไม่มีใครไม่เคยท้อ ไม่เคยล้ม แต่ล้มแล้วจะลุกขึ้นมายืนเร็วสุดเมื่อใด ขบวนการประชาชนล้มมาไม่รู้กี่รอบ แต่ก็ลุกขึ้นมายืนได้ เหตุการณ์วันข้างหน้าอาจหนักหนาแสนสาหัส แต่ที่ผ่านมา ถ้าเราทำใจปกติ ใช้สมอง ความรอบครอบ เชื่อว่าจะผ่านความเลวร้ายไปได้ บางฝ่ายที่ต้องการเห็นคือ เราขาดสติแล้วทำให้ขาดความรอบครอบ พวกที่คิดจะหักด้าพร้าด้วยเข่า บีบให้อีกฝ่ายไม่มีที่ยืน ภายใต้คำว่าปรองดอง อย่าลืมคนไทยรักสงบ แต่รบไม่ขลาด ไม่มีใครกลัวใคร ผมเป็นลูกผู้ชายพอ ไม่มีอะไรซับซ้อน ยืนหยัดในแนวทางต่อสู้ ไม่ใช่หน้าอย่างหลังอย่าง ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ ต้องการให้บ้านเมืองสงบ ไม่ออกไปขับเคลื่อนก็ไม่ขับเคลื่อน ปากกับใจตรงกัน เราต่างฝ่ายต้องเปิดใจให้กว้าง อย่าบีบให้คนไทยอย่างผมไม่มีที่ยืน เราเป็นคนไทย เช่นเดียวกับคนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยเหมือนกัน
๙๙๙0000000000123456789Z

เมื่อ 18 มี.ค.58 นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธานนปช. กล่าวผ่านรายการมองไกล ทางพีซทีวี ถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เข้าจับกุมอาวุธและสัญลักษณ์ต่างๆที่เชื่อมโยงมายังกลุ่มคนเสื้อแดงได้ภายใน วัดป่าสีวลี จ.สระบุรี ว่า ประหลาดใจมาก วัดนี้ที่มีพระรูปเดียว การไปจับแล้วนำไปรวมกับอาวุธ ธง สัญลักษณ์อะไรต่างๆของนปช. ประมวลเหตุการณ์ทั้งสยามพารากอน ศาลอาญา แล้วก็มาวัดป่าสีวลี
จะนำไปสู่อะไร แต่สิ่งหนึ่งความอดทนระหว่างกันเป็นเรื่องสำคัญ นายกฯประกาศเป็นประชาธิปไตยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นประชาธิปไตยมากกว่ารัฐบาลประชาธิปไตย ถ้าฝ่ายตนสวดมนต์ก็ยังกระทบกระเทือน ดังนั้นขอสื่อสารไปยังคนที่ติดตามเรื่องราวต่างๆ อะไรที่เป็นความขุ่นข้องหมองใจระหว่างกัน ควรปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา บอกมาจะให้ไปคุยที่ไหน เพราะเราต้องการรักษาบรรยากาศในบ้านเมืองเหมือนกัน
นายจตุพรกล่าวว่า ได้เดินทางไป กสทช. กับพรรคพวกเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวกับทีวีคนเสื้อแดง การปิดทีวีเป็นการทำร้ายหัวใจเหมือนกัน ทำร้ายหัวใจฝ่ายเดียว ไม่ใช่คนไม่สู้คน แต่เราต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ไม่บอบช้ำกว่านี้ ทีวีบางช่องใช้ถ้อยคำยิ่งกว่าทีวีเสื้อแดง ไม่เห็นมีปัญหา แต่ก็ไม่ทราบที่ทำ ต้องการบีบบังคับให้ทำอะไร เข้าใจการทำหน้าที่ กสทช.

