ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Monday, September 21, 2015

มะเร็ง..หยุดได้ถ้าใจสู้.้

มะเร็ง..หยุดได้ถ้าใจสู้.้

ท่านผู้นี้ชื่อจริงไชยวรรณ พิมพนิช คนส่วนมากเรียกติดปากว่าพ่อเลี้ยงวรรณ เป็นคนแม่สอดจ.ตาก ปัจจุบันอายุก็หกสิบกว่าแล้ว ปกติจะเป็นคนชอบออกกำลังกาย สุขภาพก็แข็งแรงดี เพื่อนๆหรือคนรู้จักจะชมว่าทำไมอายุมากขนาดนี้ถึงแข็งแรงเดินเหินได้สบาย

อยู่มาไม่นานเกิดอาการปวดที่หลังและไม่หายประมาณ 2 เดือนกว่า รักษาหลายวิธีทั้งแช่น้ำอุ่นและให้หมอนวด ก็ไม่หาย วันหนึ่งไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯเพื่อนเป็นหมอ อาตมาเล่า(ขณะที่เล่า..บวชแล้ว)
ให้เพื่อนฟังว่าปวดหลังมา สองเดือนกว่าแล้วไม่หายสักที เพื่อนก็นิ่งแล้วมองหน้าไม่พูดอะไร สักพักเพื่อนก็พูดขึ้นมาว่าเอกซเรย์หน่อยดีไหม เพราะคนปกติปวดธรรมดาทั่วๆไป กล้ามเนื้ออักเสบเอ็นพลิก ใช้เวลาประมาณ 3 อาทิตย์ก็หายแล้ว แต่พ่อเลี้ยงวรรณ ปวดจากหลังลามมาถึงหน้าอก 2 เดือนแล้วไม่หายต้องเอกซเรย์หน่อย

พอเอกซ์เรย์เสร็จ ก็เห็นว่ามันมีรอยจุดด่างๆอยู่ 2 จุด หมอบอกว่ายังไม่แน่ใจนะต้องเข้าเครื่องสะแกน 
สะแกน 1 ชั่วโมง ก็ยังไม่ทราบผล พอออกมาจากเครื่องสะแกนก็กลับบ้าน หมอบอกว่า 10 โมงเช้าพรุ่งนี้ค่อยมาฟังผล เพราะ
ฟิมล์ผลตรวจจะออกมาวันพรุ่งนี้

รุ่งขึ้น 10 โมงเช้าก็ไปโรงพยาบาล มีหมอ 4-5 คนอยู่ในห้องคุณหมอที่เป็นเพื่อนสนิทกันพูดขึ้นมาว่า ไม่น่าจะเกิดกับเพื่อนเราเลย อีกประมาณ 20 นาทีก็ให้หมอผู้หญิง ที่เป็นหมออายุรกรรมมาบอกว่า พ่อเลี้ยงวรรณ ต้อง ( ATMID) แอดมิด แล้วละ หมายถึงต้องนอนที่โรงพยาบาล

ตกลงวันนั้นก็ต้องนอนโรงพยาบาล หมอก็เอาเลือดไปตรวจเข้าเครื่องอัลตร้าซาวด์ ตรวจคลื่นหัวใจ วันนั้นผลเลือด หมอส่วนใหญ่ก็จะรู้แล้วว่าเป็นมะเร็ง เพราะว่า PHA ค่าของเลือดอยู่ที่ 300.800 สำหรับคนปกติ จะอยู่ที่ 000.000-4.0000 ถัดไปประมาณ 2-3 วันหมอก็ตัดเนื้อเยื่อไปตรวจ แล้วลงมติว่าเป็นมะเร็ง

หลังจากทราบผลว่าเป็นมะเร็งที่กระดูกสันหลังขั้นสุดท้าย ก็ตกใจช็อกไปประมาณ 20 นาที 20 นาทีที่บอกไม่ถูก เป็น 20 นาทีที่ทรมานมาก ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตดี ความดันก็ขึ้นไป 180 จากปกติ 110

ถึงขั้นสุดท้ายแล้วจะทำยังไงดี หมอบอกว่าต้องให้คีโม 
( เคมีบำบัด ) ต้องฉายแสง ต้องฝังแร่ ก็เลยถามกลับไปว่า ถ้าฝังแร่แล้วอยู่ได้นานเท่าไหร่ หมอบอกว่าอยู่ได้ปีหนึ่งไม่รับรองมากกว่านี้ พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่อเมริกา เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง เขาบอกให้ไปที่นั่น เขาจะดูแลให้ ก็ถามเขาว่าไปแล้วจะให้ไปทำอะไร เขาบอกให้ไปฝังแร่ ผมก็ไม่ไป ยังไงหนึ่งปีก็ตายอยู่แล้วจะไปทำไมให้เสียเงิน

