ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Monday, March 23, 2015

ปรากฎการณ์ "ระพี สาคริก" ในมุมมอง ดร.ยุกติ (เครดิต คุณจอม เพชรประดับ)







อาจารย์ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันสอนอยู่ที่ Wisconsin Medison University USA. ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia กรณี ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก บุคคลที่สังคมไทยยกย่องให้เป็นราษฎรอาวุโส ไม่พอใจการปฎิบัติหน้าที่อย่างไม่ให้เกียร­ติ ของเจ้าหน้าที่คนไทยที่ทำงานอยู่สถานทูตเย­อรมัน ขณะที่ ศาาสตราจารย์ระพี เดินทางไปขอวีซ่าเพื่อที่จะเดินทางไปประเท­ศเยอรมันว่า เป็นปัญหาในเรื่องความคิด ความเชื่อของวิถีสังคมไทยส่วนใหญ่ที่ยังเช­ื่อว่า คนไทยมีค่าไม่เท่ากัน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่คิดว่าตัวเองเป็นชนชั้น­อภิสิทธิ์ชน มีความเหนือกว่าคนไทยโดยทั่วไป ซึ่งเป็นปัญหาสร้าง­ยู่ในเวลานี้ ปัญหานี้ มาจากระบบการศึกษาไทยที่ทำให้คนไม่เท่ากัน ระบบการศึกษาไทยมีเป้าหมายเพื่อยกฐานะตัวเ­องให้เป็นอภิสิทธิ์ชน และวิถีวัฒนธรรมการเคารพบูชาบุคคลในทุกกรณ­ี โดยไม่มีเงื่อนไข วิธีคิดแบบนี้ ชนชั้นนำทั้งหลาย ทั้งที่มีการศึกษาดี มีฐานะดี มีชาติกระกูลดี ต้องการที่จะรักษามันไว้ เพื่อตัวเองจะได้ประโยชน์ ได้อำนาจ หรือได้อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบเหนือกว่าค­นธรรมดาทั่วไป คนกลุ่มนี้จึงพยายามสร้างให้สังคมไทยเห็นค­ุณค่าและ ให้เชื่อว่าเป็น เอกลักษณ์ที่ดีงามของวัฒนธรรมไทยที่คนไทยจ­ะต้องรักษาไว้ ทั้ง ๆ ที่เป็นไปเพื่อรักษาสถานะและผลประโยชน์ของ­อภิสิทธ์ชนมากกว่า อย่างไรก็ตาม สังคมไทยยุคใหม่ มีการตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ของวัฒธรรมกา­ร เคารพความอาวุโส หรือผู้มีความรู้ ความสามารถในทุกสถานกาณ์ อย่างไม่มีข้อกำจัด มากขึ้นเรื่อย ๆ และเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจในสังคมไทยในเวลานี้ จะทำให้เกิดการค้นหา และพยายามสร้างสังคมในจินตนาการใหม่ ที่ทำให้่คนไทยมีค่าของความเป็นคนเท่าเทีย­มกัน มีสิทธิในความเป็นมนุษย์เสมอกันในอนาคตอย่­างแน่นอน ซึ่งสังคมไทยในจินตนาการใหม่นี้ จะเกิดขึ้นได้ในบรรยากาศทางการเมืองที่เป็­นประชาธิปไตยเท่านั้น
ความขัดแย้งในสังคมไทยอ


ปวดตามัว ปวดศีรษะไมเกรน แชร์เป็นวิทยาทานได้ บุญมาก

ปวดตามัว ปวดศีรษะไมเกรน แชร์เป็นวิทยาทานได้ บุญมาก
ตามไปดูนะครับ





นักโทษ 112 และนักโทษการเมืองในไทยและทั่วโลก ได้รับรางวัลสันติภาพ 2557 (2014 TAHR PEACE PRIZE)


ขณะที่เผด็จการเมืองไทย ได้ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบในการกดหัวประชาชน คือใช้กฎหมายทุกรูปแบบ ใช้ความน่าเชื่อถือในตัวบุคคลและสถาบัน ใช้สมุนในสภาและนอกสภา และแม้แต่กำลังทหารที่จงรักภักดี เพื่อกำราบคนที่ใฝ่ประชาธิปไตยทุกรูปแบบ ปิดหูปิดตา ปิดกั้นการแสดงออกทุกรูปแบบ แล้วยกคนของตนเข้าไปคุมทุกเครือข่าย ใช้กำลังและกลไกเหล่านี้อย่างเต็มรูปแบบ  ปวงชนไทยหลายส่วนสยบยอม หมอบราบ หรือหันไปใช้ความรุนแรง  แต่นักโทษการเมืองที่สู้ด้วยมือเปล่า หรือนักโทษ 112 ที่สู้ด้วยความคิด ข้อมูล และความจริง แม้จะต้องคดีความ ถูกจับกุมคุมขังโดยไม่มีสิทธิต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม แถมถูกตัดสินแบบสองมาตรฐานและไม่มีสิทธิต่อรองแม้แต่การประกันตัว  แต่พวกเขาก็ไม่ยอมกลัว ไม่ยอมก้มหัว หรือสยบยอม  ทั้งพวกที่ต้องรับโทษอย่างไม่เป็นธรรม แถมถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงหลายแบบ และพวกที่ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจเถื่อน จึงหลบหนีไปต่อสู้ยังต่างประเทศ

บุคคลเหล่านี้ สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการบันทึกไว้ว่า เป็นผู้ต่อสู้กับอำนาจเถื่อนที่รุนแรงและป่าเถื่อนด้วยสันติวิธี เพื่อหวังให้เผด็จการเปลี่ยนวิธีการ และให้ประชาชนร่วมชาติตาสว่าง  ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน จึงเห็นควรโดยมติเอกฉันท์ มอบรางวัลนี้ ให้กับ นักโทษ 112 และนักโทษการเมืองในไทยและทั่วโลก 

ในการนี้ ท่านจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคใหญ่ที่สุดในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถูกปล้นอำนาจโดยรัฐบาลเผด็จการทหารของนายประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้เกียรติเป็นผู้มอบรางวัลนี้ โดย ดร.เพียงดิน รักไทย เป็นผู้แทนนักโทษ 112 และนักโทษการเมืองในไทยและทั่วโลก รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้แทน   วิดีโอและภาพประกอบ จะตามมาในเร็ว ๆ นี้


จึงขอประกาศไว้ให้เป็นเกียรติประวัติและจารึกไว้ให้เป็นแบบอย่างแก่สาธารณชนทั่วไป

ประกาศ ณ วันที่  23 มีนาคม  2558


ดร.เพียงดิน รักไทย
ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง
ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน


ภูมิพลและหลานสาว ขายหุ้น ให้ผู้ซื้อลึกลับ (อ่านแล้วคิดกันอย่างไรครับ? ของดีต้องขยาย!!)

ภูมิพลและหลานสาว ขายหุ้น ให้ผู้ซื้อลึกลับ 
Credit:  http://thainewstip.blogspot.se/2015/03/blog-post_22.html?m=1

โดย ศุลี ศรีอีสานมีนาคม 2558


กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2558 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยชื่อ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แจ้งรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ที่จะมีผลใช้บังคับในเดือนมีนาคม 2558 เป็นต้นไป
เอกสารระบุว่า บริษัทอาร์พีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ RPC ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นกัน ปัจจุบันถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 25.25 ของสัมมากร จะซื้อหุ้นจำนวน 135,564,380 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ23.00 ของผู้ถือหุ้นลำดับที่1 และลำดับที่ 3 ภายในเดือนมีนาคม 2558 ส่งผลให้มีสัดส่วนการถือหุ้นเป็นร้อยละ 48.25ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าในสมุดทะเบียนล่าสุดของ RPC มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดคือ นายวิชัย ทองแตง นักกฎหมายชื่อดัง และเป็นนักลงทุนที่มีพฤติกรรมล่ากิจการคนสำคัญร่วมสมัย ที่คนทั่วไปเรียกเขาว่า “ทนายทักษิณ”การซื้อขายดังกล่าว ทำให้สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า “SAMCO พุ่งชนเพดาน 29.31% รับวิชัย ทองแตงนำ RPC ถือหุ้นเพิ่ม” และชื่อของวิชัย ทองแตง ก็มีผลทำให้ราคาหุ้นวิ่งชนเพดานติดต่อกัน 3 วันรวด ก่อนจะโรยตัวลงเมื่อข้อเท็จจริงใหม่ระบุว่า ไม่มีชื่อของวิชัย เกี่ยวข้องอีกแล้ว
ข้อมูลผู้ถือ บริษัท อาร์พีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ RPC  ณ วันที่ 27/02/2558 


ส่วนผู้ขายตามที่ระบุในเอกสารชี้แจงนั้น หากดูสมุดทะเบียนของ SAMCO จะพบว่า ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ภูมิพล) ที่เดิมถือหุ้น 171,219,800 หุ้นหรือ  29.05%  และ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม (หลานสาว ลูกของอดีตพระพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์) ที่เคยถือหุ้น 40,891,400 หุ้น หรือ6.94 %
ข้อมูลผู้ถือหุ้น บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO  ณ วันที่ 27/02/2558


          ผลลัพธ์จากการซื้อขายดังกล่าว ทำให้ หลังจากการซื้อขายแล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของ RPC ใน SAMCO จะเปลี่ยนไปจากเดิม 25.25มาเป็น 48.25% ในขณะที่ สัดส่วนของกษัตริย์ภูมิพล จะลดลงจาก 29.05% เป็น 8.26% และหลานสาว จะลดจาก 6.94% เป็น 4.73% ซึ่งเท่ากับในทางปฏิบัติ แล้ว RPC จะเข้าไปถือหุ้นที่เข้าไปบริหารกิจการในSAMCO ได้อย่างเต็มที่ หลังจากวันที่ตกลงในสัญญาความน่าสนใจของการซื้อขายหุ้น SAMCO ครั้งนี้อยู่ที่ว่า มีเงื่อนไขระบุชัดถึงความได้เปรียบที่ผู้ขายมีต่อผู้ซื้ออย่างชัดเจนว่า การซื้อหุ้นครั้งนี้ ผู้ซื้อคือ RPC จะไม่ได้รับเงินปันผลจำนวน 0.15 บาท/หุ้น เนื่องจาก SAMCO ประกาศกำหนดสิทธิการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล ในวันที่ 26 ก.พ.58 เท่ากับว่า คนขายหุ้นของภูมิพลกับหลานสาว นอกจากขายหุ้นได้ราคาดีแล้ว ยังได้แถมพอรับเงินผันผลต่อแก ทั้งที่ไม่ได้ถือหุ้นอยู่ในมืออีกแล้ว          เรียกว่า ภูมิพล และหลานสาว ใช้อภิสิทธิ์จนหยดสุดท้าย ก็ว่าได้คำถามที่คนไทยอยากถาม แต่ไม่กล้าเอ่ยปากในประเทศไทยอย่างเปิดเผย คือ1)   การซื้อขายหุ้นดังกล่าว มีแรงจูงใจอะไร ทั้งฝั่งของผู้ซื้อและผู้ขาย2)   ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิพล และหลานสาว กับวิชัย ทองแตง(ในนามของ RPC)
3)   เหตุใดสัดส่วนการถือครองหุ้นของผู้ถือหุ้นหมายเลข  4 ของ SAMCO จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อทำความเข้าใจกับเงื่อนงำดังกล่าว จะต้องย้อนกลับไปทบทวนความเป็นมาของกิจการทั้งของ SAMCO และRPC เสียก่อน

