ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Monday, January 18, 2016

ทหารมีไว้ทำไม???? คำถามที่คนไทยต้องคิดทบทวน!!!





ใบตองแห้งเอ้ยไม่ใช่ขอโทษ!!บทความที่ผู้นำเหล่าทัพทหารและผบ.สส.ออกมารุมวิจารณ์ "ทหารมีไว้ทำไม?"  โดย อาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์
------------------------------------
ตั้งคำถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" ก่อให้เกิดความเสียหายแน่ แต่ไม่ใช่กับคนที่แต่งเครื่องแบบจำนวนน้อยที่เป็นนายทหาร พวกนี้เสียหายเหมือนกัน แต่เป็นความเสียหายระดับกระจอก แม้แต่เมื่อรวมเงินกินนอกกินในที่ได้จากการซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์แล้ว ก็ยังถือว่ากระจอก

เงินจำนวนมหาศาลจากวิสาหกิจกองทัพไม่ได้ใช้จ่ายไปกับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง เหรียญตรา ฯลฯ ของทหารหรอกครับ แต่จ่ายไปกับอาวุธยุทธภัณฑ์และยุทธบริการที่ขายให้แก่กองทัพโดยบริษัทต่างๆ นี่เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของการผลิตในโลกปัจจุบัน มีการจ้างงานคนจำนวนมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำกำไรต่อปีมากกว่างบประมาณประจำปีของหลายประเทศในโลกนี้ แบ่งปันกันไปในหมู่ผู้ถือหุ้น ทั้งรายใหญ่และเล็ก รวมทั้งรัฐบาลของประเทศผู้ผลิตอาวุธด้วย

หากไม่สามารถตอบให้เป็นที่น่าพอใจได้ว่า "ทหารมีไว้ทำไม" จนทำให้โลกนี้ไม่มีทหารเหลืออยู่อีกเลย ส่วนนี้ของระบบการผลิตในโลกปัจจุบันจะต้องยุติลง คงใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าเศรษฐกิจใหญ่ๆ ทั้งหลายจะสามารถปรับตัว เอาทุนและแรงงานฝีมือไปใช้ในการผลิตสิ่งอื่นซึ่งมีการแข่งขันสูงกว่าได้ ฉะนั้น บางส่วนคงเจ๊ง และบางส่วนก็อาจหากำไรในการประกอบการอย่างอื่นได้ แต่จะให้ได้กำไรเหมือนการผลิตอาวุธและยุทธบริการไม่ได้หรอก

เสียหายแน่ แต่เสียด้านหนึ่งก็จะมีผลดีต่ออีกด้านหนึ่ง

ย้อนกลับไปเพียงแค่สมัยอยุธยาตอนปลาย ไปถามว่าทหารมีไว้ทำไม ชนชั้นปกครองก็จะตอบว่า เพื่อจัดหมวดหมู่กำลังแรงงานไพร่ เอาไว้ใช้ในราชการบ้าง ในกิจการส่วนตัวของเจ้าขุนมูลนายบ้าง แต่จะไม่มีใครตอบว่าเพื่อเป็นยามไว้ป้องกันขโมยเป็นอันขาด เพราะไพร่ที่ถูกจัดในหมวดทหาร มิได้มีหน้าที่พิเศษในด้านการรบ เมื่อเกิดศึกสงครามขึ้น ไพร่ที่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่พลเรือนก็ถูกเกณฑ์ไปรบไม่ต่างจากไพร่ในหมวดหมู่ทหาร

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สังคมไทยไม่เคยมีชนชั้น หรือกลุ่มประชากร ที่มีอาชีพในการรบเหมือนสังคมยุโรปหรือญี่ปุ่น อันที่จริงพูดว่าอัศวินในสมัยกลางของยุโรป หรือซามูไร เป็นอาชีพ ก็ชวนให้ไขว้เขวได้ อย่างน้อยคนเหล่านี้ไม่เคยคิดว่าตัวต้องทำอะไรเพื่อแลกกับอาหารและเครื่องอุปโภค คนที่ต้องทำอย่างนั้นคือชาวนาซึ่งไม่มีศักดิ์ศรีเหมือนอัศวินหรือซามูไร พวกเขาสั่งสมความสามารถในการรบไว้กับตัวเพื่อรับใช้นายของเขาด้วยความภักดี และความสามารถในการรบเป็นเกียรติยศในตัวของมันเอง ไม่ใช่ไว้ทำมาหากิน

คนเหล่านี้สังกัดใน "ชนชั้น" ของนักรบ เรียกว่าชนชั้นก็เพราะสืบทอดสถานะนั้นผ่านลงมายังลูกหลานได้ และสังคมไทยกับอีกหลายสังคมในโลกนี้ ก็ไม่เคยมี "ชนชั้น" อย่างนี้ในสังคม จริงๆ คำว่า "ทหาร" ในกฎหมายตราสามดวงแปลว่าอะไรก็ไม่รู้แน่หรอกครับ ถ้ามันเคยมีความหมายอะไรเกี่ยวกับเรื่องรบราฆ่าฟันมาก่อน ความหมายนั้นก็เลือนไปในกฎหมายตราสามดวงแล้ว

หากจะนับนักรบเป็นชนชั้นในสังคมโบราณ ยังมีชนชั้นนักรบในสังคมที่ไม่ใช่ยุโรปและญี่ปุ่นอีก เช่นบางสังคมมีกองทัพทาส คือเอาทาสมาฝึกรบ จนกลายเป็นกองกำลังประจำการของพระราชาหรือของเจ้าครองแคว้น ลูกหลานของทาสเหล่านี้ก็ยังดำรงสถานะนักรบประจำการของนายสืบมา จึงถือว่าเป็นชนชั้นเหมือนกัน