เราก็เปิดรายการฟังความรอบด้าน เชิญแต่ละสีมาทั้งหมด แต่เชิญมาทั้งวันไม่ได้ เพราะหาคนยาก แต่พวกเราพยายามเปิดประตู คนในแม่น้ำ 5 สาย พวกเป่านกหวีดก็เชิญ เพื่อฟังความรอบด้านว่าเราไม่ได้ฟังเฉพาะพวกเราเท่านั้น แต่ถ้าความเห็นต่างซีกเดียว ไม่ได้ จากเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ถามว่า ปัญหาปัจจุบันของชาติที่หนักอยู่แล้ว แต่ละฝ่ายก็รู้ มีทุกข์อันแสนสาหัส

ทำไมไม่สร้างบรรยากาศไม่ให้เลวร้าย ปิดโทรทัศน์เป็นเรื่องเล็ก แต่คนนำประเทศกลับเหมือนเดิม ไม่ใช่พวกผม การที่สังคมจะอยู่ด้วยกันได้ แต่ละฝ่ายควรจะมีที่ยืน เริ่มต้นปฏิบัติเหมือนกัน อยู่ไปอยู่มาจะเลือกปฏิบัติ  หวังว่าเสียงวันนี้จะไปถึงหูผู้นำรัฐบาล เราจะอยู่ท่ามกลางปัญหาหรือต้องการแก้ไขปัญหา แสดงให้เห็นว่าโลกเป็นประชาธิปไตย

นายจตุพร กล่าวอีกว่า การแสดงความเห็นโดยไม่เป็นปัญหา เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ทำไมต้องไปบีบบังคับให้คนไม่มีที่ยืน หรือบีบบังคับให้จนตรอก เราเป็นคนไทย ไม่มีใครกลัวใคร เคยประกาศเส้นทางนี้ไม่ตายก็ติดคุก ถ้าเรารักชาติบ้านเมืองมากกว่ารักตัวเอง แต่ละฝ่ายควรเปิดใจให้กว้าง คิดว่าชาติบ้านเมืองเป็นของเรา อะไรที่เกินเลย บีบคั้นหัวใจอย่าทำ ปัญหาต่างๆก็เคยเห็นมาแล้ว ที่เรียกกันว่า น้ำผึ้งหยดเดียว จากไม่มีอะไรก็กลายเป็นปัญหา ส่วนจะตัดสินใจอะไร จะไปร้องขออะไรไม่ได้ ในฐานะทำเป็นหัวแถวของคนซีกนี้ พวกผมเป็นคนมีเกียรติ ที่ต้องการสื่อสารอย่างมีเหตุผล ไม่ต้องการให้ใครมาซ้ำเติม มีเรื่องกันง่าย ต่อสู้กันไม่ยาก แต่สภาพการณ์ประเทศขนาดนี้ ต่างเห็นกันแล้วไม่ใช่หรือ ถามประชาชนว่ารู้สึกอย่างไร สิ่งที่เราได้ประจักษ์ มีความรู้สึก การแสดงความเห็นใดๆก็ตาม ได้บอกหมู่มิตรเสมอ มาจัดรายการก็ต้องระมัดระวัง อย่าสอพลอผู้มีอำนาจ อย่าทรยศประชาชน อย่างที่บอก พวกผมโชคร้าย สวดมนต์ก็ยังไม่น่าฟัง เริ่มต้นเสมอกัน แต่จะปฏิบัติกันอีกแบบ ปัญหาที่พวกท่านแก้กันก็หนักอยู่แล้ว อย่ามาเพิ่มปัญหาอีกเลย   เราต้องมีสติ สมาธิ เราผ่านอะไรมามากมาย ไม่มีใครไม่เคยท้อ ไม่เคยล้ม แต่ล้มแล้วจะลุกขึ้นมายืนเร็วสุดเมื่อใด ขบวนการประชาชนล้มมาไม่รู้กี่รอบ แต่ก็ลุกขึ้นมายืนได้ เหตุการณ์วันข้างหน้าอาจหนักหนาแสนสาหัส แต่ที่ผ่านมา ถ้าเราทำใจปกติ ใช้สมอง ความรอบครอบ เชื่อว่าจะผ่านความเลวร้ายไปได้ บางฝ่ายที่ต้องการเห็นคือ เราขาดสติแล้วทำให้ขาดความรอบครอบ พวกที่คิดจะหักด้าพร้าด้วยเข่า บีบให้อีกฝ่ายไม่มีที่ยืน ภายใต้คำว่าปรองดอง อย่าลืมคนไทยรักสงบ แต่รบไม่ขลาด ไม่มีใครกลัวใคร ผมเป็นลูกผู้ชายพอ ไม่มีอะไรซับซ้อน ยืนหยัดในแนวทางต่อสู้ ไม่ใช่หน้าอย่างหลังอย่าง ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ ต้องการให้บ้านเมืองสงบ ไม่ออกไปขับเคลื่อนก็ไม่ขับเคลื่อน ปากกับใจตรงกัน เราต่างฝ่ายต้องเปิดใจให้กว้าง อย่าบีบให้คนไทยอย่างผมไม่มีที่ยืน เราเป็นคนไทย เช่นเดียวกับคนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยเหมือนกัน

รัฐธรรมนูญ หลักคุณธรรมที่ต้องเคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน สำคัญไฉน ? โดย จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการองค์การเสรีไทยฯ

รัฐธรรมนูญ หลักคุณธรรมที่ต้องเคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน สำคัญไฉน ?
 
จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการองค์การเสรีไทยฯ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวชาวฝรั่งเศส

รัฐธรรมนูญ  คือ กฎหมายสูงสุด  เป็นกติกาใช้ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง  ในการบริหารประเทศชาติ  และเกี่ยวข้องกับประชาชนทุกคนในประเทศ  ดังนั้นตามหลักการประชาธิปไตย  ต้องให้ประชาชนผู้ถูกปกครอง ได้เลือกตั้งผู้แทนของเขาด้วยเสียงข้างมาก  เข้ามาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ  จึงจะถูกต้อง เมื่อร่างเสร็จ ก็จะต้องนำมาทำประชาพิจารณ์  ลงมติอีกครั้งหนึ่ง ให้รับรองด้วยเสียงข้างมากก่อนจะประกาศใช้บังคับได้  เป็นไปตามกติกาสากลที่ทั่วโลกใช้กัน

การที่คสช. ตั้งคนของตนมายกร่าง  ซึ่งไม่ใช่ผู้แทนของประชาชนทั้งประเทศ รัฐธรรมนูญนั้นก็ผิดกติกาสากลมาแต่แรกแล้ว จึงไม่ต้องดูเนื้อหาในการยกร่างใดๆทั้งสิ้น เพราะมีเจตนาจะกดขี่ประชาชนโดยอำนาจเผด็จการ
 
“ต้นไม้มีพิษ ผลไม้ลูกของมัน  ก็ย่อมมีพิษภัยแน่นอน”
 
แนวคิดของหลักนิติธรรม “กฎบัตรแมกนาคาต้า” เป็นข้อตกลงตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 13 ระหว่างกษัตริย์อังกฤษกับเหล่าขุนนาง  ที่ยังคงหลักนิติธรรมมาจนถึงปัจจุบัน  สำหรับหลักการเสรีภาพ  การแสดงความคิดเห็น  อันเป็นรากฐานของสังคมที่เจริญและเที่ยงธรรม

ในปัจจุบัน  ทั่วโลกได้ใช้หลักนิติธรรมกันมาโดยตลอด ซึ่งทำให้มีการเปิดเสรีภาพทางความคิด  และทำให้คนได้มีส่วนร่วม  สร้างเศรษฐกิจโดยใช้ฐานความรู้ (Knowledge base) มาสร้างความเจริญให้มนุษยชาติ เคารพในความคิดริเริ่ม ในการคิดค้นสิ่งแปลกใหม่  ที่เป็นประโยชน์สูงสุด เป็นยุคของการขายสิทธิทางปัญญา อันมีมูลค่าสูง  ยิ่งกว่าทรัพยากรธรรมชาติ
สำหรับเสรีภาพในการแสดงออกก็เช่นกัน  ยอมให้มีการชุมนุมโดยสงบและเปิดเผย  เสรีภาพในการแสดงออก  และการชุมนุมโดยสงบ  และเปิดเผยจึงเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องเคารพ ยอมรับ  และนำไปทบทวน  ปรับปรุง ซึ่งสรุปว่า คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

หากปราศจากสิทธิ์เหล่านี้แล้ว ย่อมไม่สามารถทำให้รัฐบาล  ผู้ปกครองมีความรับผิดชอบได้เพียงพอ   อันเป็นสาเหตุทำให้  ประเทศต้องดำดิ่งลงไปสู่การเล่นพรรคเล่นพวก และฉ้อราษฏร์บังหลวงได้ จนเป็นเหตุให้ชาติพินาศล่มจม เพราะขาดหลักคุณธรรม  ที่เคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
 
ทั่วโลก  จึงให้ความสำคัญของการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานนี้
 
 
                              จารุพงศ์  เรืองสุวรรณ
เลขาธิการองค์การเสรีไทย เพื่อสิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย

คุณแอนตี้ ชี้แผนบึ้มโดยทหาร เล่ห์ปตท. และการขายชาติแก่จีน โดยรัฐบาลเผด็จการทหารเพื่อราชาธิปไตย

http://www.mediafire.com/view/vbyq4i63911ytxg/Anti%20WAKE%20UP%20ALL%20THAIS%20ประจำวันที่%2018-03-58.mp3

ไม่ได้ฟังพี่แอนตี้ซะนาน วันนี้ได้ฟัง แล้วเห็นมีข้อมูลที่น่าสนใจสองสามเรื่อง (ตามหัวข้อ) แนะนำให้ฟังนะครับ จะได้โยงเข้ากับสิ่งที่อ.สุรชัยและอ.ชูพงศ์ ได้นำเสนอในทำนองเดียวกัน

เพลงโฉมหน้าศักดินา โดยวงไฟเย็น (เครดิต กงจักร ปีศาจ)







 อีกเพลงหนึ่ง ที่สะท้อนภารกิจแห่งยุคของคนไทย ที่รักความก้าวหน้า







คณะการปฏิรูปแห่งชาติ ถูกประจานสันดานขี้ฉ้อ... รายชื่อผู้แต่งตั้งลูกเมียและเครือญาติรับเงินหน้าด้าน ๆ

ในกรณีการตั้งครือญาติมาช่วยงาน หลังสนช.มีมติให้ปรับเปลี่ยนออกทั้งหมด จึงใช้แนวทางเดียวกับสนช. มีมติให้สมาชิกสปช. ปรับเปลี่ยนผู้ช่วยลักษณะดังกล่าวออกทั้งหมด เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมคณะกรรมมการบริหานข้อมูลข่าวสาร กำลังรวบรวมค่าใช้จ่าย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เวลา 2-3 เดือน เมื่อรวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้นแล้ว เป็นสิทธิที่คณะกรรมการชุดดังกล่าว โดยทางสปช.ยินดีเพื่อความโปร่งใส และในส่วนของกระบวนการตามมติให้ผู่ช่วยลาออก จะแจ้งให้สมาชิกทราบต่อไป เป็นเพียงมติให้ปรับเปลี่ยนผู้ช่วย เป็นข้อเเนะนำ บอกกล่าว โดยเชื่อสมาชิกปฏิบัติจะตามและไม่มีเสียงขัดแย้งในมตินี้ 

ทั้งนี้ นายวันชัยแจงกรณีนำบุตรสาวช่วยงานว่า ตนเองนั้นไม่ถนัดด้านภาษาอังกฤษในการอ่านเอกสารการปฏิรูป แต่บุตรสาวมีความสามารถ เลยตั้งมาช่วยงาน อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับมติ และจะให้บุตรสาวลาออกในวันพรุ่งนี้ 

สำหรับสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติที่ได้แต่งตั้งเครือญาติเข้ารับตำแหน่ง โดยเป็นการเปิดเผยของสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มีรายชื่อดังนี้ 

1. นายกิตติภณ ทุ่งกลาง แต่งตั้ง นางสาวภัสสร ทุ่งกลาง เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน15,000 บาท 

2. นางกูไชหม๊ะวันชาฟีหน๊ะ มนูญทวี แต่งตั้ง นายอาบีดีน มนูญทวี เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท

3. นายจรัส สุทธิกุลบุตร แต่งตั้ง นายณรงค์ชัย สุทธิกุลบุตร เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท 

4. นายเจริญศักดิ์ ศาลากิจ แต่งตั้ง นายพิสุทธิ์ ศาลากิจ เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท

5. นายทิวา การกระสัง แต่งตั้ง นายสกนธ์ การกระสัง เป็นผู้ช่วยดำเนินงาน รับเงินเดือน 15,000 บาท 

6. นายธีรศักดิ์ พานิชวิทย์ แต่งตั้ง นายณัฐชนน พานิชวิทย์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท  
7. พล.อ.อ. มนัส รูปขจร แต่งตั้ง นายวัชรเดช รูปขจร เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน รับเงินเดือน 15,000 บาท 

8. นายวันชัย สอนศิริ แต่งตั้ง นางสาวฉัตรทิพย์ สอนศิริ เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท

9. นายสยุมพร ลิ่มไทย แต่งตั้ง นายอิศร์ ลิ่มไทย เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท

10. นายสุวัช สิงหพันธุ์ แต่งตั้ง พันตรีหญิง ธัญนุช สิงหพันธุ์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท

11. นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ แต่งตั้ง น.ส.พนิดา สอนหลักทรัพย์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท

12. นางอุบล หลิมสกุล แต่งตั้ง นางสาวพนมดา หลิมสกุล เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท

ขอบคุณข้อมูลจากมติชนออนไลน์

ชำแหละประยุทธ์ โดยสาวสวยวัยใสจากต่างแดน น้องวิว แต่ละประเด็น คม ชัด กระชับ และเข้าปลายคางทุกดอก





น้องวิว พูดภาษาร่วมสมัย ไม่หยาบคายจนน่าเกลียด และแต่ละประเด็น คม ชัด กระชับ และเข้าปลายคางทุกดอก  กระจกบานนี้ สวย ให้ภาพสะท้อนคมชัด ตรงตามความจริง  ทั่นผู้นำ... จำเอาไว้ คนไทยไม่โง่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว และท่านจะไม่สามารถครอบงำคนยุคปัจจุบัน ที่ไม่เลือกสีเสื้อ เขามองเห็น มองออก รู้ทัน ฯลฯ 

จุดจบของเผด็จการไทย... คงพอเดาออกนะครับ

UPDATE!! รู้สึกว่า น้องจะปิดหรือลบโพสต์วิดีโอนี้ไปแล้วนะครับ
เราต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคลของเธอ...
นี่แหละสังคมเผด็จการ ขนาดอยู่เมืองนอก พูดเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
ยังโดนบีบคั้นได้  เรียกว่าส่งออกความน่ากลัวข้ามทวีปกันเลยทีเดียว!!!




Post by Dinsosee Kampat.







ล่าสุดมีคนนำคลิปไปอัพขึ้นที่เพจนี้... https://www.facebook.com/video.php?v=1113418675350181&fref=nf




นักกฎหมายนานาชาติ ยัน การใช้กฎอัยการศึก ผิดสนธิสัญญาสากล และเข้าข่ายละเมิด "Crimes Against Humanity และ Crimes Against Peace"

อาจารย์ธนบูรณ์​ จิรานุวัฒน์ นักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญด้าน International Law เตือนผู้ใช้อำนาจนประเทศไทย ว่าอย่าย่ามใจใช้อำนาจจนละเมิดหลักสนธิสัญญาสากล จนอาจจะถูกตั้งข้อกล่าวหา Crimes against Humanity/Peace.



จากสภาปกป้องประชาธิปไตย เรื่องศาลทหารของไทย กับพลเรือนไทย เมื่อกระทำการฝ่าฝืนกฏอัยการศึก ที่เป็นกฏหมาย ที่ขัด หรือ แย้ง กับ the Geneva Conventions,1949 ที่ไทยเป็นรัฐคู่ภาคี กับ สนธิสัญญานี้ จึงเป็นการที่ไทย ใช้การกระทำฝ่ายเดียว (Unilateral Action) ที่จะไปแก้ไข เพิ่มเติม พันธกรณีของตน ที่มีอยู่กับนานาชาติ ในสนธิสัญญาพหุภาคี ไทยทำได้โดยชอบหรือ?
ต่อจากนี้ คือ ข้อเตือนใจจากผมในฐานะ ที่เป็นนักกฏหมาย " ที่ประชาชน ไม่ต้องขึ้นศาลทหาร เพราะ ศาลทหารของไทย ไม่มี Uniform code of Martial Law และไม่มี Manual of Martial Court ที่ได้พํฒนารุดหน้าไปแล้ว ภายใต้กฏเกณฑ์ของ the Geneva Conventions, 1949 ในประเทศ ที่พัฒนาแล้ว
สนธิสัญญานี้ประเทศไทย ได้ไปประกาศเข้าร่วมเป็น รัฐคู่ภาคีสมาชิกของสนธิสัญญา เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ปีค.ศ.๑๙๕๔ หรือปีพ.ศ.๒๔๙๗ ที่ประเทศไทย มีพันธกรณีต่อนานาชาติ ที่ต้องปฏิบัติ.....
สนธิสัญญานี้ซ่อนเรื่อง การต้องจัดการกองทัพแผนใหม่ ไม่ให้พํฒนากลับไปเป็นเช่น กองทัพนาซีเยอรมัน ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะระเบิดเกิดขึ้น แต่ไทยก็ไม่ปฏิบัติตาม ซ้ำร้ายวันนี้ the Geneva Conventions, 1949 กลายร่างเป็น Customary Rules of International Law ตามข้อบัญญัติ ของสมัชชาใหญ่ และ คณะมนตรีความมั่นคง ขององค์การสหประชาชาติ
จึงเกิดผลบังคับทันที ตามกฏหมายทั่วโลก ไม่ว่าประเทศนั้นจะได้ลงนาม และให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญานี้หรือไม่? ก็ไม่สำคัญ