SAMCO เดิมเป็นบริษัทส่วนตัวเพื่อรับจัดการหารายได้จากที่ดินในมือของทรัพย์สินส่วนกระองค์ โดยพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บ้านสัมมากร บนที่ดินที่เป็นทุ่งนาเดิม ที่ถนนสุขาภิบาลสาย 3 (ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของถนนรามคำแหง)ในเขตสะพานสูง กทม.มายาวนานหลายทศวรรษ
ในปี 2536 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ของไทยกำลังเฟืองฟูอย่างรุนแรงจากกระแสโลกาภิวัตน์หลังยุคสงครามเย็น ผู้ถือหุ้นและกรรมการของSAMCO ได้ตัดสินใจนำแปรรูปเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนเพื่อระดมทุนจากตลาด ไปขยายกิจการเพื่อให้ทันกับการแข่งขัน
การยื่นของเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนครั้งนั้น ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอย่างง่ายดาย เพราะเพียงแค่เห็นชื่อของผู้ถือหุ้นใหญ่ และกรรมการของบริษัท(ซึ่งส่วนใหญ่ทราบกันดีว่าล้วนเป็นเครือข่ายราชสำนักทั้งสิ้น) ได้เงินไปหลายร้อยล้านบาท แต่ก็ไม่ได้ทำการขายธุรกิจมากมายนักยังคงทำธุรกิจบนที่ดินแปลงเดิมที่มีอยู่มากมายต่อไป

ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อฟองสบู่เศรษฐกิจไทยแตกจนย่อยยับ SAMCO ก็ตกอยู่ในสภาพ”ชักหน้าไม่ถึงหลัง”เช่นเดียวกัน เพราะรายได้หดหาย ขาดสภาพคล่องทางการเงินรุนแรง ต้องประคองตัวให้รอดอย่างทุลักทุเล บางปีไม่มีโครงการใหม่ๆเกิดขึ้นมาเลย มีรายได้ไม่ถึงปีละ 100 ล้านบาท ต้องพึ่งพารายได้จากสถานีบริการน้ำมันในโครงการมาจุนเจือไม่ให้ขาดทุน
หลังจากผ่านวิกฤตครั้งนั้น SAMCO ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงรู้จักดี ได้กลายเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีกิจกรรมในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์น้อยมาก เพราะมีโมเดลธุรกิจที่พ้นยุคไปแล้ว แม้ระยะหลังจะฟื้นตัวมาสร้างรายได้ระดับ 1 พันล้านบาทต่อปี ก็ไม่ได้ช่วยให้บริษัทมีกำไรมากมาย

ในช่วง 10 ปีมานี้ ราคาหุ้นของ SAMCO ไม่เคยขึ้นสูงกว่าหุ้นละ 3 บาทเลย เพราะมีผลประกอบการที่ย่ำแย่มาโดยตลอด เหตุผลสำคัญ สามารถเข้าใจได้ไม่ยากเพราะ กรรมการและผู้บริหารบริษัทนั้น ล้วนเป็น”เด็กเส้น”ในเครือข่ายราชสำนักทั้งสิ้น ไม่ใช่ผู้ช่ำชองทางด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ แม้กระทั่งในปัจจุบัน


                   รายชื่อกรรมการล่าสุด SAMCO
รายชื่อกรรมการ
ตำแหน่ง
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา
กรรมการผู้จัดการ
นายพงส์ สารสิน
กรรมการ
พ.ต.ต.ชินภัทร สารสิน
กรรมการ
นายธวัช อึ้งสุประเสริฐ
กรรมการ
นายกวี อังศวานนท์
กรรมการ
นายสัจจา เจนธรรมนุกูล
กรรมการ
นายพิพิธ พิชัยศรทัต
กรรมการ
นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
กรรมการอิสระ
นายอนุทิพย์ ไกรฤกษ์
กรรมการอิสระ
นายสิทธิชัย จันทราวดี
กรรมการอิสระ
นายธวัชชัย ช่องดารากุล
กรรมการอิสระ
นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
ประธานกรรมการตรวจสอบ
นายสิทธิชัย จันทราวดี
กรรมการตรวจสอบ
นายธวัชชัย ช่องดารากุล
กรรมการตรวจสอบ

           ทางด้าน RPC ก็มีที่มาค่อนข้างแปลก บริษัทดังกล่าว อาศัยสายสัมพันธ์กับผู้บริหารกลุ่ม ปตท.ในอดีต ก่อตั้งบริษัทมาในปี 2538 โดยมีข้อตกลงว่า จะให้ปตท.เป็นผู้ป้อนวัตถุดิบสำหรับโรงงานกลั่นน้ำมันชนิดพิเศษ ที่ไม่ได้ซื้อน้ำมันดิบมากลั่น แต่ใช้วัตถุดิบเหลือใช้จากโรงงานปิโตรเคมีในกลุ่มปตท. ที่เรียกว่า กากคอนเดนเสท (Condensate Residue หรือ CR)
การพึ่งพาวัตถุดิบจากบริษัทในกลุ่ม ปตท. ดำเนินการมีกำไรมาได้ด้วยดีมากกว่า15 ปี มีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันใต้เครื่องหมายการค้า PURE นับ 100 แห่ง จนกระทั่งสามารถแต่งตัวเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 2546 ในปี 2555 กลุ่มปตท. ได้บอกเลิกสัญญาจัดส่งกากคอมเดนเสทซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสาหรับโรงกลั่นน้ามันของRPC ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ทำให้ RPC ไม่สามารถดำเนินการผลิตต่อไปได้ ต้องปิดโรงงานทิ้งไป เหลือแต่ชื่อของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทจำต้องดิ้นรนเพื่อให้มีทรัพย์สินเพื่อสร้างรายได้ต่อไป โดยอาศัยเงินสดเดิมที่มีอยู่ในกิจการเพื่อดำเนินการต่อไป
 RPC ได้เจรจากับกับ SAMCO เพื่อเข้าถือหุ้นบางส่วน หวังรักษาที่มาของรายได้ต่อไปให้ได้ โดย SAMCOทำการเพิ่มทุนในปี 2556 จาก 450 ล้านบาท เป็น 589.41 ล้านบาท เพื่อขายให้กับ RPC กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2
เงินที่ได้รับจาก RPC ทำให้ SAMCO สามารถเพิ่มโครงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่อไปได้ เติบโตสร้างรายได้และกำไรให้เห็นชัดเจน แม้จะไม่มากนัก




ต่อมาในปี 2557 คณะกรรมการของ RPC ได้ทำการเพิ่มทุนครั้งใหญ่จาก 802.87 ล้านบาท เป็น 1,304.66 ล้านบาท เพื่อขายให้กลุ่มนายวิชัย ทองแตง จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยนายวิชัยตั้งเป้าหมายว่า จะทำให้ RPC ที่ขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปี กลับมาทำกำไรด้วยการปรับธุรกิจมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานทางเลือกหรือพลังงานไฟฟ้า
นายวิชัยถือหุ้น RPC มาได้ไม่นานก็ประกาศว่า มีความขัดแย้งในเป้าหมายธุรกิจกับกลุ่มผู้ถือหุ้นอื่นของ RPC จึงได้ประกาศขายหุ้นทิ้งไปทั้งหมด โดยขายในตลาดชนิดที่”ตัดขาดทุน” ข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงชัดเจนว่า การซื้อขายหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ SAMCO เพื่อให้ RPC เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดดังกล่าว จึงไม่เกี่ยวข้อกับนายวิชัย ทองแตง แม้แต่น้อย แม้ว่าจะมีชื่อของนายวิชัยติดอยู่โดยนิตินัยที่ RPC อยู่
ปริศนาของการขายหุ้นของภูมิพลและหลานสาว โดยที่ลูกสาวไม่ได้ขายออกด้วยจึงเป็นปริศนาที่ชวนให้ตั้งคำถามเช่นกันว่า เกิดจากอะไรกันแน่ ซึ่งกุญแจที่จะไขความลับนี้ อยู่ที่รายชื่อของผู้ถือหุ้นใหญ่สุดคนใหม่ของ RPC ที่ถือต่อจากนายวิชัย ทองแตง เป็นสำคัญ ซึ่งจนถึงวันนี้ ยังไม่ปรากฏตัวออกมา
          ปริศนาของการขายหุ้นนี้ ทำให้เกิดคำถามตามว่า การปิดบังรายชื่อผู้ซื้อที่แท้จริง โดยซ่อนอยู่ในรูปของนิติบุคคลอย่าง RPC จะเป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อซ่อนเร้นทรัพย์สินของภูมิพลกับเครือข่ายราชสำนัก ในช่วงเวลาที่ใกล้หมดอายุขัย หรือไม่
          ความเป็นไปได้ทางหนึ่งคือ การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้น หากจะมีการถ่ายโอนความมั่งคั่งส่วนตัวไปให้กับบุคคลอื่น การอำพรางว่าเป็นการซื้อขายหุ้น จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะนับแต่กฎหมายมรดกผ่านมามีผลบังคับใช้ในหลายเดือนมานี้ มีการโอนทรัพย์สินในรูปขายหุ้นอย่างมากมาย กรณีนี้อาจจะเป็นข้อสังเกตได้ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน
          คำตอบของเงื่อนงำในกรณีนี้ เป็นสิ่งที่ต้องค้นหา แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง


ใครจะรู้บ้างว่า ลี กวน ยู ผู้ยิ่งใหญ่นั้น มีมันสมองสำคัญ ที่ปรึกษาส่วนตัว เป็นคนไทย!!!