ในอีกหลายสังคม โดยเฉพาะชนเผ่าเร่ร่อน การรบหรือการต่อสู้สัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกจากการล่าสัตว์, การรักษาทุ่งหญ้าที่ใช้เลี้ยงสัตว์, หรือบางทีก็รวมการหาคู่ด้วย ดังนั้น วิถีที่เด็กผู้ชายเติบโตขึ้นมาก็คือถูกฝึกปรือให้มีความชำนาญด้านการต่อสู้ เช่น ขี่ม้าได้ตั้งแต่ยังเดินไม่คล่อง ผู้ชายของเผ่าทุกคนจึงรบเป็น แต่จะเรียกว่าพวกเขาเป็น "ทหาร" ทั้งหมดก็คงไม่ได้ เพราะเขาคือนักเลี้ยงสัตว์ที่รบเป็นเท่านั้น

ผมไล่เรียงนักรบในสังคมต่างๆ มาเพื่อจะบอกว่า "ทหาร" ตามที่เราเข้าใจปัจจุบันเป็นสิ่งใหม่มาก เป็น "อาชีพ" ที่เกิดขึ้นในเงื่อนไขของโลกสมัยใหม่ นั่นคือเมื่อรัฐไม่ได้เป็นสมบัติส่วนตัวของพระราชาแล้ว แต่เป็นสมบัติร่วมกันของพลเมืองทุกคน หน้าที่ป้องกันบ้านเมืองจึงกลายเป็นของทุกคน

ในยุโรป ความคิดแบบนี้เกิดแก่ชาวฝรั่งเศสขึ้นก่อนหลังปฏิวัติฝรั่งเศส และด้วยเหตุดังนั้นกองทัพฝรั่งเศส จึงสามารถป้องกันประเทศจากการรุมยำของมหาอำนาจยุโรปสมัยนั้น (ออสเตรีย, ปรัสเซีย, อังกฤษ) ได้สำเร็จ เพราะมหาอำนาจเหล่านั้นล้วนยังใช้กองทัพนักรบและไพร่พลสังกัดมูลนายมารบกับกองทัพฝรั่งเศส ซึ่งกลายเป็นกองทัพของอาสาสมัครพลเมือง ซึ่งไม่คิดจะรบให้ใครนอกจากให้แก่ "ชาติ" ซึ่งมีตนเองเป็นส่วนหนึ่งในชาติ ปลดปล่อยฝรั่งเศสจากศัตรู คือปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการของระบบศักดินา

ความเป็นชาติทำให้เกิดกองทัพประจำการขึ้นอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากกองทัพประจำการที่เคยมีมาก่อนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกองทัพซึ่งมีไว้รักษาพระองค์, หรือราชวงศ์, หรือตระกูลเจ้าเมือง, หรือเจ้าครองแคว้น และไม่เหมือนกองทัพรับจ้างซึ่งนายทุนใหญ่ๆ มักสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการหากำไรทางการค้าของตนเอง เช่นกองทัพของบริษัทอินเดียตะวันออกทั้งของวิลันดาและอังกฤษ มีคนหลายชนชาติรับจ้างรบให้กับบริษัทของทั้งวิลันดาและอังกฤษ

กองทัพแห่งชาติเป็นกองกำลังประจำการ คือไม่ได้มีอยู่ตอนจะรบกับใคร แต่มีประจำการอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยก็ต้องรักษาแกนกลางของกองทัพเอาไว้ คือกลุ่มนายทหารซึ่งร่ำเรียนมาในการทำสงครามและทำการรบ ส่วนพลทหารก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากการอาสาสมัครไปสู่การเรียกเกณฑ์ ด้วยอำนาจของรัฐชาติ ทำให้เรียกเกณฑ์ได้จำนวนมาก เพราะรัฐชาติรวบรวมภาษีไว้ได้มากกว่าที่เจ้านายสมัยก่อนจะสามารถเรียกได้ จึงมีกำลังทางเศรษฐกิจที่จะเลี้ยงดูกองทัพที่มีกำลังพลจำนวนมาก พร้อมทั้งฝึกปรือทักษะขั้นพื้นฐานในการรบให้แก่ทหารเกณฑ์ได้หมด

ในหลายรัฐทั่วโลก ส่วนใหญ่แล้วไม่เคยมีกองทัพประจำการมาก่อน นอกจากกองกำลังเล็กๆ ที่มีไว้รักษาความปลอดภัยให้เจ้านาย เช่นเมืองไทยนั้นไม่เคยมีทั้งกองทัพประจำการจนถึง ร.5 และเช่นเดียวกับเมืองไทย เมื่อรัฐต่างๆ เริ่มเปลี่ยนหรือถูกบังคับให้เปลี่ยนมาเป็นรัฐชาติ (รัฐชาติจริงหรือจำแลงก็ตาม) ก็เกิดกองทัพประจำการของชาติขึ้นทั่วไป

ที่เรียกว่า "ทหาร" ในความหมายปัจจุบัน คือคนที่ทำงานอยู่ในกองทัพประจำการ เป็นอาชีพใหม่มากจนกระทั่งจะถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" จึงเป็นปรกติธรรมดามากๆ