ศาลทหารไทย ไม่ตระหนักในเรื่องเหล่านี้ หากมีชาติภาคีสมาชิก ชาติใดชาติหนึ่งในสหประชาชาติ ยกเป็นประเด็นขึ้น ถกในสมัชชาใหญ่ องค์การสหประชาชาติ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตทันที ในองค์การสหประชาชาติ
ผมจึงอยากขอเตือน ท่านผู้ใหญ่ทั้งหลาย ที่คิดว่า ท่านกุมอำนาจรัฐไว้ในมือ และนำไปใช้อย่างมันมือนั้น ท่านต้องรู้จักกับ วลีที่ว่า "Crimes Against Humanity และ Crimes Against Peace" ให้ดีๆ และอย่างขึ้นใจ วลีในสองวลีนี้ จะนำ Jack Pot มาให้ท่านทั้งหลาย โดยท่านคาดคิดไม่ทัน
หากท่าน ยังคงใช้อำนาจศาลทหารอยู่ อย่างมันมือ ผมจึงขอตือนสติท่านไว้ ท่านไม่ต้องเชื่อผมในทันที ท่านมีลูกน้อง ที่ท่านใช้สอยอยู่ ท่านอาจไปดาวน์โหลดเรื่องเหล่านี้ มาศึกษาได้จากเว็บไซด์  ของICRC.org ครับ
แล้วท่าน ต้องประกาศเลิกใช้ไปเอง พร้อมกับกฏอัยการศึก ที่ท่านประกาศใช้ นี่เป็นอีกครั้ง ที่ผมต้องเตือนมายังทุกๆท่าน ด้วยความหวังดี และอย่างจริงใจ บริสุทธิ์ใจครับ.

ความหวังที่จะใช้อำนาจอุบาทว์แบบไทย ๆ ไปดำเนินคดีกับคนอเมริกัน

ยกบทความสั้น ๆ จากอาจารย์ธนบูลย์ ครับ... เห็นว่ามีประโยชน์กับพี่น้องทุกฝ่าย อ่านประดับปัญญาไว้นะครับ




ว่าด้วยเรื่องที่ทางราชการไทย จะนำสำนวนการสอบสวนในประเทศไทย พร้อมหมายจับ ไปขอความร่วมมือจากทางการสหรัฐอเมริกา เพื่อจับตัวผู้ร่วมกระทำความผิดในฐานะผู้จ้างวาน หรือ ผู้ใช้ ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย

นี่ไม่ได้ต่อต้านท่านผู้มีอำนาจ ที่มีอำนาจบริหาร(เถื่อน) อยู่ในมือ ในระบบกฏหมายสหรัฐอเมริกา ไม่เหมือนบ้านเรา ต่างกันไกลลิบลับ ไม่ใช่สำนวนสอบสวน ที่พวกคุณทำขึ้นชนิด ที่ขัดหรือแย้ง กับคำพิพากษาของ Supeme Court ของสหรัฐอเมริกา {ศาลรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ} ที่วางหลัเกณฑ์ ไว้ในคดีที่ชื่อว่า Ecobedo v. Illinois 378 U.S. 478 (1964) และคดีที่ดังลั่นไปทั้งโลก คือ Miranda v. Arizona 384 U.S. 436 (1966)  ที่วางหลักเกณฑ์เอาไว้ว่าในการสอบปากคำผู้ต้องหา หรือ จำเลย จะต้องมีทนายจำเลย นั่งอยู่ต่อหน้าคนสอบปากคำตลอดเวลา เพื่อให้เป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา

ก่อนลงมือสอบปากคำ ผู้สอบปากคำ ต้องเตือนสติจำเลยว่า "คุณมีสิทธิที่จะไม่ตอบคำถาม ผู้สอบปากคำ และมีสิทธิที่จะนิ่งเฉยเสีย" ดังที่ปรากฏข้อความในภาษาอังกฤษว่า " ํ You are entitled to remain silent..."
และห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานตัดการคมนาคมทุกชนิด ระหว่างตัวจำเลย หรือ ผู้ถูกกล่าวหา กับญาติมิตรของเขา หรือคนที่เขาคบหาสมาคมด้วย หรือ In comicado)