มีพี่น้องฝากมาทางไลน์ ...
ลองอ่านและพิจารณาดูนะครับ



ที่น่าเสียดายคือไม่มีคนไทยเคยรู้ว่า
ที่ปรึกษาคนสำคัญของลีกวนยู
เป็น ดร.ด้านเศรษฐศาสตร์ คนไทยสอนที่ ม เกษตร เป็นที่ปรึกษาตั้งแต่ตั้งประเทศ
ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรเลย นอกจาก คนจีนที่ถูกไล่ที่ทำกิน ให้ออกมาจากมาเลย์ กับเกาะร้าง ไม่มีแม้แต่น้ำจืด ตัองซื้อจากมาเลย์ทุกสิ่งทุกอย่าง จนกลายเป็นประเทศผู้นำทางศูนย์กลางการค้า อู่ต่อเรือ ศูนย์การเงิน ตลาดหลักทรัพย์ ที่รวยที่สุดในอาเซี่ยน เพราะ ดร. อุทิศ นาคสวัสดิ์ ชาวอัมพวา ผู้มีความสามารถทางเศรษฐศาสตร์ระดับโลก ที่รัฐบาลไทยกล่าวว่า ดร อะไร วันๆเอาแต่เล่นดนตรีไทยร้องเพลงไทย จะมาช่วยรัฐบาลพัฒนา ศก. ของไทยได้หรือ? 
 
ไก่ได้พลอย ลีกวนยู รู้ จึง จ้าง ดร. อุทิศ ไปเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว และ ครม. ตลอดชีวิต
เขาบินไปกลับทำงานให้สิงคโปร์แทบทุกวัน จนสิงค์โปร์ประสบความสำเร็จรวยที่สุดในอาเซี่ยน ดร. เสียชีวิตไปเมื่อสิบห้าปีที่แล้วด้วยอายุ90ปีเศษเช่นเดียวกัน วันพระราชทานเพลิงศพ ลีกวนยูและ ครม.ของเขามาเคารพศพ ดร. อุทิศ ที่กรุงเทพ ทั้งคณะ

 นี่คือประวัติของท่านดร. อุทิศ​  นาคสวัสดิ์ ครับ

http://archives.psd.ku.ac.th/kuout/p544.html





อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ได้รับรางวัล 2014 TAHR AHIMSA AWARD เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ศกนี้



อาจารย์ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ได้รับรางวัล 2014 TAHR AHIMSA AWARD จากภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ในการประชุมประจำปีขององค์กร ณ เมือง  Paramount มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่  22 มีนาคม 2558  โดยดร.เพียงดิน รักไทย ประธานบริหารภาคีฯ ได้กล่าวว่า อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน เป็นผู้เสียสละ ที่มุ่งสร้างประชาธิปไตย โดยการพากเพียรให้ความรู้เรื่องปัญหาเชิงโครงสร้าง อันเป็นฐานของการสร้างความเข้าใจเพื่อการเปลี่ยนระบอบอย่างสันติ  และท่านได้ทำมาตลอดเวลาหลายปี  โดยไม่คำนึงถึงอันตรายและความเสียหายที่ได้เกิดแก่ตัวเองและครอบครัว  เป็นตัวอย่างแก่สาธารณชน จึงสมควรยกย่องไว้ให้ปรากฏ

นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยประชาชน และภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยได้ดำรงตำแหน่งกรรมการอำนวยการของภาคีฯ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่  28 มีนาคม 2555 ด้วย

ในการนี้ ท่านจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคใหญ่ที่สุดในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถูกปล้นอำนาจโดยรัฐบาลเผด็จการทหารของนายประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้เกียรติเป็นผู้มอบรางวัลนี้  วิดีโอและภาพประกอบ จะตามมาในเร็ว ๆ นี้

จึงขอประกาศไว้ให้เป็นเกียรติประวัติและจารึกไว้ให้เป็นแบบอย่างแก่สาธารณชนทั่วไป

ประกาศ ณ วันที่  23 มีนาคม  2558


ดร.เพียงดิน รักไทย
ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง
ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน


ลิ้งค์ข่าวอย่างเป็นทางการของภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน http://tahr-global.org/?p=22177



เออนะ...​กบฏ เดินลอยนวลบนแผ่นดินไทย กบฏคสช. ไม่ยอมจัดการ ริอ่านจะไล่จับคนดีที่เขาไม่ยอมอำนาจเถื่อนอยู่นอกประเทศ





เออนะ...​กบฏ เดินลอยนวลบนแผ่นดินไทย กบฏคสช. ไม่ยอมจัดการ ริอ่านจะไล่จับคนดีที่เขาไม่ยอมอำนาจเถื่อนอยู่นอกประเทศ

Water & Coke น้ำ กับ โค้ก (เรื่องที่ควรบอกกับคนที่คุณรัก)

มีพี่น้องที่รักกัน ส่งข้อความนี้มาให้ จริง ๆ ตัวเองก็ได้ประสพกับตัวเองมาเหมือนกัน คือเมื่อก่อน จะชอบดื่มน้ำอัดลมประจำ เรียกว่าในตู้เย็นต้องมี และเมื่อก่อนก็ชอบออกไปทาน junk food หรืออาหารขยะบ่อย ๆ แล้วก็ต้องมีโค้กหรืออื่น ๆ ที่ฝรั่งเรียกว่า  soda หรือน้ำอัดลม ประกอบเสมอ  แล้วก็พบว่า ตัวเองจาม หรือ ไอ บ่อย ๆ อาการแพ้อากาศก็เป็นบ่อย น้ำตาไหล น้ำมูกย้อย แบบไม่ได้เป็นหวัดอยู่เป็นประจำ  จนเมื่อราวสามปีที่ผ่ามมา เกิดความรู้สึกว่า อยากเปลี่ยนชีวิตบ้าง อยากดูแลตัวเอง โดยเฉพาะรำคาญกับอาการที่กล่าวมา  เลยลองดื่มน้ำเยอะ ๆ เรียกว่านึกได้เป็นดื่มน้ำไว้ก่อน  บางทีก่อนนอนนี่ ดื่มจนต้องลุกมาฉี่กลางดึก หรือหากเข้าห้องนอนแล้วมีอะไรทำ (ฮั่นแน่ อย่าคิดมาก) เช่น อ่านหนังสือหรือลุยงานเพลิน ก็อาจจะต้องลุกไปเข้าห้องน้ำก่อนจะนอนจริง  แล้วก็พบว่าร่างกายดีขึ้นจริง ๆ ไม่ปวดหัวบ่อย หลับแล้วสนิทและตื่นสบาย  ตัวรู้สึกเบา กลิ่นปากไม่มี และอาการเหมือนแพ้อากาศก็หายไป แบบไม่น่าเชื่อ

ดังนั้น วันนี้ น้ำอัดลมจะไม่มีในตู้เย็นที่บ้าน นาน ๆ ทีจะดื่มที ก็เช่น ตอนอยู่บนเครื่องบิน หรือตอนไปนั่งทานอาหารขยะน่ะแหละ ซึ่งยังไงมันก็ไม่สะใจเท่ากับดื่มเครื่องดื่มขยะด้วย อิ ๆ   แต่อยากส่งข่าวนี้ผ่านไปยังพี่น้องให้พิจารณานะครับ  ขอบคุณเจ้าของบทความและพี่น้องที่ส่ง ๆ กันมาครับ 

หมายเหตุ คนเขียนเปรียบเทียบน้ำกับโค้ก แต่จริง ๆ ต้องนับโซดา หรือน้ำอัดลม ทุกชนิดนั่นแหละครับ 



Water & Coke น้ำ กับ โค้ก 
ถ้าท่านรู้เรื่องนี้ ท่านจะดื่มน้ำมากขึ้น
เพราะน้ำเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย 75%
มีงานวิจัยพบว่าในคน 100 คน
ที่ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยให้คน 80 คน
ลดอาการปวดหลังปวดข้อลงได้
ดื่มน้ำวันละ 5 แก้ว ลดปัจจัยเสี่ยง
ต่อการเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ได้
ถึง 45 % มะเร็งเต้านมได้ 79%
และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50%!
ทีนี้มาลองรู้จักน้ำ ' โค้ก ' กันหน่อย แน่นอนโค้กรสชาดยอดเยี่ยม
แต่ตำรวจทางหลวงจะบรรทุกโค้ก 2 แกลลอน ในช่องท้ายรถ
เพื่อเวลามีรถชนกันสามารถเอา ' น้ำโค้ก ' ล้างเลือดบนถนนได้เกลี้ยงเกลา

ถ้าเอา T-bone steak ใส่ในชามกะละมังที่มีน้ำโค้กเต็ม
จะพบว่าจะถูกละลายไปหมดใน 2 วัน
รินโค้ก 1 กระป๋องลงในโถส้วมทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง
แล้วชักโครก กรดซิตริกในโค้ก จะล้างคราบสกปรก
ในโถส้วมได้สะอาด
ถ้าต้องการกัดสนิมที่กันชนชุมโครเมี่ยมของรถ
ให้เอาที่ขัดที่ทำด้วย foil ชุบโค้ก ขัดสนิมจะออกหมด

ถ้าจะล้างทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ที่มีคราบกรดเกลือเกาะขาวๆ
ให้เทน้ำโค้ก ฟองจะกัดคราบขาวออกได้หมด ถ้าจุดขวดติดแน่น
งัดไม่ออก เอาผ้าชุบน้ำโค้กหุ้มไว้หลายๆ นาที จะบิดจุดขวดออกได้โดยง่าย

ถ้าจะปิ้ง moist ham ให้เทโค้ก 1 กระป๋อง เทลงในกระทะ
ห่อแฮมด้วยอะลูมิเนียมฟอล์ยแล้วปิ้ง 30 นาที
ุก่อนแฮมจะสุก แกะฟอล์ยออก ปล่อยให้น้ำเนื้อหยดลงไป
ผสมกับน้ำโค้กในกระทะ ท่านจะได้น้ำเกรวี่สีน้ำตาล
การล้างคราบไขมันจากเสื้อผ้า ให้ใช้น้ำโค้ก 1 กระป๋อง
ผสมกับผงซักฟอกในปริมาณที่จะใส่ในเครื่องซัก
ปล่อยให้ซักด้วยเครื่องตามปกติ
น้ำโค้กจะช่วยกำจัดคราบไขมันได้สะอาดหมดจด
ท่านสามารถผสมน้ำโค้กลงในน้ำล้างกระจกรถยนต์
ฟอสฟอริคแอซิดในโค้ก จะช่วยทำความสะอาดกระจกได้ดี
น้ำโค้กมี pH 2.8 ถ้าตัดเล็บแช่ในน้ำโค้ก 4 วัน จะละลายหมด
เวลาขนย้ายน้ำโค้กเข้มข้น เพื่อส่งตามโรงงานทั่วโลก ที่รถ truck
จะต้องติดป้ายไว้ว่า ' มีวัตถุที่มีกรดกัดกร่อนได้ เป็นอันตราย '
บริษัทขายน้ำโค้ก!
ใช้น้ำโค้กทำความสะอาดเครื่องยนต์ของรถ
truck มานานประมาณ 20 ปีแล้ว
ท่านยังอยากดื่ม โค้ก
หรือดื่มน้ำกัน..เลือกเอาเอง 

แปลโดย ศ.กิตติคุณ นพ.เสก อักษรานุเคราะห์
หน่วยงาน : ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
□□□□

สิบจุดอ่อน ที่เป็น "อันตรายที่สุด" ของคนไทย

สิบจุดอ่อน ที่เป็น "อันตรายที่สุด" ของคนไทย

อ่านแล้วแทบอ้วก นักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า ยกเปรม เหนือชั้น เทียบเท่าลีกวนยู ฮ่วย!! จะขำไปถึงไหน????