ที่สงครามในโลกสมัยใหม่มักรุนแรงและเกิดความเสียหายมาก ไม่ได้มาจากอาวุธยุทธภัณฑ์ซึ่งมีกำลังทำลายล้างสูงเพียงอย่างเดียว แต่เพราะกองทัพแห่งชาติที่เข้าสัประยุทธ์กันนั้น เป็นกองทัพขนาดใหญ่กว่าที่พระราชาหรือบริษัทค้าขายจะสามารถระดมมาได้ด้วย

เมื่อรัฐชาติมีกองทัพประจำการขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของความเป็นรัฐชาติ เพราะกองทัพเป็นเครื่องมือให้รัฐผูกขาดความรุนแรงได้เด็ดขาดที่สุด แต่ปัญหาที่ตามมาทันทีก็คือ แล้วกองทัพประจำการนั้นอยู่ในความบังคับบัญชาของใครกันเล่า โดยทฤษฎีแล้วกองทัพต้องอยู่ภายใต้การบังคับควบคุมของผู้บริหารรัฐ เพราะกองทัพเป็นกลไกรัฐอย่างหนึ่ง

แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ในรัฐชาติซึ่งเกิดขึ้นโดยยังไม่มีอำนาจอื่นพัฒนาขึ้นมาให้สูงเด่นเป็นที่ยอมรับทั่วไป เช่น รัฐสภา, พรรคการเมืองผูกขาด (เช่น พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคอุมโน หรือพรรคกิจประชา), หรือองค์กรศาสนา ฯลฯ กองทัพมักเป็นอิสระเหมือนเป็นรัฐซ้อนรัฐ (และมักจะซ้อนข้างบน) แสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ, เกียรติยศ, อำนาจทางการเมือง ฯลฯ ให้แก่องค์กรของตนเอง หรือผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นนายทหารระดับสูง วิธีจะทำอย่างนั้นมักใช้อำนาจดิบที่มีในมือข่มขู่ให้อำนาจอื่นๆ ต้องยอมตามคำเรียกร้อง หรือมิฉะนั้นก็ร่วมมือกับบุคคลบางคนที่พอมีฐานคะแนนนิยมในสังคมอยู่บ้าง แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน เช่น อดีตประธานาธิบดีมาร์กอสแห่งฟิลิปปินส์ หรือซูฮาร์โตแห่งอินโดนีเซีย กองทัพได้ค่าต๋งจากงบประมาณและการเรียกเก็บนอกกฎหมาย รวมทั้งตำแหน่งฝ่ายพลเรือนทั้งในรัฐวิสาหกิจและผู้ว่าราชการจังหวัด ในขณะที่ผู้มีฐานคะแนนนิยมอยู่ในสังคมได้อำนาจเด็ดขาดทางการเมือง จะใช้อำนาจนี้ไปทำอะไรต่อก็แล้วแต่บุคคล

ในแง่นี้ กองทัพในหลายรัฐชาติ จึงขัดขวางพัฒนาการสองอย่างของรัฐชาติ หนึ่งคือขัดขวางพัฒนาการของประชาธิปไตย และสองคือขัดขวางแม้แต่พัฒนาการของความเป็นชาติในรัฐนั้น เพราะบทบาทของกองทัพทำให้พลเมืองทั่วไปมองไม่เห็นว่าชาติเป็นสมบัติร่วมกันของทุกคนโดยเสมอภาค ตราบเท่าที่แม้แต่สำนึกพื้นฐานของชาติเพียงเท่านี้ยังไม่เกิดแก่พลเมืองทั่วไป ตราบนั้นก็ไม่มีทางจะเกิด "ชาติ" ที่แท้จริงขึ้นได้ ไม่ว่ากองทัพจะเน้นย้ำความรักชาติสักเพียงใดก็ตาม

ปัญหาที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งคือ การรักษาอธิปไตยของรัฐชาติ อันที่จริงเป็นหน้าที่ซึ่งทำกันหลายฝ่าย แต่หากโชคร้ายที่ถึงที่สุดแล้วต้องมาลงเอยที่สงคราม กองทัพจะมีหน้าที่สำคัญสุด แต่สงครามเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงแก่ทุกฝ่าย แม้แต่ฝ่ายที่ชนะ จึงมีความพยายามจะสร้างกลไกไว้นานาชนิด เพื่อทำให้ความขัดแย้งระหว่างรัฐไม่พัฒนาไปจนถึงจุดที่ต้องทำสงครามระหว่างกัน แต่จะพูดว่ากลไกระหว่างประเทศเหล่านี้ไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ เช่น สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Westphalia) ซึ่งกำหนดให้รัฐไม่ว่าใหญ่หรือเล็กในยุโรปตะวันตกมีอธิปไตยเท่าเทียมกันหมด ตามมาด้วยการสร้างดุลอำนาจระหว่างรัฐใหญ่ต่างๆ เพื่อทำให้สงครามเกิดขึ้นได้ยาก แต่แล้วยุโรปตะวันตกก็เกิดสงครามขึ้นจนได้ ซ้ำเป็นสงครามร้ายแรงด้วย เพราะยกเอาพันธมิตรในดุลอำนาจฝ่ายตนเข้าราวีห้ำหั่นกัน

ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงสงครามแย่งผลประโยชน์กันนอกยุโรปตะวันตก เช่นในแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งไม่ถูกถือตามสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลียว่าทุกรัฐมีอธิปไตยเท่ากัน