@ ตัดสินใจบวชหนีโรคร้าย @

ตัดสินใจเข้าวัดปฏิบัติธรรมอยู่ 1 อาทิตย์ ก็เลยนั่งคิดต่อว่าถ้าอยู่แต่ที่วัดจะรอดไหม น่าจะสู้กับมัน จะต้องสู้ให้ได้ จะต้องชนะ ชีวิตเกิดมาเพียงแค่ชีวิตเดียวอยู่ๆจะมายอมตายง่ายๆได้อย่างไร

ผมคิดขึ้นมาได้ว่ากษัตริย์สีหนุ ท่านเคยเป็นมะเร็ง เมื่ออายุ 40 กว่าปีก่อนไปรักษาที่ต่างประเทศเวลานี้อายุตั้ง 90 ปียังมีชีวิตอยู่ คิดถึงตรงนี้ เลยโทรศัพท์หาน้องที่เป็นกงสุลใหญ่อยู่ต่างประเทศ ตรวจสอบข้อมูลทราบว่าที่ประเทศที่สาม
( เกาหลีเหนือ ) มีสถานที่บำบัดมะเร็งจริงแต่การเดินทางไปลำบากมาก

@ หนีความตายไปประเทศที่สาม @

มะเร็งระยะสุดท้าย ฟังแล้วน่ากลัวจริงๆ หนทางรอดแทบไม่มี จึงตัดสินใจทำพินัยกรรมให้ลูกๆแล้วรวบรวมเงินทองที่หามาได้ตลอดชีวิตเดินทางไปประเทศที่สามเผชิญความตายด้วยใจสงบ ถ้าโชคดีคงได้กลับมาอีกมันเป็นภาวะจนตรอกที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ถึงแม้ชีวิตของคนเราจะเกิดมาแล้วต้องตายกันทุกคน แต่ถึงวินาทีนั้นคนเราต่างก็กลัวความตายโดยสัญชาตญาณ อยากจะยืดชีวิตต่อลมหายใจออกไปอีก

นั่งเครื่องบินไปลงที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วจึงนั่งรถยนต์ไปอีก 8 ชั่วโมง แทบเอาตัวไม่รอดสุดทรมานโดยเฉพาะช่วงที่นั่งบนเครื่องบิน นั่งพิงเบาะไม่ได้ ปวดหลังอึดอัดทรมานมากนั่งเอามือเกาะเบาะด้านหน้าร้องโอดครวญตลอดการเดินทาง น้ำตาลูกผู้ชายมันหยดไหลอย่างไม่รู้ตัว นึกในใจว่าการเดินทางครั้งนี้คงไม่ได้กลับเมืองไทยอีกแล้ว ยิ่งช่วงการเดินทางโดยรถยนต์ไปยังประเทศที่สาม ลำบากมากทั้งเจ็บปวดสุดทรมานตลอดการเดินทาง 8 ชั่วโมงเต็ม

ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแต่เป็นศูนย์บำบัดตั้งอยู่บนเขา ผู้ที่มาบำบัดรักษาส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป อเมริกา อาหรับ ญี่ปุ่น คนไทยมีอาตมาเพียงคนเดียว เน้นการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด ใช้แสงตะวัน ใช้สายน้ำ ใช้หิมะ อาหารทุกอย่างต้องสด

คนป่วย 1 คน จะมีพยาบาลประจำตัว 1 คนดูแลเราอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่เช้า 05.00-20.00 น.ไปไหนไปด้วยกันนอนด้วยกัน ดูแลทุกย่างก้าว เข้าห้องน้ำก็ไปนั่งเฝ้า เป็นพี่เลี้ยงตลอด อาบน้ำก็ไปดูว่าน้ำได้อุณหภูมิไหม อุ่นพอไหมเย็นพอไหม อาหารการกินก็กินโอสถ เน้นธรรมชาติล้วนๆ อยู่ที่นี่ยาสักเม็ดก็ไม่มี

ศูนย์ธรรมชาติบำบัดแห่งนี้ จะมีคอร์สบำบัดรักษา 30 วัน 60 วัน และ 90 วัน ของผม 30 วันอาการก็ดีขึ้นมาก ผิดกับตอนที่มาใหม่ๆ เจ็บปวดจนทนไม่ไหว คนที่มาที่นี่ป่วยเป็นมะเร็งทุกชนิดบางคนปฏิบัติตัวได้ตามที่เขาให้ทำให้กินก็ประสบความสำเร็จ

ในแต่ละวันตื่นเช้าขึ้นมาประมาณ 05.00น.ก็จะเอาน้ำโอสถมาให้ดื่ม 1 ลิตร รสชาดจืดชืดสีเขียวเข้ม เวลาประมาณ 06.30น. ก็จะพาไปเดินออกกำลังกาย แล้วพาไปรับแสงตะวัน เรียกว่าแสงตะวันบำบัด นั่งรถประมาณชั่วโมงครึ่ง ไปกลับวันละ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะพาเดินบนหิมะประมาณ 1 ชั่วโมงทุกวัน เสร็จแล้วมาประคบน้ำอุ่นที่ฝ่าเท้า ถามเขาว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ เขาบอกว่าเพื่อสร้างภูมิภูมิต้านทานขึ้นมา บางคนก็ทำไม่ได้ ทำได้ประมาณ 20-30 % แต่ของอาตมาอาศัยเป็นนักกีฬาเก่า วันแรกก็ไม่ไหวเหมือนกันเย็นจัด วันที่สองวันที่สามก็เริ่มทำได้ และทำได้มาตลอด พอทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีขึ้น ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ

สำหรับโอสถสีเขียวเข้มจะดื่มช่วงเช้า 1 ลิตร บ่าย 1 ลิตร ตอนเย็นอีก 1 ลิตร และก่อนนอนอีก 1 ลิตร วันหนึ่งจะดื่มโอสถวันละ 4 ลิตร น้ำนี้น่าจะเข้าไปช่วยกำจัดอาจจะเป็นน้ำที่เชื้อมะเร็งไม่ชอบ เอาไปล้างพิษในร่างกายออกมา
เพราะเรากินเข้าไปวันละตั้ง 4 ลิตรก็ต้องมีการถ่ายเทออกมา แต่เป็นเรื่องที่แปลกนะ เวลาเรากินน้ำกินยาแคปซูลอะไรก็แล้วแต่ เวลาเราปัสสาวะออกมาจะเป็นสีเหลือง แต่เวลาเราดื่มโอสถพวกนี้เวลาปัสสาวะออกมาก็ยังใส แสดงว่ามันเอาไปใช้หมด เป็นเรื่องที่แปลก ใสกว่าปกติด้วยซ้ำไป

ช่วงไปอยู่ทีนั่นใหม่ๆนอนหงายไม่ได้ มันปวดหลังมากต้องนอนคว่ำเหมือนจระเข้ หลังมันปวดร้าวไปหมดเพราะถูกมะเร็งทำลายไปเยอะรวมไปถึงหัวเข่าด้านซ้ายด้วย เวลานั่งหลังก็พิงไม่ได้

เรื่องอาหารการกิน เขาจะให้ทานข้าวบาร์เลย์ กับข้าวก็เป็นกับข้าวพื้นๆไม่มีอะไรมากมายเน้นผักเป็นส่วนใหญ่ ผักที่นี่เขาปลูกเอง ปลูกในกระโจม ปรับอุณหภูมิและไร้สารพิษ ดินที่ใช้ปลูกเปลี่ยนทุก 3 เดือน

เขาบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดล้วนๆแต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก ค่าใช้จ่ายต่อวันเขาคิด 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ ผมอยู่ที่นี่ 30 วัน ปฏิบัตตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดมีระเบียบวินัย ถึงเวลาออกกำลังกายก็ต้องออก พักผ่อนก็ต้องพักผ่อน ถึงเวลากินก็ต้องกิน มั่นใจว่าดีขึ้นแน่ อาการป่วยของผมดีขึ้นตามลำดับ เพียง 10 วันแรกเราจะสัมผัสได้เลยว่าเรามาถูกทางแล้วอาการปวดเริ่มลดลงๆ ร่างกายแข็งแรงขึ้น ผิดกับวันแรกๆที่นอนร้องโอดโอยตลอดเวลา พอร่างกายแข็งแรงก็ขยับตัวเองไปเป็นพี่เลี้ยงช่วยคนอื่นต่อ ก็คิดว่าเราน่าจะนำวิชาความรู้เหล่านี้ไปช่วยเหลือเพื่อนคนไทยที่ต้องทุกข์ทรมานกับมะเร็งร้าย ถ้าจะให้ดีต้องบุกครัวเข้าไปช่วยในครัวจะได้จดจำโอสถยาให้ได้ แต่โชคร้ายเขาไม่อนุญาต

ผมจึงตัดสินใจว่าไหนๆก็เดินทางมาถึงที่สุดของชีวิตแล้ว จึงทรุดตัวลงคุกเข่าก้มกราบเขาจนกระทั่งเขาสงสาร จึงอนุญาตให้เข้าไปช่วยในครัว

ผมรู้สึกร่างกายเราแข็งแรงแล้วเราไม่ตายแล้ว คิดถึงบ้านก็เลยขอกลับ เขาก็มาตรวจร่างกาย เขาบอกร่างกายแข็งแรงดีเขาก็ให้กลับ

ระหว่างนั่งอยู่บนเครื่องบินก็คิดว่าเราน่าจะกลับไปช่วยคนที่เป็นมะเร็งได้ เพราะคนที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง
ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งตรงไหนก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่ 90 % จิตใจมันตายแล้ว มันเหลือแค่ 10 % เท่านั้นในร่างกาย จะมีสักกี่คนที่ใจสู้แล้วยอมหาวิธีรักษาตนเอง มีน้อยมาก ผมตั้งใจว่าถ้ากลับถึงเมืองไทยจะช่วยคนที่เป็นมะเร็ง ถึงช่วยได้ไม่ถึง 100 % ช่วยได้ 50 % ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้ว