ทั้งสามหลักการ ที่ผมได้บรรยายมาให้ทราบนั้น เป็นการค้ำประกันแก่จำเลย หรือผู้ต้องหาว่า คำให้การที่จำเลย หรือผู้ต้องหา ที่ได้ให้ไปกับเจ้าหน้าที่ผู้สอบปากคำเขา ได้กระทำไปโดยจำเลย หรือผู้ต้องหาในคดีอาญา มิได้ให้การปรักปรำตนเอง เป็นเหตุให้ตน ต้องคดีอาญา

เป็นการค้ำประกันสิทธิแก่พลเมืองโดยทั่วไป ไม่จำกัดเชื้อชาติ และสีผิว ฯลฯ ทั้งนี้คำพิพากษาของศาล Supreme Court ของสหรัฐในลำดับหลัง เป็นหลักเกณฑ์ใหญ่ในการดำเนินคดีอาญาฯ

ที่ประเทศไทยเอง เคยไปยืมหลักเกณฑ์นี้มาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของไทย ปี พ.ศ. ๒๕๔๐..ฯ
และหลักเกณฑ์ที่ว่านี้ก็ไปปรากฏอยู่ใน(สนธิสัญญาหลายฝ่าย) กติการะหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิพลเมือง และสิทธิในทางการเมือง ปีค.ศ.๑๙๖๖ ที่ประเทศไทย ไปประกาศเข้าร่วมเป็นรัฐคู่ภาคีของสนธิสัญญานี้ ในปีพ.ศ.๒๕๓๙ และ ต้องให้สัตยาบันด้วยแก่สนธิสัญญาฉบับนี้ สนธิสัญญานี้ มีผลบังคับประเทศไทยในวันที่ ๑ มกราคม ปีพ.ศ.๒๕๔๐

ต้องถามตรงนี้ว่า คุณส่งสำนวนสอบสวนในคดีเรื่องนี้ไปยังกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่จัดว่า เป็นกระทรวงกองทัพนักกฏหมาย เขาจะยอมทำตามที่คุณร้องขอไปหรือไม่? ในการออกหมายจับคน ที่คุณอ้างว่า "เป็นผู้ร่วมการกระทำความผิดด้วยในฐานะ ผู้จ้างวาน หรือ ผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดได้แน่หรือ?

ในเมื่อสำนวนการสอบสวนจำเลยทั้งหมดในคดีนี้ ได้จัดทำไป ขัดกับหลักกฏหมายของเขาโดยสิ้นเชิง กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา จะทำให้ไทยได้ ๒ ประการสำคัญ คือ 

๑. เชิญผู้แทนกระทรวงต่างประเทศของไทย คือฑูตไทย ไปรับสำนวนการสอบสวนคืน

หรือ 

๒. หากฝ่ายไทยยังดึงดัน จะให้เขารับสำนวนการสอบสวน พร้อมหมายจับตัวผู้ร่วมกระทำผิด ถ้าคนผู้นั้น มีสัญชาติอเมริกัน เขาก็ไม่ดำเนินการให้ ถ้ายังมีสัญชาติไทยอยู่ พร้อมด้วยสัญชาติสหรัฐอเมริกา ที่เรียกว่า "Dual Nationality"  เขาก็จะใช้สิทธิตรงนี้ เรียกผู้แทนฝ่ายไทย พร้อมฑูตไทยไปยังกระทรวงต่างประเทศ ของสหรัฐอเมริกา พร้อมถามว่า "คุณจะรับสำนวนการสอบสวนของคุณกลับไปดีๆ หรือไม่" หากฝ่ายไทยยังคงยืนยันคำเดิม
เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ก็จะเชิญฝ่ายไทย ออกมาที่หน้ากระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับบอกว่า "คุณรอรับสำนวนการสอบสวนของฝ่ายคุณอยู่ตรงนี้" ว่าแล้ว ก็ขว้างสำนวนการสอบสวน พร้อมหมายจับตัวผู้กระทำความผิด ออกมาจากกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา

เอวัง ก็มีด้วยประการ ฉะนี้