มองด้านล้มเหลวก็ล้มเหลว แต่มองด้านสำเร็จก็สำเร็จมากเหมือนกัน จากสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลียมาถึงปัจจุบัน กลไกระหว่างประเทศดังกล่าวถูกพัฒนาไปอย่างมาก นอกจากองค์กรโลกเช่นสหประชาชาติแล้ว ยังมีการรวมกลุ่มในภูมิภาคต่างๆ เช่น สหภาพยุโรป, อาเซียน และกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอเมริกาเหนือและกลาง โอกาสที่จะเกิดสงครามภายในกลุ่มเหล่านี้เหลือน้อยลงมาก ถึงยังมีสงครามกับประเทศนอกกลุ่ม แต่ก็อยู่ในวงจำกัดไม่ลามไปเป็นสงครามขนาดใหญ่

โลกภายใต้กลไกระหว่างประเทศเพื่อป้องกันและระงับสงครามดังที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ทำให้คำถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" เป็นคำถามที่มีเหตุผล และควรต้องถามกันอย่างวิเคราะห์เจาะลึกทีเดียว อาจเป็นได้ว่ากองทัพประจำชาติคือกระดุมที่ติดอยู่ปลายแขนเสื้อนอก ซึ่งไม่ได้มีไว้กลัดกับอะไร แต่ต้องมีไว้เพราะเป็นธรรมเนียมที่เหลือตกค้างมาแต่อดีต

แม้แต่จะธำรงรักษากองทัพแห่งชาติไว้ ก็ต้องปรับเปลี่ยนการจัดองค์กร, ขนาด, เครื่องไม้เครื่องมือ, สายการบังคับบัญชา ฯลฯ กันใหม่หมด จึงจะเหมาะกับโลกปัจจุบันซึ่งมีกลไกระหว่างประเทศเพื่อป้องกันและป้องปรามการสงครามที่สลับซับซ้อนเช่นนี้

คําถาม "ทหารมีไว้ทำไม" เป็นคำถามสำคัญแห่งยุคสมัยอย่างที่แทบจะหาคำถามอื่นเทียบไม่ได้ และเราต้องไม่ลืมว่า กองทัพแห่งชาติบวกกับธุรกิจค้าอาวุธและยุทธบริการแก่ทหาร ทำให้กองทัพไม่ว่าของชาติใดทั้งสิ้นเป็นองค์กรรัฐที่สิ้นเปลืองอย่างมาก จนบางครั้งแทบทำให้รัฐพิการลงไปเพราะหมดสมรรถนะที่จะดูแลพลเมืองของตนเอง

ไม่มีกองทัพ เราจะสามารถทำให้ทุกคนเข้านอนได้ด้วยท้องที่อิ่ม ไม่มีกองทัพ จะมีเงินเหลือมาปรับปรุงระบบสุขภาพถ้วนหน้าได้มากกว่านี้อีก และในทุกประเทศทั่วโลก ไม่มีกองทัพ เด็กและผู้ใหญ่ทุกคนที่อยากเรียนรู้ จะได้เรียนรู้ ไม่มีกองทัพ โลกทั้งโลกจะสามารถบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกได้ก่อนเวลาที่ตกลงกันเป็นหลายสิบปี ไม่มีกองทัพ เราจะสามารถขจัดโรคติดต่อร้ายแรงให้หมดไปจากโลกโดยสิ้นเชิงได้ ไม่มีกองทัพ ทั้งโลกจะยิ่งพัฒนากลไกระหว่างประเทศเพื่อระงับสงครามให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่มีกองทัพ… จะมีโลกใหม่ที่ชีวิตผู้คนอาจดำเนินไปอย่างสงบสุขและสร้างสรรค์กว่าที่เราเผชิญมา

เรามาช่วยกันตั้งคำถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" ให้ติดปากทุกคน และช่วยกันหาคำตอบต่อคำถามนี้อย่างเอาจริงเอาจัง โดยไม่ยอมให้ใครสถาปนาแนวคำตอบของตนขึ้นครอบงำคนอื่น

ทหารมีไว้ทำไม???? คำถามที่คนไทยต้องคิดทบทวน!!!





ใบตองแห้งเอ้ยไม่ใช่ขอโทษ!!บทความที่ผู้นำเหล่าทัพทหารและผบ.สส.ออกมารุมวิจารณ์ "ทหารมีไว้ทำไม?"  โดย อาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์
------------------------------------
ตั้งคำถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" ก่อให้เกิดความเสียหายแน่ แต่ไม่ใช่กับคนที่แต่งเครื่องแบบจำนวนน้อยที่เป็นนายทหาร พวกนี้เสียหายเหมือนกัน แต่เป็นความเสียหายระดับกระจอก แม้แต่เมื่อรวมเงินกินนอกกินในที่ได้จากการซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์แล้ว ก็ยังถือว่ากระจอก

เงินจำนวนมหาศาลจากวิสาหกิจกองทัพไม่ได้ใช้จ่ายไปกับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง เหรียญตรา ฯลฯ ของทหารหรอกครับ แต่จ่ายไปกับอาวุธยุทธภัณฑ์และยุทธบริการที่ขายให้แก่กองทัพโดยบริษัทต่างๆ นี่เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของการผลิตในโลกปัจจุบัน มีการจ้างงานคนจำนวนมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำกำไรต่อปีมากกว่างบประมาณประจำปีของหลายประเทศในโลกนี้ แบ่งปันกันไปในหมู่ผู้ถือหุ้น ทั้งรายใหญ่และเล็ก รวมทั้งรัฐบาลของประเทศผู้ผลิตอาวุธด้วย