หลังจากกลับจากต่างประเทศแล้วก็ไปตรวจร่างกายตรวจเลือดที่โรงพยาบาลที่เคยตรวจ ผลเลือดที่เรียกว่า PHA ( ช่วงที่ป่วยก่อนรักษาอยู่ที่ 311.800) หมอใช้เวลาตรวจ 6 ชั่วโมง วัดได้ 5.090 ต่อมาวันที่ 28 พฤษภาคม 2550 ไปตรวจอีกครั้งวัดได้ 0.268 หมอไม่แน่ใจส่งเลือดไปให้โรงพยาบาลอีก 2 แห่งตรวจอีก ผลการตรวจออกมาตรงกันหมด ถือว่าเยี่ยมแล้ว คนปกติทั่วไปที่ไม่มีเชื้อมะเร็ง จะอยู่ที่ 0.000-4.000 ของเราเลือดดีกว่าคนปกติอีก
หมอถามว่าไปทำอะไรมา อาตมาบอกไปรักษามา อาตมาไม่ยอมตาย คิดว่ามะเร็งยังหลบอยู่ในตัวเรา แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน เราก็ไม่ชะล่าใจ มะเร็งเกิดจากภูมิบกพร่องของชีวิต มันต้องการอาหาร อาหารโปรดของมันคือ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ทุกชนิด ซึ่งเราก็ไม่ให้มันกินเลย
มะเร็งถ้าเราไม่ให้อาหารมัน มันก็จะฝ่อ และอ่อนแรง เราไม่ให้กินนานๆเข้ามันก็จะตายในที่สุด บ้านเราผู้ป่วยใหม่ที่เป็นมะเร็งมี 284 คน/วัน ตายชั่วโมงละ 11 คน เราต้องมาปรับเปลี่ยนวิธีกินอยู่กันใหม่
การเจริญเติบโตของมะเร็ง เขาจะก้าวกระโดด จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 8 เป็น 16 บวกขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคนที่ป่วยเป็นมะเร็งส่วนใหญ่ที่ตายเพราะโลเล ตัดสินใจไม่เด็ดขาด มะเร็งหยุดได้ถ้าใจสู้"
" เราต้องมีวินัยถ้ามีวินัยเราสามารถหยุดมะเร็งได้ ต้องยึดกฎเหล็กดูแลเรื่องอาหารการกิน การปฏิบัติตัว สิ่งแวดล้อมอากาศบริสุทธิ์ การออกกำลังกาย ผมอาจจะมีบุญเพราะเป็นมะเร็งแต่ไม่เคยคิดว่าเป็นมะเร็ง คิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรถึงจะชนะ ทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตที่ยืนยาวดูแลลูกเต้าต่อไป ไม่เคยกังวลเลย
แล้วเรื่องพืชผักต้องไร้สารจริงๆไม่ใช่ปลอดสาร ไร้สารคือดูแลการปลูกตั้งแต่เริ่มต้นจนเก็บเกี่ยวจะไม่ใช้ยา แต่ถ้าปลอดสารคือใช้เคมีพอใกล้วันเก็บเกี่ยวประมาณ 15 วันก็จะหยุดใช้สารเคมีอันนี้ไม่ปลอดภัย จะมีสารตกค้างตามมา"
มะเร็งไม่น่ากลัวอย่างที่คิดถ้าเรารู้จักวิธีป้องกันดูแลสุขภาพเราก็สามารถชนะมันได้ขอเพียงอย่างเดียวจิตใจต้องเข้มแข็ง
บางรายเกิดวิตกจริตนอนไม่หลับเพราะญาติพี่น้องเสียชีวิตเพราะมะเร็งไม่รู้จะถึงตัวเองเมื่อไหร่ หลายรายทำตามคำแนะนำของพ่อเลี้ยงวรรณอาการดีขึ้นทันตาเห็น
ปัจจุบันพ่อเลี้ยงวรรณมีโครงการสร้างศูนย์ธรรมชาติบำบัดที่สวนเกษตรของพ่อเลี้ยงเองที่ อ.แม่สอด จ.ตาก
ในอนาคตเราคงได้เห็นศูนย์ธรรมชาติบำบัด ของมูลนิธิวรรณ ในเมืองไทย ที่ อ.แม่สอด จ.ตากอากาศดีมาก นอกจากได้สูดอากาศบริสุทธ์แล้วยังมีแปลงเกษตรไร้สารพิษอีกด้วย
พ่อเลี้ยงวรรณมีปณิธานว่าสำหรับผู้ยากไร้ มูลนิธิวรรณจะรักษาให้ฟรี สำหรับผู้มีอันจะกินให้สนับสนุนค่าโอสถเพียงวันละ 100 บาท ทางมูลนิธิจะจัดส่งโอสถไปให้ เรียกว่าคนมีฐานะช่วยคนด้อยโอกาสนะครับ ถ้าท่านอยากทราบรายละเอียดและขอคำ
ปรึกษาเรื่องการดูแลสุขภาพเพิ่มเติม ติดต่อมูลนิธิวรรณ(ปัจจุบันลูกชาย-ภรรยาดูแลอยู่) เลขที่ ๓/๖๘๑ ประชานิเวศน์ ถนนเทศบาลนิมิตรเหนือ ลาดยาวจตุจักร กรุงเทพฯ โทร. ๐-๒๑๕๘-๐๖๕๘
ช่วยกันเผยแพร่นะครับ ได้บุญ

เมียทั่นผู้นำ แค้นฝังหุ่น ดร.ปวิน หรือเนี่ย???