Source: http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1252056664

เขียนไว้เมื่อปี  52 ตอนทีเปรมกำลังออกมาประกันความดีให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกมะม่วงจำบ่มครับ  จริง ๆ หากจะยกระดับใครไปเทียบกับลีกวนยู ในเรื่องบารมีและผลงานทางการเมือง ของไทยไม่มีใครเทียบเท่ากษัตริย์ภูมิพลแน่ แต่เอาไปเปรียบเนี่ย จะเป็นแบบ  compare (เอาด้านเหมือนมาวิเคราะห์)  หรือ contrast เอาส่วนต่างมาแยกแยะและขยาย


สนใจข่าวและทิศทางการเมืองประมาณเอียงขวา ก็ไปอ่านประชาชาตินะครับ  ... ขอบคุณเจ้าของเรื่องครับ

10 เรื่อง เหมือนต่าง"ป๋าเปรม-ลีกวนยู" 8 ปี ผมพอแล้ว - 31 ปีนานที่สุดในโลก



เครดิตภาพ: ประชาชาติ
updated: 05 ก.ย. 2552 เวลา 09:09:54 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
" ประชาชาติออนไลน์" นำเสนองานวิจัย " สถาบันพระปกเกล้า" เปรียบเทียบ 2 รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อดีตนายกฯ 8 ปี 5 เดือน กับ ลี กวน ยู นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ที่อยู่ในอำนาจนานที่สุดในโลกถึง 31 ปี เปรียบเทียบแบบปอนด์ต่อปอนด์ ชำแหละจุดเด่นจุดด้อยของสองผู้นำ เป็นครั้ง
ช่วงเวลา 8 ปี 5 เดือนของ  ป๋าเปรม หรือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ บนเก้าอี้ นายกรัฐมนตรี  เปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจ การเมืองไทย  ไปอย่างมาก

ขณะที่ 31 ปีของ ลี กวน ยู ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สิงคโปร์ ได้ Big Change สิงคโปร์จากเกาะเล็กๆ กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก
วันนี้  ป๋าเปรม อายุ 89 ปี  ขณะที่ ลี กวน ยู อายุ 86 ปี
ป๋า ไม่มีลูก ไม่มีทายาทการเมืองทางตรง แต่บารมีป๋าคับแผ่นดิน ลี กวน ยู เป็นพ่อของ ลี เซียนลุง  นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ คนปัจจุบัน
2 คน 2 คม มีจุดเหมือนและจุดต่างที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
วันนี้  2 ผู้นำ 2 ผู้ยิ่งใหญ่ ถูกนำมาเปรียบเทียบกันเป็นครั้งแรก ในงานค้นคว้าอิสระของนักศึกษาหลักสูตรผู้นำการเมืองยุคใหม่ สถาบันพระปกเกล้า
 
@  1. นักบริหาร VS มืออาชีพ      พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้บริหารที่รู้จักใช้คนเป็นอย่างดี แยกแยะบุคคลที่ทำงานกับท่าน ไม่ว่าในคณะรัฐมนตรี คณะที่ปรึกษา ปลัดกระทรวงต่างๆ อธิบดี ท่านได้เอาใจใส่ แล้วก็เห็นว่าท่านรู้จักบุคคลต่างๆ ที่ประกอบกันเข้ามาทำงาน ซึ่งคุณสมบัติและเป้าหมายในการทำงานนี้ ยากที่ผู้นำประเทศคนใดจะมีอย่างท่าน ซึ่งปัจจัยนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดอันหนึ่งสำหรับผู้ที่รับภาระเป็นผู้นำประเทศที่จะทำผลงานให้ลุล่วงไปได้เป็นอย่างดี

 สำหรับความสำเร็จทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์คือรัฐบาลนายลี กวน ยู เน้นการให้ "มืออาชีพ" เข้าจัดการเศรษฐกิจของประเทศอย่างเต็มที่ นักการเมืองและคณะรัฐมนตรีจะคุมเฉพาะนโยบายกว้างๆ เท่านั้น จะไม่ไปก้าวก่ายในรายละเอียดของการบริหารงาน นอกจากนี้รัฐบาลยังพยายามชักจูงให้บรรดานักธุรกิจและนักการจัดการที่มีความสามารถโดดเด่นทั้งหลายเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบและบริหารกิจการบ้านเมืองโดยยอมให้บุคคลเหล่านั้นยังคงถือหุ้นของกิจการต่างๆ อยู่ได้ แต่ถ้าเมื่อใดพบว่าบุคคลเหล่านี้ทุจริตหรือบริหารงานเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนตนก็จะไล่ออก และยื่นฟ้องร้องต่อศาล นอกจากนี้รัฐบาลยังจัดระบบภายในประเทศเอื้ออำนวยแก่คนที่มีความรู้ความสามารถให้รู้สึกอยากทำงานให้แก่ส่วนรวมโดยที่ไม่มีระบบเล่นพรรคเล่นพวก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้คนอย่างมืออาชีพจริงๆ

@ 2. คานอำนาจกองทัพ VSซื้อใจข้าราชการ
     พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้บริหารจัดการที่ดี แม้มาจากการเป็นทหาร เป็นผู้นำหน่วยกำลังพลมาโดยตลอด เมื่อเข้ามาบริหารประเทศ สามารถคานอำนาจระหว่างกองทัพกับรัฐสภาได้เป็นอย่างดี ทั้งที่สื่อมวลชนชอบเขียนว่าสมัยท่านเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ แต่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กลับเข้าใจประชาธิปไตยเป็นอย่างดี ทั้งที่มีประสบการณ์มาจากกองทัพ ท่านเป็นคนกลางที่รักษาดุลอำนาจระหว่างรัฐสภากับกองทัพได้ ไม่ให้ก้ำเกินซึ่งกันและกัน ทำให้ประชาธิปไตยคลายตัวไปได้ตลอดระยะเวลา 8 ปี 5 เดือน ท่านสามารถจัดการให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในกรอบได้ ไม่ก้าวล้ำไปมากกว่าที่ควรจะเป็น เช่น เมื่อมีปฏิวัติรัฐประหารอย่างไม่เปิดเผย 2 ครั้ง ท่านก็จัดการได้ เมื่อรัฐสภาก้าวก่ายทหารหรือดำเนินการนอกกรอบ ท่านสามารถตีกรอบประคองให้มีเสถียรภาพทางการเมืองให้รัฐสภาพัฒนาตนเองด้วยการจัดการที่ดีเข้ากับทั้ง 2 ฝ่ายได้
  
 ลี กวน ยู ตระหนักว่า ข้าราชการเป็นตัวจักรสำคัญที่จะทำให้การบริหารประเทศก้าวหน้าหรือล้มเหลว ดังนั้น เมื่อพรรคกิจประชาชนเข้ามาเป็นรัฐบาลจึงทำการปฏิรูประบบราชการ มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทางการเมืองให้แก่ข้าราชการ เพื่อสร้างความสำนึกทางการเมืองและหน้าที่ มีการจัดระบบอัตราเงินเดือนใหม่ โดยเพิ่มเงินเดือนให้กับผู้น้อยและลดเงินเดือนผู้บริหารระดับสูง รัฐบาลสิงคโปร์แถลงว่ารัฐบาลไม่สนใจว่าข้าราชการคนไหนมีวุฒิการศึกษาเป็นเช่นไร ขอให้เป็นข้าราชการที่มีประสิทธิภาพเพียงพอก็จะให้โอกาสก้าวหน้าด้วยกันทั้งนั้น ข้าราชการที่ไร้ประสิทธิภาพจะโดนให้ออกโดยไม่สนใจว่าทำงานมาแล้วกี่ปีหรือมีวุฒิการศึกษาเป็นเช่นไร และรัฐบาลยังวิงวอนให้ประชาชนช่วยกันสอดส่องความประพฤติของข้าราชการทั้งหลายแล้วรายงานให้ทางราชการทราบด้วย ข้าราชการที่ไม่พยายามศึกษานโยบายของรัฐบาล ทำงานสวนทางกับเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้จะถูกให้ออกจากข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงนักบริหารจัดการที่ดีที่จะผลักดันข้าราชการให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศชาติได้อย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย

   @ 3. ไม่สนการเมือง VS กำจัดฝ่ายตรงข้าม  พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รู้จักวิธีในการจัดองค์กรในกระบวนการตัดสินใจได้ เพราะองค์ประกอบของคณะรัฐมนตรีท่านจัดเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกมาจากฝ่ายการเมือง สภาผู้แทนราษฎร พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รู้ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ได้รับการเลือกตั้งมาโดยวิธีใดก็ตาม เขามีภาระหน้าที่จะต้องดูแลผู้เลือกเขา เพราะฉะนั้นนายกรัฐมนตรีคงคาดหวังในเรื่องที่จะทำให้เขานึกถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติไม่ได้ ขณะเดียวกันความรู้ความสามารถของรัฐมนตรีกลุ่มนี้คงคาดหวังสูงไม่ได้ เพราะมาจากการเลือกตั้ง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงมีรัฐมนตรีอีกประเภทหนึ่งที่ไม่สังกัดพรรคการเมือง แต่เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ประวัติไม่เคยด่างพร้อยมีบารมี ได้รับการยอมรับนับถือในวงราชการมาทำงานให้