หากไม่สามารถตอบให้เป็นที่น่าพอใจได้ว่า "ทหารมีไว้ทำไม" จนทำให้โลกนี้ไม่มีทหารเหลืออยู่อีกเลย ส่วนนี้ของระบบการผลิตในโลกปัจจุบันจะต้องยุติลง คงใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าเศรษฐกิจใหญ่ๆ ทั้งหลายจะสามารถปรับตัว เอาทุนและแรงงานฝีมือไปใช้ในการผลิตสิ่งอื่นซึ่งมีการแข่งขันสูงกว่าได้ ฉะนั้น บางส่วนคงเจ๊ง และบางส่วนก็อาจหากำไรในการประกอบการอย่างอื่นได้ แต่จะให้ได้กำไรเหมือนการผลิตอาวุธและยุทธบริการไม่ได้หรอก

เสียหายแน่ แต่เสียด้านหนึ่งก็จะมีผลดีต่ออีกด้านหนึ่ง

ย้อนกลับไปเพียงแค่สมัยอยุธยาตอนปลาย ไปถามว่าทหารมีไว้ทำไม ชนชั้นปกครองก็จะตอบว่า เพื่อจัดหมวดหมู่กำลังแรงงานไพร่ เอาไว้ใช้ในราชการบ้าง ในกิจการส่วนตัวของเจ้าขุนมูลนายบ้าง แต่จะไม่มีใครตอบว่าเพื่อเป็นยามไว้ป้องกันขโมยเป็นอันขาด เพราะไพร่ที่ถูกจัดในหมวดทหาร มิได้มีหน้าที่พิเศษในด้านการรบ เมื่อเกิดศึกสงครามขึ้น ไพร่ที่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่พลเรือนก็ถูกเกณฑ์ไปรบไม่ต่างจากไพร่ในหมวดหมู่ทหาร

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สังคมไทยไม่เคยมีชนชั้น หรือกลุ่มประชากร ที่มีอาชีพในการรบเหมือนสังคมยุโรปหรือญี่ปุ่น อันที่จริงพูดว่าอัศวินในสมัยกลางของยุโรป หรือซามูไร เป็นอาชีพ ก็ชวนให้ไขว้เขวได้ อย่างน้อยคนเหล่านี้ไม่เคยคิดว่าตัวต้องทำอะไรเพื่อแลกกับอาหารและเครื่องอุปโภค คนที่ต้องทำอย่างนั้นคือชาวนาซึ่งไม่มีศักดิ์ศรีเหมือนอัศวินหรือซามูไร พวกเขาสั่งสมความสามารถในการรบไว้กับตัวเพื่อรับใช้นายของเขาด้วยความภักดี และความสามารถในการรบเป็นเกียรติยศในตัวของมันเอง ไม่ใช่ไว้ทำมาหากิน

คนเหล่านี้สังกัดใน "ชนชั้น" ของนักรบ เรียกว่าชนชั้นก็เพราะสืบทอดสถานะนั้นผ่านลงมายังลูกหลานได้ และสังคมไทยกับอีกหลายสังคมในโลกนี้ ก็ไม่เคยมี "ชนชั้น" อย่างนี้ในสังคม จริงๆ คำว่า "ทหาร" ในกฎหมายตราสามดวงแปลว่าอะไรก็ไม่รู้แน่หรอกครับ ถ้ามันเคยมีความหมายอะไรเกี่ยวกับเรื่องรบราฆ่าฟันมาก่อน ความหมายนั้นก็เลือนไปในกฎหมายตราสามดวงแล้ว

หากจะนับนักรบเป็นชนชั้นในสังคมโบราณ ยังมีชนชั้นนักรบในสังคมที่ไม่ใช่ยุโรปและญี่ปุ่นอีก เช่นบางสังคมมีกองทัพทาส คือเอาทาสมาฝึกรบ จนกลายเป็นกองกำลังประจำการของพระราชาหรือของเจ้าครองแคว้น ลูกหลานของทาสเหล่านี้ก็ยังดำรงสถานะนักรบประจำการของนายสืบมา จึงถือว่าเป็นชนชั้นเหมือนกัน


ในอีกหลายสังคม โดยเฉพาะชนเผ่าเร่ร่อน การรบหรือการต่อสู้สัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกจากการล่าสัตว์, การรักษาทุ่งหญ้าที่ใช้เลี้ยงสัตว์, หรือบางทีก็รวมการหาคู่ด้วย ดังนั้น วิถีที่เด็กผู้ชายเติบโตขึ้นมาก็คือถูกฝึกปรือให้มีความชำนาญด้านการต่อสู้ เช่น ขี่ม้าได้ตั้งแต่ยังเดินไม่คล่อง ผู้ชายของเผ่าทุกคนจึงรบเป็น แต่จะเรียกว่าพวกเขาเป็น "ทหาร" ทั้งหมดก็คงไม่ได้ เพราะเขาคือนักเลี้ยงสัตว์ที่รบเป็นเท่านั้น

ผมไล่เรียงนักรบในสังคมต่างๆ มาเพื่อจะบอกว่า "ทหาร" ตามที่เราเข้าใจปัจจุบันเป็นสิ่งใหม่มาก เป็น "อาชีพ" ที่เกิดขึ้นในเงื่อนไขของโลกสมัยใหม่ นั่นคือเมื่อรัฐไม่ได้เป็นสมบัติส่วนตัวของพระราชาแล้ว แต่เป็นสมบัติร่วมกันของพลเมืองทุกคน หน้าที่ป้องกันบ้านเมืองจึงกลายเป็นของทุกคน