เรื่องของนราพร  กับคนเคยร่วมสถาบัน ฯ  

เรื่องเศร้าเช้านี้.. โปรดใช้พิจารณญาณในการรับฟัง.. ใจกว้างๆอ่านแล้วคิดไปด้วย ได้ติดตามเรื่องคุ้นๆ เมียประยุทธ์มักโทรจี้ผัวให้จัดการเสื้อแดงคนโน้นคนนี้หรือยัง ! คุณนายนราพรเมียใหญ่สั่งผัวจับใครด่ารัฐบาลในเฟส ด่าประยุทธ์ซุกเงินหมื่นล้าน ไปถึงระเบิดศาลก็ให้หาจับเสื้อแดงจากพยานมาเป็นแพะได้ แต่เล่ากันว่ามีเสื้อแดงสองคนที่นราพรเกลียดมากเป็นพิเศษกว่าใคร คืออาจารย์สุดา อดีตอาจารย์สอนอยู่จุฬาฯที่เดียวกันนราพรเคยสอน มาถึงประยุทธ์ออกปากพูดว่าไม่เคย ไม่เค้ยทำให้เสื้อแดงตาย จริงใช่ใหม? แต่ว่ามีคนขุดเรื่องไม้หนึ่งตายขึ้นมาแล้ว ขอถามประยุทธ์ว่า ใครสั่ง? นราพรเลยตกเป็นเป้า ใครรู้จักประยุทธ์ดีรู้ประยุทธ์ไม่มีจิตใจโหดร้าย ถ้าเมียไม่รบ มันคงปากจัด กัดตะคอกก็แค่ด่าๆลูกน้อง ใจไม่มีอะไร  ชอบพูดตลกโปกฮากับเพื่อนๆในสนามกอล์ฟ คนเข้าใกล้เมียประยุทธ์จะรู้จริง นราพรขึ้นชื่อเป็นขาโหด โหดหนักตั้งแต่ความแดงเรื่องประยุทธ์มีน้อยเป็นพยาบาลทหารอีกคน นราพร ทำอะไรไม่ได้ไปลงกับเสื้อแสงเสื้อแดงแรงๆตามเฟส ไม้หนึ่งสังเวยเพราะนราพรต้องการข่มอาจารย์หวานให้กลัว ไม้หนึ่งตายวิญญาณอย่างไม่สงบเพราะฆาตกรสั่งฆ่าเป็นถึงเมียใหญ่นายกแล้วตอนนี้  ไม่มีคนสั่งช่วยตามคดี มีแต่สั่งปกปิดความลับดำมืดเอาว่า อีกคนที่เมียกระดูกเดินได้ของประยุทธ์เกลียดเข้าขั้นถ้าอยู่เมืองไทยก็ตายไปแล้วเหมือนกัน อาจารย์ปวิณ นราพรเห็นปวิณแรงจัดเคยแค้นปวิณจัด คนเล่าต่อๆกันมาว่าสองคนนี้เคยอาจารย์ลูกศิษย์สอนภาษาอังกฤษตอนปวิณเรียนจุฬาฯปี 1 นราพรออกคำสั่งให้ล่าตัวปวิณรู้กันทั่วหน้าในสำนักงานประยุทธ์ ประยุทธ์มันถึงเครียด ถามหาปวิณเอาใจเมียทุกที่ จนคนเริ่มสงสัยประยุทธ์มันทำไมให้ความสำคัญกับปวิณนัก คงได้รู้ความจริงกันเสียที ที่แท้เป็นเรื่องความแค้นส่วนตัวของศิษย์กับอาจารย์ร่วมสถาบันจุฬาฯ นราพรอยากโชว์ฟอร์มให้ผัวเชือดปวิณให้ได้แบบไม้หนึ่งแฟนอาจารย์หวาน คนในจุฬาฯจะได้พากันหนาว กระตุ้นต่อมศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน พวกคณาจารย์อย่าได้หือ ริไปแรงเป็นเสื้อแดงเปิดหน้า นราพร มีส่งลิสท์รายชื่อคนเสื้อแดงในจุฬาฯใส่มือผัวประยุทธ์ล่าทุกคน นราพรสั่งทหารในโเซี่ยลพวกโพสท์ด่ารุนแรงจะถูกตามตัวยกระดับให้ ข้อหา 112 พ่วงทุกรายไปเช็คทุกคนที่ถูกจับมาได้ แล้วกรรมก็จะตามก้นนราพรไปหามันเข้าสักวัน ช้าหรือเร็ว อยู่ที่ความบ้าคลั่งที่นราพรสะสมไว้ เห็นกงจักรบนหัวผัวเป็นดอกบัวงามก็ตามเสพสุขบนตามทุกข์ของประชาชน.. ประชาชน.. ประชาชน จำใส่หัวไว้นราพร

Running Afoul of the Thai Monarchy

http://www.nytimes.com/interactive/2015/09/18/world/asia/thailand-king-lese-majeste.html?_r=0

Running Afoul of the Thai Monarchy

Thailand's strict lèse-majesté laws make it a crime to insult the monarchy, an offense that encompasses a surprising number of activities.