 แต่การกระทบกระทั่งกันระหว่างรัฐมนตรีทั้ง 2 ฝ่ายอาจจะมีบ้าง ซึ่งพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็ปกป้องให้รัฐมนตรีฝ่ายหลังให้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น แม้บางเรื่องจะประนีประนอมกันบ้าง เพราะความจำเป็นของรัฐมนตรีการเมือง เช่น นโยบายการประกันราคาข้าว มันสำปะหลัง สินค้าเกษตรไม่ได้ผล สูญเสีย แต่บางทีจะต้องทำและดูแลอย่างใกล้ชิด
 การโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง พอถึงจุดหนึ่ง หากเกินไปก็มีการปลดรัฐมนตรีคนนั้นออกไป ด้วย มีหลักฐานอย่างชัดเจน ทำให้รัฐมนตรีการเมืองยำเกรงท่าน ไม่กล้าละลาบละล้วงล่วงเกิน ระมัดระวังไม่กล้าทำอย่างโจ่งแจ้งเหมือนสมัยหลังจากท่านพ้นตำแหน่ง เมื่อมีปัญหาฝ่ายการเมืองรุกขอตำแหน่งเพิ่มและมีปัญหาระหว่างรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองและรัฐมนตรีที่ทำงาน พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็ได้จัดตั้งคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย โดยมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธาน เพื่อให้จำนวนคณะรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายมีจำนวนใกล้เคียงกัน ได้มีการแต่งตั้ง ดร.เสนาะ อูนากูล เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นเลขาธิการฝ่ายเศรษฐกิจ เพื่อให้การทำงานของฝ่ายเศรษฐกิจเข้มแข็งและรัดกุมขึ้น เพื่อให้การพิจารณาเรื่องราวต่างๆ เป็นไปด้วยเหตุและผล ด้วยหลักวิชาการและข้อมูลจริงๆ
 ไม่ใช่โอนเอียงตามกระแสการเมืองของคณะรัฐมนตรีชุดใหญ่ เพราะรัฐมนตรีการเมืองส่วนใหญ่ไม่ชำนาญด้านเศรษฐกิจ
     พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ใช้เวลา 80% ของเวลาทั้งหมดของท่านแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจการเงินการคลังของปรเทศ แต่ใช้เวลาเพียง 20% ในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง เพราะไม่ต้องห่วงพรรคการเมือง หัวคะแนนของท่าน เพราะไม่ได้มาจากพรรคการเมือง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มาจากคนกลาง

     ส่วน  ลี กวน ยู เป็นผู้นำรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยมีเสียงข้างมากในสภาสนับสนุน ซึ่งก็คือเผด็จการโดยสภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง เพราะมีสมาชิกฝ่ายค้านในสภาเพียง 2 คนเท่านั้น ลี กวน ยู มีวิธีการปกครองโดยปราบปรามนักการเมืองฝ่ายค้าน หรือผู้ที่ไม่เห็นด้วย ด้วยการออกกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงภายใน หรือเรียกว่าการปกครองโดยกฎหมาย (Rule By Law) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตย แต่รัฐบาลของลี กวน ยู ได้ใช้กฎหมายฉบับนี้อย่างรุนแรง โดยให้อำนาจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามให้ขังลืมบรรดาผู้ต่อสู้เอกราชของชาติตนได้ เขาใช้กฎหมายฉบับนี้มาสยบฝ่ายค้านคือสมาชิกพรรคบาบิซาน

 นายกรัฐมนตรีลี กวน ยู มีปณิธานอย่างแน่วแน่มั่นคงว่า ตราบใดที่ตนเป็นหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐบาลของตนจะต้องมือสะอาด ไม่มีการคอร์รัปชั่น ทุจริต ปราศจากข้อครหา มลทินใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังได้มีการออกกฎหมายว่าด้วยการรักษาความสะอาด ซึ่งมีบทลงโทษปรับไว้สูงมากอย่างเฉียบขาด โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร จนสร้างประเทศสิงคโปร์ให้เป็นเมืองที่สะอาดปราศจากขยะ มีระเบียบวินัยต่อพลเมืองของสิงคโปร์

  @ 4. เข้าใจสังคมไทย VS  วิสัยทัศน์กว้างไกล
 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เข้าใจสังคมไทยดีกว่านักการเมือง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อธิบายตลอดเวลาว่าชนบทโครงสร้างเป็นอย่างไร ความรู้สึกนึกคิดของประชาชนเป็นอย่างไร มีสภาพเศรษฐกิจความเป็นอยู่อย่างไร เมื่อพวกเราได้ร่างแนวความคิดในการที่จะให้มีแผนพัฒนาชนบทในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 ท่านกรุณาให้คำแนะนำพวกเรามาก มิเพียงให้พวกเราให้ความเห็นท่านเท่านั้น ท่านให้ข้อมูลความรู้ ข้อเท็จจริงของชนบทอย่างมาก เช่น วัฏจักรความยากจนในชนบท คือความไม่รู้ ความเจ็บป่วย ความยากจนนั้นเป็นตัวกำหนดซึ่งกันและกัน

ความไม่รู้นั้นไม่รู้ไปหมด แม้แต่การจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ตนเองมีอยู่ ท่านเคยเล่าว่า เมื่อครั้งเป็นทหารอยู่ในสนามรบ เมื่อทหารหิวน้ำเข้าไปในหมู่บ้านขอมะพร้าวอ่อน ชาวบ้านตัดให้หมดทุกต้น เมื่อถามเขาว่าเอาเท่าไหร่ เขาบอกไม่เคยขาย ก็ไม่เอาละกัน ให้ฟรี เขามีทรัพยากรอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ จึงถูกคนภายนอกเอารัดเอาเปรียบทำให้จน และเจ็บป่วย ว่ากันว่าความจนวัดได้จากปริมาณเม็ดโลหิตแดงในเส้นเลือด หากจางมาก จนมาก จางน้อย จนน้อย ท่านได้สนับสนุนให้โครงการพัฒนาชนบทบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 5 เพราะฉะนั้น แม้ท่านจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มิได้อ้างว่ามาจากประชาชน แต่ท่านเข้าใจประชาชน สภาพปัญหาเศรษฐกิจ สังคมของคนยากจนในชนบทเป็นอย่างดี

ลี กวน ยู เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและเข้าใจประเทศสิงคโปร์ได้ดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการที่ประเทศสิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศอย่างมากนั้นไม่ใช่เพราะการที่ประเทศตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หากแต่การมีผู้นำประเทศอย่างนายลี กวน ยู ก็นับว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าผู้นำประเทศไม่สามารถใช้จุดยุทธศาสตร์นั้นให้เกิดประโยชน์เต็มที่กับประเทศ การพัฒนาก็ไม่อาจประสบผลสำเร็จได้ เพราะด้วยภูมิศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ได้มีเฉพาะที่ประเทศสิงคโปร์เท่านั้น หากแต่ประเทศอียิปต์และปานามาก็อยู่ในภูมิศาสตร์ที่คล้ายคลึงกับสิงคโปร์ ซึ่งมีลักษณะที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการค้าด้วยเหมือนกัน แต่การพัฒนาประเทศก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าสิงคโปร์

กล่าวได้ว่าที่ตั้งของประเทศเป็นเพียงปัจจัยรองเท่านั้น ปัจจัยหลักที่ทำให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าได้นั้นก็คือผู้นำ และสิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศได้นั้นเกิดจากฝีมือของลี กวน ยู อย่างแท้จริง ลักษณะการบริหารประเทศของลี กวน ยู อาจไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนหลายคน แต่เขาก็สามารถทำให้สิงคปร์เปลี่ยนจากประเทศที่ยากจน อ่อนแอ กลายมาเป็นประเทศที่แข็งแกร่ง และมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับแนวหน้าของโลกได้

@ 5.  ป๋าเปรม 8 ปี 5 เดือน VS  ลีกวนยู 31 ปี 
 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนักประชาธิปไตยตัวยง มีจิตสำนึกที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่าผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง 8 ปี 5 เดือน ท่านไม่เคยใช้อำนาจเผด็จการ ใช้อำนาจเพื่อความเป็นธรรมและใช้ธรรมเป็นอำนาจ แม้ว่าจะมีกองทัพหนุนอยู่ก็ตาม แต่การตัดสินปัญหาแต่ละวิธี การมองปัญหา วิธีแก้ปัญหา ท่านมองประโยชน์ของประชาชนและของประเทศเป็นที่ตั้ง มิได้มองประโยชน์จากพรรคใดพรรคหนึ่ง เมื่อกองทัพหนุนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ไม่ได้เข้าข้างกองทัพในการจัดงบประมาณ หากมีการออกนอกกรอบ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประชุมลงโทษ ไม่ใช่ว่ามาจากทหารแล้วเข้าข้างทหาร เช่น หลายกรณี ทั้งการซื้ออาวุธ หรือฝูงบิน

 นอกจากนั้น พลเรือนซึ่งดูแลเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศสามารถออกความเห็นได้เต็มที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้เรียกผู้นำเหล่าทัพมาฟังชี้แจงเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จัดให้พบที่ทำเนียบ แต่อาจไม่เป็นข่าว วิธีทำเช่นนี้ หากเข้าข้างกองทัพคงไม่ทำ เมื่อฝ่ายการเมืองสมัยนั้นเสนอโครงการ ถ้าเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวง ท่านก็กีดกันขัดขวางโดยวิธีการปลดรัฐมนตรี ที่มีข่าวบ่อยครั้งมาก

 ในช่วง 31 ปี ที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของลี กวน ยู บริหารประเทศอย่างยาวนาน แม้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกจะมีการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่จากการที่เขาได้ประกาศสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเอาจริงเอาจัง และลิดรอนอำนาจนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างเด็ดขาด ถึงกับมีผู้ขนานนามระบอบการปกครองของสิงคโปร์ว่าเป็น "เผด็จการประชาธิปไตย" หลังจากอยู่ในอำนาจมาเป็นระยะเวลานานจนได้ชื่อว่าเป็น "นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลก" ลี กวน ยู เริ่มวางมือจากการบริหารประเทศโดยตรงตั้งแต่ปี 2532 โดยให้นายโก๊ะ จ๊ก ตง รองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ตัดสินนโยบายสำคัญของรัฐบาลแทน แต่ในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของลี กวน ยู