ในยุโรป ความคิดแบบนี้เกิดแก่ชาวฝรั่งเศสขึ้นก่อนหลังปฏิวัติฝรั่งเศส และด้วยเหตุดังนั้นกองทัพฝรั่งเศส จึงสามารถป้องกันประเทศจากการรุมยำของมหาอำนาจยุโรปสมัยนั้น (ออสเตรีย, ปรัสเซีย, อังกฤษ) ได้สำเร็จ เพราะมหาอำนาจเหล่านั้นล้วนยังใช้กองทัพนักรบและไพร่พลสังกัดมูลนายมารบกับกองทัพฝรั่งเศส ซึ่งกลายเป็นกองทัพของอาสาสมัครพลเมือง ซึ่งไม่คิดจะรบให้ใครนอกจากให้แก่ "ชาติ" ซึ่งมีตนเองเป็นส่วนหนึ่งในชาติ ปลดปล่อยฝรั่งเศสจากศัตรู คือปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการของระบบศักดินา

ความเป็นชาติทำให้เกิดกองทัพประจำการขึ้นอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากกองทัพประจำการที่เคยมีมาก่อนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกองทัพซึ่งมีไว้รักษาพระองค์, หรือราชวงศ์, หรือตระกูลเจ้าเมือง, หรือเจ้าครองแคว้น และไม่เหมือนกองทัพรับจ้างซึ่งนายทุนใหญ่ๆ มักสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการหากำไรทางการค้าของตนเอง เช่นกองทัพของบริษัทอินเดียตะวันออกทั้งของวิลันดาและอังกฤษ มีคนหลายชนชาติรับจ้างรบให้กับบริษัทของทั้งวิลันดาและอังกฤษ

กองทัพแห่งชาติเป็นกองกำลังประจำการ คือไม่ได้มีอยู่ตอนจะรบกับใคร แต่มีประจำการอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยก็ต้องรักษาแกนกลางของกองทัพเอาไว้ คือกลุ่มนายทหารซึ่งร่ำเรียนมาในการทำสงครามและทำการรบ ส่วนพลทหารก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากการอาสาสมัครไปสู่การเรียกเกณฑ์ ด้วยอำนาจของรัฐชาติ ทำให้เรียกเกณฑ์ได้จำนวนมาก เพราะรัฐชาติรวบรวมภาษีไว้ได้มากกว่าที่เจ้านายสมัยก่อนจะสามารถเรียกได้ จึงมีกำลังทางเศรษฐกิจที่จะเลี้ยงดูกองทัพที่มีกำลังพลจำนวนมาก พร้อมทั้งฝึกปรือทักษะขั้นพื้นฐานในการรบให้แก่ทหารเกณฑ์ได้หมด

ในหลายรัฐทั่วโลก ส่วนใหญ่แล้วไม่เคยมีกองทัพประจำการมาก่อน นอกจากกองกำลังเล็กๆ ที่มีไว้รักษาความปลอดภัยให้เจ้านาย เช่นเมืองไทยนั้นไม่เคยมีทั้งกองทัพประจำการจนถึง ร.5 และเช่นเดียวกับเมืองไทย เมื่อรัฐต่างๆ เริ่มเปลี่ยนหรือถูกบังคับให้เปลี่ยนมาเป็นรัฐชาติ (รัฐชาติจริงหรือจำแลงก็ตาม) ก็เกิดกองทัพประจำการของชาติขึ้นทั่วไป

ที่เรียกว่า "ทหาร" ในความหมายปัจจุบัน คือคนที่ทำงานอยู่ในกองทัพประจำการ เป็นอาชีพใหม่มากจนกระทั่งจะถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" จึงเป็นปรกติธรรมดามากๆ

ที่สงครามในโลกสมัยใหม่มักรุนแรงและเกิดความเสียหายมาก ไม่ได้มาจากอาวุธยุทธภัณฑ์ซึ่งมีกำลังทำลายล้างสูงเพียงอย่างเดียว แต่เพราะกองทัพแห่งชาติที่เข้าสัประยุทธ์กันนั้น เป็นกองทัพขนาดใหญ่กว่าที่พระราชาหรือบริษัทค้าขายจะสามารถระดมมาได้ด้วย

เมื่อรัฐชาติมีกองทัพประจำการขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของความเป็นรัฐชาติ เพราะกองทัพเป็นเครื่องมือให้รัฐผูกขาดความรุนแรงได้เด็ดขาดที่สุด แต่ปัญหาที่ตามมาทันทีก็คือ แล้วกองทัพประจำการนั้นอยู่ในความบังคับบัญชาของใครกันเล่า โดยทฤษฎีแล้วกองทัพต้องอยู่ภายใต้การบังคับควบคุมของผู้บริหารรัฐ เพราะกองทัพเป็นกลไกรัฐอย่างหนึ่ง

แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ในรัฐชาติซึ่งเกิดขึ้นโดยยังไม่มีอำนาจอื่นพัฒนาขึ้นมาให้สูงเด่นเป็นที่ยอมรับทั่วไป เช่น รัฐสภา, พรรคการเมืองผูกขาด (เช่น พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคอุมโน หรือพรรคกิจประชา), หรือองค์กรศาสนา ฯลฯ กองทัพมักเป็นอิสระเหมือนเป็นรัฐซ้อนรัฐ (และมักจะซ้อนข้างบน) แสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ, เกียรติยศ, อำนาจทางการเมือง ฯลฯ ให้แก่องค์กรของตนเอง หรือผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นนายทหารระดับสูง วิธีจะทำอย่างนั้นมักใช้อำนาจดิบที่มีในมือข่มขู่ให้อำนาจอื่นๆ ต้องยอมตามคำเรียกร้อง หรือมิฉะนั้นก็ร่วมมือกับบุคคลบางคนที่พอมีฐานคะแนนนิยมในสังคมอยู่บ้าง แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน เช่น อดีตประธานาธิบดีมาร์กอสแห่งฟิลิปปินส์ หรือซูฮาร์โตแห่งอินโดนีเซีย กองทัพได้ค่าต๋งจากงบประมาณและการเรียกเก็บนอกกฎหมาย รวมทั้งตำแหน่งฝ่ายพลเรือนทั้งในรัฐวิสาหกิจและผู้ว่าราชการจังหวัด ในขณะที่ผู้มีฐานคะแนนนิยมอยู่ในสังคมได้อำนาจเด็ดขาดทางการเมือง จะใช้อำนาจนี้ไปทำอะไรต่อก็แล้วแต่บุคคล

ในแง่นี้ กองทัพในหลายรัฐชาติ จึงขัดขวางพัฒนาการสองอย่างของรัฐชาติ หนึ่งคือขัดขวางพัฒนาการของประชาธิปไตย และสองคือขัดขวางแม้แต่พัฒนาการของความเป็นชาติในรัฐนั้น เพราะบทบาทของกองทัพทำให้พลเมืองทั่วไปมองไม่เห็นว่าชาติเป็นสมบัติร่วมกันของทุกคนโดยเสมอภาค ตราบเท่าที่แม้แต่สำนึกพื้นฐานของชาติเพียงเท่านี้ยังไม่เกิดแก่พลเมืองทั่วไป ตราบนั้นก็ไม่มีทางจะเกิด "ชาติ" ที่แท้จริงขึ้นได้ ไม่ว่ากองทัพจะเน้นย้ำความรักชาติสักเพียงใดก็ตาม

ปัญหาที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งคือ การรักษาอธิปไตยของรัฐชาติ อันที่จริงเป็นหน้าที่ซึ่งทำกันหลายฝ่าย แต่หากโชคร้ายที่ถึงที่สุดแล้วต้องมาลงเอยที่สงคราม กองทัพจะมีหน้าที่สำคัญสุด แต่สงครามเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงแก่ทุกฝ่าย แม้แต่ฝ่ายที่ชนะ จึงมีความพยายามจะสร้างกลไกไว้นานาชนิด เพื่อทำให้ความขัดแย้งระหว่างรัฐไม่พัฒนาไปจนถึงจุดที่ต้องทำสงครามระหว่างกัน แต่จะพูดว่ากลไกระหว่างประเทศเหล่านี้ไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ เช่น สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Westphalia) ซึ่งกำหนดให้รัฐไม่ว่าใหญ่หรือเล็กในยุโรปตะวันตกมีอธิปไตยเท่าเทียมกันหมด ตามมาด้วยการสร้างดุลอำนาจระหว่างรัฐใหญ่ต่างๆ เพื่อทำให้สงครามเกิดขึ้นได้ยาก แต่แล้วยุโรปตะวันตกก็เกิดสงครามขึ้นจนได้ ซ้ำเป็นสงครามร้ายแรงด้วย เพราะยกเอาพันธมิตรในดุลอำนาจฝ่ายตนเข้าราวีห้ำหั่นกัน

ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงสงครามแย่งผลประโยชน์กันนอกยุโรปตะวันตก เช่นในแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งไม่ถูกถือตามสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลียว่าทุกรัฐมีอธิปไตยเท่ากัน

มองด้านล้มเหลวก็ล้มเหลว แต่มองด้านสำเร็จก็สำเร็จมากเหมือนกัน จากสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลียมาถึงปัจจุบัน กลไกระหว่างประเทศดังกล่าวถูกพัฒนาไปอย่างมาก นอกจากองค์กรโลกเช่นสหประชาชาติแล้ว ยังมีการรวมกลุ่มในภูมิภาคต่างๆ เช่น สหภาพยุโรป, อาเซียน และกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอเมริกาเหนือและกลาง โอกาสที่จะเกิดสงครามภายในกลุ่มเหล่านี้เหลือน้อยลงมาก ถึงยังมีสงครามกับประเทศนอกกลุ่ม แต่ก็อยู่ในวงจำกัดไม่ลามไปเป็นสงครามขนาดใหญ่

โลกภายใต้กลไกระหว่างประเทศเพื่อป้องกันและระงับสงครามดังที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ทำให้คำถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" เป็นคำถามที่มีเหตุผล และควรต้องถามกันอย่างวิเคราะห์เจาะลึกทีเดียว อาจเป็นได้ว่ากองทัพประจำชาติคือกระดุมที่ติดอยู่ปลายแขนเสื้อนอก ซึ่งไม่ได้มีไว้กลัดกับอะไร แต่ต้องมีไว้เพราะเป็นธรรมเนียมที่เหลือตกค้างมาแต่อดีต

แม้แต่จะธำรงรักษากองทัพแห่งชาติไว้ ก็ต้องปรับเปลี่ยนการจัดองค์กร, ขนาด, เครื่องไม้เครื่องมือ, สายการบังคับบัญชา ฯลฯ กันใหม่หมด จึงจะเหมาะกับโลกปัจจุบันซึ่งมีกลไกระหว่างประเทศเพื่อป้องกันและป้องปรามการสงครามที่สลับซับซ้อนเช่นนี้