Under Thai law, it is illegal to defame, insult or threaten King Bhumibol Adulyadej, the queen or the crown prince.

But over the past decade, as the king has become infirm, the law has been used more extensively, leading to lengthy jail sentences for critics, and applied broadly to cover all sorts of speech, including graffiti, theater and private conversations.

Here are six recent cases that have ended in jail terms. 

เหลือเชื่อ! แค่เอาเท้าไปแช่ลงในเกลือ ผลที่ได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่สามารถอธิบายได้

เหลือเชื่อ! แค่เอาเท้าไปแช่ลงในเกลือ ผลที่ได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่สามารถอธิบายได้

สำหรับคนรักสุขภาพ!!! เทรนด์ยอดฮิตที่กำลังมาแรงในตอนนี้นอกจากการออกกำลังกายแล้วนั้นคือ "แช่เท้าด้วยเกลือ" ที่ใครก็สามารถทำได้แบบไม่ต้องเสียเงินเข้าสปาเลย แถมได้ประโยชน์มากมายเกิดคาด!!
 
"เท้า" เป็นอวัยวะที่เราใช้งานหนักมาก เพราะไหนจะต้องแบกรับน้ำหนักเราที่มีหลายสิบโลแล้ว เรายังต้องอาศัยเท้าในการเดินหรือทำกิจกรรมอีกมากมายในแต่ละวัน แน่นอนว่าต้องมความเหมื่อยล้าบ้าง โดยเฉพาะสาวๆ ที่ชอบสวมใส่รองเท้าที่มีส้นสูงๆ
 
วันนี้เราจึงขอหยิบยกวิธีการดูแลสุขภาพเท้ามาฝาก นั้นคือ การแช่เท้าด้วยเกลือ ที่สำคัญไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แถมไม่ต้องเสียเงินเสียทองมากมายเพื่อไปทำสปารเท้า การแช่เท้าในน้ำเกลือกลายเป็นอีกหนึ่งวิธีที่คนไทยกำลังพูดถึง และให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมากในขณะนี้ ว่าแต่ทำแล้วจะช่วยอะไรบ้าง และต้องทำอย่างไรนั้นไปชมกันเลย!!!
 
 
ประโยชน์ของการแช่เท้าด้วยเกลือ
 
1. ช่วยดึงสิ่งที่ตกค้างในร่างกายออก
 
2. ช่วยดึงพลังงานลบที่เกิดจากอารมณ์ออก
 
3. ช่วยดึงประจุพลังงานลบ ซึ่งเป็นพลังงานไม่ดี ออกจากร่างกาย
 
4. หลังจากที่ดึงพลังงานลบออกจากร่างกายแล้วเราก็ใช้วิธีการรักษาได้ตามปกติ ทั้งนี้วิธีการนี้จะเป็นการช่วยดึงพลังงานลบออกจากร่างกาย ก่อนการรักษา ทำให้รักษาได้ง่ายขึ้น
 
5. เมื่อแช่เท้าด้วยเกลือ บ่อยๆ ร่างกายจึงไม่มีพลังงานลบที่ก่อโรคหลงเหลืออยู่อีก และนี่เองจึงทำให้สุขภาพของเราดีขึ้น

 
วิธีการแช่เท้าด้วยเกลือ
 
1. นำกะละมังขนาดที่สามารถวางเท้าแช่ได้-ใส่น้ำลงไปให้ท่วมตาตุ่มจะเป็นน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดาก็ได้
 
2. ใส่เกลือทะเล (ที่เป็นเกลือแบบเม็ด) ลงไปประมาณ 1 กำมือ
 
3. เอาเท้าเหยียบเกลือที่ยังไม่ละลาย
 
4. ทำจิตใจให้สงบ หรือเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ นั่งอยู่ประมาณ 15-20 นาที
 
5. หลังจากนั้นให้ล้างเท้าด้วยน้ำเปล่า
 
 
การแช่เท้าด้วยเกลือนั้นคนปกติ สามารถทำได้ทำอาทิตย์ละครั้ง ส่วนคนป่วย ทำได้ทุกวันก่อนนอน หากผู้ใดที่ธาตุในร่างกายไม่สมดุล มีอาการหนาว สั่น ให้ใช้น้ำอุ่นในการแช่เท้า สำหรับคนที่ร้อนก็ให้ใช้น้ำเย็นแช่ค่ะ
 