     @ 6. อดทนอดกลั้นสูง VS โผงผาง เคร่งเครียด
 พลเอกเปรม มีความอดทนอดกลั้นสูง และเข้าใจวิธีที่จะแก้ไขบางอย่าง เช่น กรณีที่ท่านเข้ามาครั้งแรกถูกสื่อปรามาสดูถูกเหยียดหยาม กล่าวหาโจมตี ถึงขนาดเรียกร้องให้ใส่ชุดดำกันทั้งเมืองเพื่อขับไล่ท่าน และได้รับสมญานามว่าเตมีย์ใบ้ หน้าเบื่อบ้าง เป็นนายกรัฐมนตรีที่น่าเบื่อที่สุด บางครั้งถูกกล่าวหาใส่ความในเรื่องส่วนตัว ซึ่งไม่มีมูลความจริง ท่านก็อดกลั้น ซึ่งไม่เชื่อว่าจะอดกลั้นได้มากขนาดนั้น อันแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง แม้กระทั่งการถูกชกที่สนามกีฬาหัวหมาก เมื่อคราวที่ท่านไปงานของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ท่านก็ไม่ได้แสดงออกถึงความโกรธเคือง อาฆาตมาดร้าย แต่กลับแสดงความเมตตาผู้ที่ทำร้ายท่าน กลับดูแลและเข้าใจพฤติกรรมของเขา หรือว่ากรณีหลายกรณี ท่านไม่แสดงความอาฆาตมาดร้าย

 ส่วน ลี กวน ยู มีทักษะทางด้านอารมณ์ที่ไม่แน่นอน แตกต่างจาก  พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ทำให้เกิดปัญหาตามมาหลายประการ ได้แก่
 - ความเป็นคนโผงผางต่อกรณีการกล่าวประณามรัฐยะโฮร์ในมาเลเซียว่ามีชื่อเสียงเสื่อมเสียเพราะมีการฆ่ากัน มีแต่อันธพาลและโจรขโมยรถทั้งนั้น จนเขาต้องกล่าวขอโทษข้ามพรมแดน
 - ความเป็นคนเคร่งเครียดจริงจังไปหมดทุกเรื่อง
 - ความไม่อดทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น
 - ความไม่ไว้วางใจผู้อื่น เช่น กรณีโก๊ะ จ๊ก ตง ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี จะตัดสินใจอะไรจะต้องอยู่ในสายตาของลี กวน ยู ทุกเรื่อง และด้วยความที่ลี กวน ยู เป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรคกิจประชาชน เมื่อมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น แทนที่จะให้พรรคตัดสินใจแก้ปัญหา ลี กวน ยู จะต้องเป็นผู้ชี้ขาดเอง อย่างไรก็ตาม ด้านหนึ่ง ลี กวน ยู เป็นคนมีความอ่อนโยน มีมนุษยสัมพันธ์ การแสดงออกต่อสื่อมวลชน เช่น การช่วยเหลือผู้โดยสารที่ติดในรถกระเช้า ความเป็นวีรบุรุษ

  @ 7.  เงียบถอยเข้าบ้านเมื่อเกิดวิกฤต
 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้มีศีล สมาธิ ปัญญา ในการแก้ไขปัญหาวิกฤตต่างๆ ในรอบ 8 ปี 5 เดือนที่ท่านอยู่ เมื่อมีวิกฤตการณ์มากมาย ท่านจะเงียบถอยเข้าบ้านเมื่อเกิดวิกฤต ไม่แสดงอาการตระหนก ค่อยคิดปรึกษาหารือบุคคลที่เกี่ยวข้อง และสามารถค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาให้สำเร็จลุล่วงไปได้เสมอ การที่คนจะเป็นอย่างนี้ได้ ขั้นแรกต้องมีศีล ไม่มีใครสงสัยเลยว่าท่านทำได้ เพราะท่านไม่เคยทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง ไม่เคยทุศีล งานบางอย่างยังพูดไม่ได้ ท่านก็ไม่พูด เมื่อรู้ว่าจะพูดตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ด้วยเหตุนี้จึงพูดมากไม่ได้ ก่อนจะพูดอะไรในภาวะเศรษฐกิจ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ต้องตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก ถ้าเสียหายก็ไม่พูด ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงสร้างบารมีได้อย่างรวดเร็วในฐานะนายกรัฐมนตรี และเมื่อท่านปลอดจากการทุศีล ท่านจึงมีความเชื่อมั่น เมื่อมีความเชื่อมั่น ทำให้มีสติ เมื่อมีสติ สมาธิ ก็ไม่ตระหนก แม้เหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต ท่านก็ไม่ตระหนก เช่น มีหลายครั้งที่เหตุการณ์เป็นอันตรายถึงชีวิต ท่านตั้งสติมั่นอยู่เสมอ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็มีปัญญา มีหนทางแก้ไขปัญหา

   @ 8. เตือน ไม่ให้คนที่ทำงานใกล้ชิด เหลิง
  พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ไม่เคยส่งเสริมคนที่ทำงานใกล้ชิดให้เหลิง ให้ระมัดระวังอยู่เสมอ ความคิด ความอ่าน คำพูด คำจา อย่างเช่น ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ที่ทำงานด้านเศรษฐกิจกับท่าน กล่าวว่า ท่านไม่เคยแสดงออกว่าฟังเราคนเดียวหรือเชื่อเรา ทุกครั้งที่ไปแสดงนโยบายเศรษฐกิจ ท่านจะซักถามแง่มุมต่างๆ อย่างละเอียด เพื่อไม่ให้เราตั้งตัวอยู่ในความประมาทในการชี้แจงเศรษฐกิจ เราต้องเตรียมตัวอย่างหนัก เตรียมข้อมูลอย่างดี นึกถึงทุกแง่ทุกมุมเท่าที่จะนึกได้ มิฉะนั้นจะตกม้าตาย มีที่ปรึกษาหลายท่านถูกซักไปซักมาตกม้าตายตลอด 8 ปี 5 เดือน เท่ากับเป็นการฝึกความรับผิดชอบต่อความคิดเห็นของตนเอง ต้องเตรียมพร้อมที่จะชี้แจงเรื่องเศรษฐกิจในทุกแง่มุม ท่านเปิดโอกาสให้ชี้แจงอย่างเต็มที่ แม้เราอายุยังน้อย ได้ให้เกียรติแก่เรา และสอนให้รู้จักรับผิดชอบในภารกิจของเรา

   @ 9. ไม่ใช้เวลาฟุ่มเฟือยไร้สาระ VS   เปลี่ยนแปลงประเทศ
  พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีลักษณะของผู้นำประเทศชาติให้พ้นวิกฤต โดยศึกษาเรื่องต่างๆ ตลอดเวลา จัดเวลา ไม่ใช้เวลาฟุ่มเฟือยไปกับเรื่องไร้สาระ ท่านศึกษาเรื่องต่างๆ ยากๆ ในทางเศรษฐกิจ การเมือง ปัญหาความมั่นคงของประเทศ ความขัดแย้งของคนในเมือง คนในชนบท และท่านทำความเข้าใจเป็นอย่างดี ไม่ฉาบฉวย แม้ว่าในยุคของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จะมีปัญหารุมเร้าทุกด้าน ทั้งความมั่นคง ความขัดแย้งระหว่างประเทศ วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กลับเข้าใจปัญหาต่างๆ แสดงว่าได้ใช้เวลาศึกษาปัญหาไตร่ตรองตลอดเวลา พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขยันด้านความคิด หาข้อมูล ไตร่ตรอง ชีวิตในระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรีไม่เคยใช้เวลาในการมีความสุขส่วนตัว มีตารางการทำงานแน่นอนว่าตอนเช้าทำอะไร กลางวันทำอะไร เย็นทำอะไร เข้านอนเมื่อไร ติดตามสื่อทุกประเภท รวมถึงสื่อต่างประเทศตลอดระยะเวลา 8 ปี 5 เดือน ในช่วงภาวะวิกฤต พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แก้ปัญหาได้ลุล่วงทีละเปลาะจนประสบความสำเร็จ จนเป็นที่ยอมรับของคนทั้งในและนอกประเทศเป็นอย่างดี ท่านมีระเบียบวิธีคิดชัดเจน วิชาการทางทหารหรือพลเรือน ระเบียบวิธีคิดคล้ายกัน มีขั้นตอนเรื่องเหตุและผล วิธีคิด ท่านมีความเป็นนักวิชาการและมีประสบการณ์
ส่วน ลี กวน ยู ได้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงให้แก่สิงคโปร์ เขาสามารถพลิกฐานะสิงคโปร์จากเกาะเล็กๆ ที่ไร้ทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นศูนย์กลางการค้าและการเงินที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น เนื่องมาจากลี กวน ยู และทีมงานเข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริง นั่นคือการที่เศรษฐกิจสิงคโปร์อยู่ภายใต้การผูกขาด ซึ่งเดิมมีคาร์เตลของอังกฤษ และนายธนาคารของสิงคโปร์เป็นเจ้าพ่อผูกขาด ลี กวน ยู ได้ทำลายระบบผูกขาดนี้ แล้วเปิดประเทศสิงคโปร์ให้ธนาคารของประเทศต่างๆ เข้ามาตั้งดำเนินการแข่งขันโดยเสรี เช่น ธนาคารเชสแมนฮัตตัน ของร็อกกี้ เฟลเลอร์ และธนาคารนาร็อดนีของโซเวียต และอนุญาตให้ทุกธนาคารรับฝากเงินเป็นเงินตราสกุลต่างๆ ได้โดยไม่จำกัด สิงคโปร์ได้เชิญชวนทุนต่างประเทศมาลง โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่รับสินบน ไม่คอร์รัปชั่น รวมถึงเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพในการทำงานบริการอย่างรวดเร็วทันใจ ทำให้เป็นที่เชื่อถือทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจของสิงคโปร์เป็นที่ยอมรับและยกย่องแก่นานาชาติในที่สุด

  @ 10. รัฐบุรุษ ผู้ก้าวลงจากหลังเสืออย่างสง่างาม
  พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่ลงจากตำแหน่งได้อย่างสง่างาม ท่านรู้ว่าท่านได้ปฏิบัติภารกิจต่อประเทศชาติในการแก้ไขปัญหาประเทศชาติหลายเรื่องได้สำเร็จลุล่วง ไม่ว่าความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจย่ำแย่ได้ลุล่วงสู่ภาวะดีแล้ว ระบรัฐสภาเข้มแข็ง ท่านรู้เวลาเหมาะสมที่จะก้าวลงจากตำแหน่งโดยไม่หวงแหนแต่ประการใด ก่อนก้าวลงจากตำแหน่ง ท่านขอโหวตเสียงจากที่ปรึกษาทุกคนเป็นเสียงลับ ให้เขียนในกระดาษถึงผลดีผลเสียในการก้าวลงจากตำแหน่ง ใส่ซองลับให้ท่านเป็นรายบุคคล ห้ามปรึกษากัน แล้วส่งให้ท่าน พรรคการเมืองเสนอให้ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวของประเทศไทยที่ก้าวลงจากตำแหน่งอย่างสง่างาม คงไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดก้าวลงจากตำแหน่งได้สง่างามขนาดนี้