 
การแช่เท้าเป็นวิธีปฏิบัติที่ถูกถ่ายทอดกันมาอย่างยาวนาน ตามหลักทฤษฎีการแพทย์ทางเลือกสาขา Reflexology โดยมีความเชื่อกันว่าเท้า มีจุดสัมผัส ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการทำงานของอวัยวะต่างๆ ทั่วทั้งร่างกาย เพราะฉะนั้นวิธีกรการผ่อนคลาย ด้วยการแช่เท้าลงในน้ำร้อน จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยกระตุ้นจุดสัมผัสเหล่านี้ด้วยพลังงานความร้อน
 
 
ทางด้างผลงานการวิจัยของ นายแพทย์ วิลเลียม วินเทอร์วิตซ์ จากประเทศออสเตรีย มีความคิดเห็นว่า ประสาทรับสัมผัสที่ผิวหนังจะมีวงจรประสาทเชื่อมต่อกัน กับกล้ามเนื้อ รวมถึงอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ภายในร่างกาย และเมื่อความร้อน มาสัมผัสกับผิวหนัง มันก็จะส่งสัญญาณไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของอวัยวะที่อยู่ห่างไกลได้
 
 
ทั้งนี้การแช่เท้า ไม่ว่าจะเป็นน้ำเกลือหรือน้ำอุ่นหรือไม่ก็ตาม ยังมีข้อดีอีกหลายอย่างดังนี้!
 
1. ลดอาการปวดบวมที่เท้าแล้ว
2. ลดอาการปวดท้อง
3. กระตุ้นความต้านทานของร่างกาย
4. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น
5. ป้องกันอาการมือเท้าเย็นโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว
6. ลดอาการอักเสบของจมูกและลำคอ
7. ช่วยให้อาการปวดหัวหรือปวดประจำเดือนลดลง
8. ลดอาการคั่งของเลือดที่ส่วนอื่นๆ
9. ทำให้นอนหลับง่ายตลอดคืน เป็นต้น

 
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : เบ็ดเตล็ดไอเดีย
ชื่นชอบข่าวนี้ อยากแชร์ต่อให้เพื่อนๆ

รถไฟ จีน กรรมการร่วม ไทยกำลังตกเป็นเหยื่อจีน

รถไฟ จีน กรรมการร่วม   ไทยกำลังตกเป็นเหยื่อจีน
ไทยกำลังตกเป็นเหยื่อจีน
Last updated: 10 August 2015 | 07:32
"ลม เปลี่ยนทิศ" คอลัมนิสต์ของนสพ.ไทยรัฐว่าไว้อย่างน่าฟังเรื่องการสร้างรถไฟไทย-จีน ทำไมไทยจะต้องไปกู้เงิน 4 แสนล้านมาสร้างให้จีนได้ประโยชน์จากการขนสินค้าไปลงอ่าวไทย โดยไทยไม่ได้อะไรเลย เรื่องนี้คนไทยทุกคนต้องศึกษา อย่าให้ต้องเสีย "ค่าโง่"อยู่ร่ำไป

....ผมอ่านคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีคมนาคม ที่กำลังไปถก โครงการรถไฟไทยจีน ที่ เมืองเฉิงตู ประเทศจีน ตั้งแต่วันนี้ถึง 8 สิงหาคมแล้ว ก็รู้สึกทะแม่งๆโครงการนี้ฝ่ายจีนเป็นผู้ริเริ่ม ขอสร้างผ่านไทยเพื่อขนสินค้าไปลงทะเลอ่าวไทย แต่ไม่รู้ พล.อ.อ.ประจิน ไปเจรจากันท่าไหน กลายเป็นว่าไทยกำลังตกเป็นเบี้ยล่างจีน แถมยังต้อง เอาเงินภาษีคนไทย 4 แสนกว่าล้านบาทไปสร้างให้จีนด้วย

ลองอ่านคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อ.ประจิน ที่ผมลอกมาจาก นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ดูครับ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

"ขณะนี้ได้รับการยืนยันจาก คณะกรรมการฝ่ายจีน ว่าจะมีการประชุมระหว่างฝ่ายไทยและจีนที่ เมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 6–8 สิงหาคมนี้ โดยจะมีการหารือถึงความคืบหน้าการสำรวจและออกแบบของ โครงการรถไฟไทยจีน ในการก่อสร้าง รถไฟทางคู่ขนาดมาตรฐาน 1.435 เมตร เส้นทาง กรุงเทพฯแก่งคอย มาบตาพุดแก่งคอย แก่งคอยนครราชสีมาหนองคาย ระยะทาง 867 กิโลเมตร โดยฝ่ายไทยจะนำข้อมูลการวางระบบราง และการวางรูปแบบสถานีแต่ละแห่ง ไปชี้แจงกับคณะกรรมการทางทั้งสองฝ่าย

ส่วนรูปแบบ การร่วมลงทุน การกู้เงิน ขณะนี้มีความก้าวหน้าพอสมควร การประชุมที่เฉิงตู จะขอคำตอบความคืบหน้าวงเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยพิเศษที่ฝ่ายไทยขอไป ก่อนหน้านี้ ฝ่ายจีนเคยให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับรัฐบาล 2% ส่วนอัตราดอกเบี้ยลักษณะเชิงพาณิชย์ 4% อยากให้ต่ำกว่านี้"

ผมอยากเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อ.ประจิน ว่า อัตราดอกเบี้ย 2–4% ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล มันก็เหมือนกับ "จีนคิดดอกเบี้ยนอกระบบกับไทย" เพราะเงิน 4 แสนล้านบาท กู้ในประเทศไทยถูกกว่าเยอะ ขนาดบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ ออกหุ้นกู้ยังให้ดอกเบี้ยไม่ถึง 4% แต่จีนคิดกับรัฐบาลไทยโหดถึง 4% ยังแบกหน้าไปขอลดดอกเบี้ยเขาอีก คิดดอกเบี้ยอย่างนี้ต้องตัดหางปล่อยวัดแล้ว

ความจริง โครงการรถไฟไทยจีน สายนี้ จีนต้องเป็นฝ่ายลงทุนทั้งหมด เพราะ ได้ประโยชน์เกือบ 100% ฝ่ายไทยเสียอีกที่ "เสียค่าโง่" ไปทำโครงการนี้ร่วมกับจีน เพราะในเส้นทาง หนองคายนครราชสีมาแก่งคอยมาบตาพุดกรุงเทพฯ สายนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย ก็มี โครงการรถไฟทางคู่มาตรฐาน 1 เมตร ที่ได้รับการอนุมัติก่อสร้างจาก ครม.แล้ว ค่าก่อสร้างก็ถูกกว่าหลายเท่า ทำไมต้องเสียเงินอีก 400,000 ล้านบาทไปลงทุนรถไฟทางคู่ 1.435 เมตรให้กับรถไฟจีน ซึ่ง วิ่งคู่ขนานกับรถไฟทางคู่ 1 เมตรของไทย อีก

โครงการรถไฟไทยจีน ไทยมีแต่เสียกับเสีย ผมยังมองไม่เห็นประโยชน์อะไรที่ไทยต้องเสียเงิน 4 แสนล้านบาทไปสร้างรถไฟให้จีน เพื่อให้จีนขนสินค้าผ่านดินแดนไทยไปลงทะเล โดยไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย หรือได้ก็น้อยมากๆ

ถ้า รัฐบาลบิ๊กตู่ จะฉลาดกว่านี้สักนิด ยื่นเงื่อนไขกับจีนว่า ถ้าจีนต้องการขนสินค้ามาลงทะเลอ่าวไทย ก็ต้อง ให้จีนสร้างรถไฟทางคู่ 1.435 เมตรมาสิ้นสุดที่หนองคาย และจาก หนองคาย ไป กรุงเทพฯ แก่งคอย มาบตาพุด แหลมฉบัง จีนต้อง ใช้รถไฟราง 1 เมตรของไทยอย่างเดียว เพื่อ สร้างรายได้ให้การรถไฟ ที่ยังขาดทุนบักโกรกมีหนี้เป็นแสนล้าน โดยมีจุดเปลี่ยนถ่ายตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ที่หนองคาย เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับหนองคาย

ถ้า รัฐบาลบิ๊กตู่ ทำอย่างนี้ ประเทศไทยจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกมหาศาล การรถไฟไทยที่ขาดทุนก็มีรายได้เพิ่มขึ้น หนองคายก็มีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะกลายเป็น จุดเปลี่ยนถ่ายสินค้ารถไฟไทยจีน และไทยก็ไม่ต้อง "เสียค่าโง่" ไปลงทุนสร้างทางคู่ 1.435 เมตร ให้จีนถึง 400,000 ล้านบาท ไม่ต้องไปจ่ายดอกโหดให้จีน 2–4% ไทยมีแต่ได้กับได้

โครงการนี้ผมค้านเต็มที่ เพราะไทยเสียประโยชน์เห็นๆ เงินกู้ 4 แสนล้านบาท ก็เป็นเงินภาษีของผมและคนไทย 67 ล้านคน ไม่ใช่เงินของรัฐบาลที่จะเอาไปอวยใครๆฟรี

ที่สำคัญ รถไฟไทยจีนสายนี้ คือ ยุทธศาสตร์ One Belt One Road ของ จีน ในการ ขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้ และ ไทยกำลังตกเป็นเหยื่อจีน เสียทั้งตัว เสียทั้งเงิน แถมยังถูกมิตรเก่าอย่าง สหรัฐฯ ยุโรป ขย้ำเสียเต็มเขี้ยว เลิกเสียวันนี้ก็ยังไม่สายครับ.

"ลม เปลี่ยนทิศ"

ที่มาของบทความ

http://thairath.co.th/content/516257

First posted: 10 August 2015 | 07:31

เด็ดปีกลิ่วล้อ-จัดหนักหัวโจก ปฏิบัติการโค่น “จันทร์ส่องหล้า” จับตา “สุดารัตน์” สยายปีก

เด็ดปีกลิ่วล้อ-จัดหนักหัวโจก ปฏิบัติการโค่น "จันทร์ส่องหล้า" จับตา "สุดารัตน์" สยายปีก
โดย: ASTVผู้จัดการรายวัน