   ลี กวน ยู เป็นผู้มีชื่อเสียงควบคู่มากับสิงคโปร์ที่เป็นเอกราช เป็นนายกรัฐมนตรีที่นานพอที่จะทำให้ผู้คนมีความเคยชินเมื่อเอ่ยถึงสิงคโปร์ เขาได้รับยกย่องว่าเป็นรัฐบุรุษจากนานาประเทศ ในฐานะนักการเมืองผู้ประสบผลสำเร็จในการสร้างสิงคโปร์ให้เป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสร้างสภาพแวดล้อมให้ชีวิตมีคุณภาพ

คลิปสะเทือนใจ สัมภาษณ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ทหารฆ่าประชาชน ที่วัดปทุมฯ 19 พ.ค. 2553



เครดิต เพจ กูต้องได้สิบล้านจากทักษิณฯ คลิปสะเทือนใจ สัมภาษณ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ทหารฆ่าประชาชน ที่วัดปทุมฯ 19 พ.ค. 2553
- เวลาหกโมงเย็นกว่าๆ ฟ้ายังไม่มืดมองเห็นทุกอย่างชัดเจน
- ทหารใช้สไนเปอร์ (พูดถึงสไนเปอร์ทุกคนคงนึกภาพออก ว่ามันสำหรับส่องแล้วยิงโดยหวังผลสังหาร)
- คนที่ตาย คนที่โดนยิงติดตรากาชาดทุกคน ชัดเจน!!
- ผลชันสูตรผู้ตาย กระสุนเข้าจุดสำคัญทุกจุด ศรีษะ คอ หน้าอก ฯ
- พยานเห็นคนโดนยิงแล้วลากศพขึ้นรถ อย่างน้อย 4 คน
                                                                                 


เมื่อเผด็จการปล้นแผ่นดินอีสาน...เหมืองแร่ บ่อน้ำมัน ฯลฯ พี่น้องอีสานจะทำอย่างไร?




อีสานมีระดับความยากจนมากที่สุด?
อีสานมีโสเภณีเยอะที่สุด?
แต่...
อีสานกลับเป็นแหล่งพลังงานและแร่ธาตุที่มหาศาลของประเทศ
อีสานเป็นแหล่งแรงงานสำคัญของประเทศ
อีสานมีนักกีฬาเก่งกาจป้อนประเทศในระดับสูงสุดมากที่สุด
อีสานมีอาหารอร่อย ๆ ที่ตีตลาดไปทั่วโลก
อีสานเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดในโลก

แล้วพี่น้องจะยอมให้เผด็จการดูทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคลอย่างย่ามใจหรือ?















"ทหาร"จับตา12 แกนนำนักศึกษา แต่พลเมืองยัง"โต้กลับ"

"ทหาร"จับตา12 แกนนำนักศึกษา แต่พลเมืองยัง"โต้กลับ":  Jom Voice





ไม่มีวันที่เผด็จการจะกดหัวคนไทยได้ทุกคน และได้ตลอดไป
และที่สำคัญวันนี้ เผด็จการกำลังจะปกครองคนไทยไม่ได้อีกแล้ว
เสียงต่าง ๆ ที่ถูกกด จึงทะลุแผ่นดินขึ้นมา เหมือนเห็ดที่กำลังเต็มแผ่นดินในเร็ววัน
เพียงแต่ว่าเห็ดนี้ ไม่ใช่ขึ้นมาให้เผด็จการเด็ดกิน แต่เป็นเหตุคุณธรรม
ที่จะล้มล้างความชั่วให้สิ้นไป พร้อมสถาปนาแผ่นดินใหม่ที่ไร้รากเหง้าเผด็จการ

ฮุย เล ฮุย... !!

คนไทยต้องอ่าน! - "ยุทธการรุมยิงนกในกรง" โดย พล.อ.อดุล อุบล



Credit: มติชนสุดสัปดาห์
ฉบับประจำวันที่ 7-13 มีนาคม 2557

ฝากไว้ ให้ตราตรึง
พล.อ.อดุล อุบล

--------------

ยุทธการ "รุมยิงนกในกรง"

--------------


ผมขออนุญาตอีกครั้งหนึ่งครับ ด้วยที่ผมคงต้องเขียนอะไรแรงๆ ลงไปในตอนนี้ เนื่องจากความรู้สึกที่อดสูและสมเพชในบุคคลหลายคนที่ไม่ควรจะเป็นได้ถึงตำแหน่งเหล่านั้น

มันเป็นเรื่องที่พวกเราคงทราบดีกันแล้วจากสื่อเป็นเรื่องที่ hot ที่สุดเรื่องหนึ่งในสังคมตอนนี้ และจะเป็นเรื่องที่มีผลในทางคดีความกันไปอีกนาน และอาจจะเป็นความแตกแยกภายในชาติอีกระดับหนึ่ง ถ้าแก้ไขกันไม่ถูกต้อง

ผมไม่ได้รับหนับสือเสนาธิปัตย์มาเป็นปี ทั้งๆ ที่จ่ายเงิน (โดนหักโดยอัตโนมัติ) มาตลอด ก็ไม่ทราบเรื่องราวอัปยศเช่นนี้ มาทราบก็ต่อเมื่อมีการออกมาวิจารณ์กันทางสื่อเรียบร้อยแล้ว และก็มีทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องโทรศัพท์มาถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย

ทั้งพี่และน้องเหล่านั้นพูดเหมือนกันว่า "มันเป็นทหารกันหรือเปล่าวะ" สามารถออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้อาวุธสงครามที่จัดหามาจากภาษีอากรของประชาชน สังหารประชาชนมือเปล่า

แล้วยังมีหน้ามาวิเคราะห์บทเรียนจากการปฏิบัติการนั้นว่าสำเร็จอย่างเลอเลิศสรรเสริญและชื่นชมกันราวกับ"วีรบุรุษสงคราม" ผู้พิชิตชัยชนะในสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชน ภายในชาติของตนเองที่มีแต่มือเปล่า และเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง และคนแก่

ผมอยากจะทราบว่า ถ้าผู้ที่มาร่วมชุมนุมเหล่านั้นถืออาวุธมาจากบ้าน อย่างน้อยปืนสั้นหรือปืนยาวคนละกระบอกพร้อมกระสุนตามมีตามเกิด ภาพมันจะเป็นอย่างนี้ไหม

บางคนบอกว่า การวิเคราะห์ "บทเรียนจากการกระชับวงล้อม" (ในหนังสือเสนาธิปัตย์) ผู้วิเคราะห์ถูกสั่งให้กระทำเพื่อเป็นการเอาใจ (มันก็ประจบสอพลอนั่นแหละวะ) ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะถูกกระทำขึ้นเพื่อเป็นการเอาใจ หรือเพื่อการเป็นการนำไปใช้ฝึกและศึกษา หรือเป็นองค์ความรู้ทางวิชาการ หรือเพื่อเป็นการอยากจะบอกความจริงของผู้วิเคราะห์ก็ตาม มันก็เป็นประวัติศาสตร์อัปยศของกองทัพอยู่ดี

ผมอยากจะรู้ว่าเราจะเอาประสบการณ์ องค์ความรู้ หรือ ผลแห่งความสำเร็จนี้ไปอวดใครที่ไหน

อย่าว่าแต่กับประชาชนภายในชาติเลย ต่อให้ทหารต่างชาติและสังคมโลก เขาคงจะต้องสมเพชกองทัพไทยแน่

ผมมีความภาคภูมิใจมากในอดีตที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ทั้ง 2 หน่วยนี้ คือ อาจารย์อำนวยการส่วนวิชายุทธวิธี รร.เสนาธิการทหารบก

และก่อนหน้าที่จะเป็นพลเอกนี้ ผมเป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นตำแหน่งที่เขาขนานนามกันว่า "ครูใหญ่ของกองทัพบก"

ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าหน่วยที่ผมภาคภูมิใจจะทำเอกสารทางวิชาการออกมาได้แบบนี้

ผมอยากจะถามว่า พวกท่านมีความรู้สึกเป็นวีรบุรุษและมีความภาคภูมิใจมากนักหรือกับความเป็นจริงเหล่านี้

1. ท่านใช้กำลังทหาร 4 กองพล ซึ่งเท่ากับ 1 กองทัพน้อย (corps) ที่กองทัพ US ใช้เป็น Main effort (ME) ในการขับไล่กองทัพอิรักออกจากการยึดครองประเทศคูเวต แต่พวกท่านเอามาใช้ล้อมปราบประชาชนที่ไม่มีอาวุธ และเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง และคนแก่

2. ท่านใช้พลซุ่มยิงทั้งกองทัพ รุมยิงเป้าหมายผู้ชุมนุมที่ถูกล้อมอยู่ ดุจดัง ยิงนกในกรง

3. ท่านประกาศว่าเป็นการทำสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชนภายในชาติด้วยกำลังรบผสมเหล่า ทั้งทหารราบ ทหารม้ายานเกราะ หน่วยบิน พลซุ่มยิง หน่วยรบพิเศษ หน่วยส่งทางอากาศ ขาดแต่อาวุธปืนใหญ่ นี่ยังไม่นับหน่วยข่าวกรองอีกจำนวนมาก

4. ท่านมีความภาคภูมิใจว่ามีการวางแผนประณีตมีการซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี

5. ท่านให้ข้อมูลที่ทำให้แน่ใจได้ว่ามีการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารเป็นอย่างดี เพราะทั้งรัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพ มีการสั่งและควบคุมการปฏิบัติการอย่างสมบูรณ์แบบตามลำดับสายการบังคับบัญชา (Chain of Command)

6. ท่านชี้ให้เห็นถึงการใช้กระสุนจริงเป็นผลดีต่อขวัญและกำลังใจของทหาร โดยเฉพาะมีการประกาศเขตใช้กระสุนจริงใน down town ของ กทม.

แค่นี้ผมก็อยากจะอ้วกแล้วครับ

ผมคิดว่าท่านกำลังจะทำให้นายทหารรุ่นหลังๆ เข้าใจผิดไปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นบทบาทและหน้าที่ของทหารของชาติอย่างแท้จริง หรือก็เพราะไอ้ชัยชนะแบบนี้เองหรือเปล่าที่ทำให้หลงคิดว่ารบเก่งกันทั้งกองทัพอยู่ทุกวันนี้

เคยคิดในมุมมองอื่นกันบ้างหรือไม่ว่าเหตุการณ์นี้ต้องทำบทเรียน (Lesson Learn) แน่นอน

แต่ทำอีกด้านหนึ่งคือวิจารณ์ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อีก

และถ้ามันเริ่มมีอาการเราจะหยุดอาการเหล่านั้นตั้งแต่แรกอย่างไร

จะดับเหตุแห่งความขัดแย้งในสังคมตั้งแต่แรกได้อย่างไร

เมื่อถึงขั้นที่การควบคุมจะเป็นไปไม่ได้แล้วใครจะเป็นฝ่ายเสียสละระหว่างประชาชนส่วนใหญ่หรือรัฐบาล

บทวิเคราะห์ของ ยศ.ทบ. กรณีนี้ไม่ได้อะไรแก่สังคมนอกจากการขยายช่องว่างของความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมไทยให้มากขึ้นไปอีก และได้คิดกันบ้างหรือเปล่าว่าข้อเท็จจริง (Facts) ที่ท่านเอามาเป็นหลักฐานในการวิเคราะห์นั้น มันจะกลับมาเป็นพยานหลักฐานว่าบรรดาฝ่ายการเมืองและผู้นำทหารกล่าวเท็จกับสาธารณชนไว้อย่างไรบ้าง แล้วมันจะนำไปฟ้องเป็นคดีความกันได้มากน้อยขนาดไหน

ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งคือ มันเป็นการยอมรับกับผู้ชุมนุมว่ารัฐบาลไม่เคยมีความมุ่งหมายในการเจรจานอกจากการสลายการชุมนุมเท่านั้น

จึงเท่ากับส่งสัญญาณให้ฝ่ายชุมนุมตระหนักว่าในการชุมนุมครั้งต่อไป ไม่ว่าจะชุมนุมด้วยความสงบและปราศจากอาวุธหรือไม่ พวกเขาจะต้องถูกปราบปรามด้วยความรุนแรงและด้วยกำลังทหารแน่นอน

ดังนั้น จะเป็นอะไรไปถ้าพวกเขาจะนำอาวุธประจำบ้านตามมีตามเกิดติดตัวมาด้วยเพื่อป้องกันตนเอง แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น

ผมไม่อยากนึกถึงภาพเลย (เขียนเมื่อ 30 มิถุนายน 2554)

ปฏิบัติการ "ป้ายร้าย - ใส่สี"

ผมได้อ่านบทความเรื่อง บทเรียนจากการปฏิบัติการข่าวสาร กรณี ปปส. ในเมือง (มีนาคม-พฤษภาคม 2553) ที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือเสนาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องจากบทเรียนยุทธการกระชับวงล้อม อดไม่ได้ที่จะต้องเขียนมาเสนอความเห็นและแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนๆ และบุคคลทั่วไปครับ

ผมเชื่อว่าทุกคนเข้าใจที่มาที่ไปของเหตุการณ์ มีนาคม-พฤษภาคม 2553 และรู้ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมากมายปานใด มันส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือในสถาบันต่างๆ โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม สถาบันการเมืองการปกครอง และสถาบันความมั่นคงของประเทศ (ทหาร, ตำรวจ) อย่างไร

และที่สำคัญที่สุดคือ ความแตกแยกของพลเมือง (country men) ทุกหัวระแหงอย่างที่ผมไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต จนกระทั่งวันนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับไปเหมือนเดิมได้อีกหรือไม่

เห็นไหมล่ะครับว่าการใช้กำลังทหารซึ่งเป็นของทุกคนภายในชาติไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด สีใด ยากดีมีจนเพียงใด ออกมาจัดการกับประชาชนภายในชาติอีกฟากหนึ่ง ซึ่งตรงข้ามกับผู้มีอำนาจในประเทศมันมีแต่ผลเสียเกินกว่าที่จะคาดคิดนัก

เพราะเหตุว่าในท้ายที่สุดแล้ว มันจะไม่มีฝ่ายใดชนะ มันจะมีแต่ความพ่ายแพ้ของทุกฝ่ายอย่างถาวร

เมื่อนำทหารถืออาวุธออกมา ความตึงเครียดของทุกฝ่ายย่อมทวีขึ้นแน่นอน เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้นจะส่งผลสำคัญให้ฝ่ายที่สูญเสียโกรธ เกลียด ชิงชัง เคียดแค้น ความต้องการหาความยุติธรรมให้ฝ่ายตนด้วยการแก้แค้นทุกวิถีทางก็จะเกิดขึ้น

สำหรับฝ่ายที่ทำให้สูญเสียจะเกิดความกลัวความผิดจากการกระทำของตนเองก็จะต้องป้องกันทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องพ้นความผิด

สถานการณ์เช่นนี้จะจบลงเมื่อใดและอย่างไรคงยากที่ผู้ใดจะตอบได้เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องแสดงให้ทุกฝ่ายได้เห็น

บรรดาประเทศที่ศิวิไลซ์เขาจึงต้องกันกองทัพประจำการของชาติของเขาไว้ไม่ให้ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เพื่อประกันไม่ให้กองทัพต้องตายไปจากหัวใจของประชาชนพี่น้องร่วมชาติ

เมื่อเรานำกองทัพถืออาวุธออกมาและสถานการณ์ได้พัฒนาตัวของมันเองไกลออกไปจนเกิดความรุนแรง กองทัพก็ต้องนำวิธีการทางทหารทุกประการออกมาใช้เพื่อให้ได้ชัยชนะ

โดยไม่ได้คิดว่าตามปกติแล้ววิธีการทางทหารนั้นเขาใช้กับข้าศึกที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาชนและประเทศชาติของเรา เดียวกับการที่กองทัพ และ ศอฉ. ได้นำการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) หรือ IO มาใช้ในการสนับสนุนการสลายมวลชนใน มีนาคม-พฤษภาคม 2553 IO นั้นเป็นกระบวนการทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้อง ใช้ทั้งความดีและความชั่วร้าย ใช้ทั้งความจริงและการโกหกหลอกลวงที่ฝ่ายเรากระทำต่อข้าศึกเพื่อให้ได้ผลทั้งทางกายภาพและทางจิตวิทยา โดยเฉพาะต่อข้าศึก ทำให้ข้าศึกตกเป็นเบี้ยล่างของฝ่ายเราในทุกด้านของการปฏิบัติการทางทหาร

เมื่อฝ่่ายเรากระทำต่อข้าศึกมันไม่เป็นอะไรหรอกครับเพราะฝ่ายข้าศึกเขาก็ยอมรับกฎกติกาในเรื่องนี้ของการทำสงครามซึ่งฝ่่ายเขาก็จะทำกับฝ่่ายเราซึ่งเป็นข้าศึกของฝ่่ายเขาเช่นกัน

เมื่อเสร็จสิ้นสงครามไม่ว่าฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะก็จบกันไปไม่ได้มาเกี่ยวข้องกันหรือมีความสัมพันธ์กัน ต้องอยู่ด้วยกันในฐานะคนร่วมชาติเดียวกัน

แต่เมื่อฝ่ายกองทัพ และ ศอฉ. นำเรื่องของ IO ตามที่กล่าวมาแล้วมาใช้กับประชาชนซึ่งเป็นพี่น้องร่วมชาติ อะไรมันจะเกิดตามมาเมื่อจบเหตุการณ์แล้ว

และยิ่งไปกว่านั้น ผู้มีอำนาจของฝ่าย ศอฉ. ยังขยายความเจ็บแค้นต่อไปอีกด้วยการสั่งให้ฝ่ายตนเองวิเคราะห์บทเรียนแห่งความสำเร็จจากการหลอกลวงประชาชน ให้สังคมได้รับทราบอย่างภาคภูมิและมีเกียรติยิ่ง

มันเป็นเรื่องของเกียรติยศและน่าภาคภูมิใจมากนักหรือกับการที่ท่านป้ายความชั่วร้ายให้แก่อีกฝั่งฟากหนึ่งด้วยข้อหาร้ายกาจสุดโต่งที่ไม่ต้องการพิสูจน์และไม่ต้องมีหลักฐานและกับการที่ใส่สีสัน เพิ่มความรุนแรงน่ากลัวของสถานการณ์ลงไปด้วยการตัดต่อภาพนิ่งและภาพวิดีโอ (ตามที่ท่านได้ยอมรับไว้ในเอกสาร) เพื่อสร้างความเลวร้ายให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้ประชาชนในชาติยอมรับความจำเป็นในการปราบปราม

เนื่องจากสอนใน รร.เสนาธิการทหารบกมาหลายรุ่น ผมเข้าใจและรู้ว่าปัจจัยแห่งการได้รับชัยชนะในการทำสงครามนั้นประการสำคัญประการแรกคือ ความชอบธรรม (Legitimacy) ในการทำสงคราม

และสาเหตุแห่งความชอบธรรมนั้นมันสร้างกันได้ และบางครั้งก็ต้องสร้างขึ้นมาเองด้วย

ผมก็สอน นทน.รร.สธ.ทบ. ไปหลายรุ่น แต่ผมไม่เคยหวังให้พวกเขาเหล่านั้นนำมาใช้กับเพื่อนร่วมชาติ

ทหารในกองทัพชาติจะต้องเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ดี เป็นที่พึ่งของชนในชาติ ไม่มีวันที่พวกเขาจะโกหกพี่น้องร่วมชาติเพื่อความชอบธรรมได้ พวกเขาจึงจะสามารถประทับอยู่กลางใจมหาชน ไม่ใช่ตายไปแล้วจากหัวใจของประชาชนเหมือนบางคนทุกวันนี้ (เขียนเมื่อ 4 กรกฎาคม 2554)

เมื่อเวทีภาคีไทย รวมผู้กล้าท้าทาย คสช.: ท่านจารุพงศ์-ดร.สุนัย-คุณดารุณี-คุณจอม-และดร.เพียงดิน

เมื่อเวทีภาคีไทยฯ รวมผู้กล้าท้าทาย คสช.: ท่านจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ-ดร.สุนัย จุลพงศธร-คุณดารุณี กฤตบุญญาลัย-คุณจอม เพ็ชรประดับ-และดร.เพียงดิน รักไทย จึงปรากฎตัวบนเวทีเดียวกัน  ในงานประชุมใหญ่ประจำปีของภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ณ นครลอสแอนเจลีส สหรัฐอเมริกา 22 มีนาคม ศกนี้  (รายงานโดยละเอียด พร้อมภาพและวิดีโอจะตามมาเร็ว ๆ นี้)



เครดิตภาพ หนุ่มหล่อแอลเอ