คําถาม "ทหารมีไว้ทำไม" เป็นคำถามสำคัญแห่งยุคสมัยอย่างที่แทบจะหาคำถามอื่นเทียบไม่ได้ และเราต้องไม่ลืมว่า กองทัพแห่งชาติบวกกับธุรกิจค้าอาวุธและยุทธบริการแก่ทหาร ทำให้กองทัพไม่ว่าของชาติใดทั้งสิ้นเป็นองค์กรรัฐที่สิ้นเปลืองอย่างมาก จนบางครั้งแทบทำให้รัฐพิการลงไปเพราะหมดสมรรถนะที่จะดูแลพลเมืองของตนเอง

ไม่มีกองทัพ เราจะสามารถทำให้ทุกคนเข้านอนได้ด้วยท้องที่อิ่ม ไม่มีกองทัพ จะมีเงินเหลือมาปรับปรุงระบบสุขภาพถ้วนหน้าได้มากกว่านี้อีก และในทุกประเทศทั่วโลก ไม่มีกองทัพ เด็กและผู้ใหญ่ทุกคนที่อยากเรียนรู้ จะได้เรียนรู้ ไม่มีกองทัพ โลกทั้งโลกจะสามารถบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกได้ก่อนเวลาที่ตกลงกันเป็นหลายสิบปี ไม่มีกองทัพ เราจะสามารถขจัดโรคติดต่อร้ายแรงให้หมดไปจากโลกโดยสิ้นเชิงได้ ไม่มีกองทัพ ทั้งโลกจะยิ่งพัฒนากลไกระหว่างประเทศเพื่อระงับสงครามให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่มีกองทัพ… จะมีโลกใหม่ที่ชีวิตผู้คนอาจดำเนินไปอย่างสงบสุขและสร้างสรรค์กว่าที่เราเผชิญมา

เรามาช่วยกันตั้งคำถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" ให้ติดปากทุกคน และช่วยกันหาคำตอบต่อคำถามนี้อย่างเอาจริงเอาจัง โดยไม่ยอมให้ใครสถาปนาแนวคำตอบของตนขึ้นครอบงำคนอื่น

*+ วัดพระธรรมกายในทัศนะของนักข่าวผู้ไปเจาะลึก!

*+ วัดพระธรรมกายในทัศนะของนักข่าวผู้ไปเจาะลึก! (และไม่ประสงค์ออกนาม) พร้อมข้อมูลพื้นฐานสำหรับนักวิจารณ์มือใหม่+* ตอนที่ 2. รู้ลึก รู้จริง ขำด้วย

 เรื่องเล็กๆน้อยๆเอาไว้ก่อน มาถึงตอนนี้ผู้คนสงสัยว่า โอเค วัดนี้ด้านดีๆก็มีบ้าง แต่ทำไมถึงไม่เป็นข่าว นี่จะบอกให้ ดูหน้า1หนังสือพิมพ์สิ ลงข่าวดี ลงข่าวโลกสวยซะที่ไหน มันไม่มีองค์ประกอบของข่าว หรือคุณค่าความเป็นข่าวไงครับ เช่น ต้องเป็นบุคคลสำคัญ ความแปลกประหลาด การค้นพบวิทยาการอะไรใหม่ๆ เรื่องที่มีความใกล้ชิดกับเราหรือมีผลกระทบกับเรา เป็นต้น กิจกรรมประเภท CSR หรือ PR หน่วยงานต่างๆส่วนใหญ่จะเสียตังค์ซื้อพื้นที่สื่อเอง ส่วนข่าวดราม่าๆตามกระแสสังคม โดยเฉพาะคนกรุงฯและชาวโซเชี่ยล แบบนี้แหละ สำนักข่าวชอบ

เหมือนดาราสักคน บางคนอาจจะดี แต่ภาพลักษณ์ผ่านสื่ออาจดูเลว ส่วนบางคนเลว แต่สร้างภาพผ่านสื่อว่าดี มันขึ้นอยู่กับตัวเราแล้วแหละ ว่าจะมีวิจารณญาณขนาดไหน

โดยเฉพาะล่า สุด ธุดงค์ธรรมชัย ของวัดนี้แน่นอนว่าสำนักข่าวต่างๆจ้องเล่นข่าวอยู่แล้ว ตามหลักทฤษฎี เข้าหลายข้อเลยแหละ และยิ่งบอกว่าทำให้รถติดด้วยนะ ยิ่งแจ่มเลย ขนาดฝนตกแล้วรถติดยังด่าฝนเลยจ้าาา ฉะนั้น ชาววัดพระธรรมกายอย่าน้อยใจ นี่คือโลกของความเป็นจริง ท่องเอาไว้เลยว่า "ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์" 

แม้ว่าคุณจะแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ ประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า ยกหลักพระไตรปิฎกมาบอกว่าเป็นการธุดงค์ตามพระธรรมวินัยทุกประการก็ตาม เดินบนไหล่ทาง ก็จะโดนด่า คนเขาไม่สนใจว่าคุณเดินตามเส้นทางวัดสำคัญๆที่หลวงปู่สด วัดปากน้ำเคยผ่าน เขาก็จะไล่คุณไปเดินเข้าป่านู่น แม้วัดคุณจะมีโครงการเดินธุดงค์ธรรมชัยพัฒนาวัดร้างให้เป็นวัดรุ่ง เดินตามชนบทมาทั่วประเทศแล้วก็ตาม เขาก็ยังจะไล่คุณไปเดินแถว 3-4 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งแม้ว่าทางวัดคุณจะมีกิจกรรมถวายสังฆทานยก4จังหวัดทุกเดือนที่ใต้ก็ตาม ต้องทำใจ พฤติกรรมการเสพสื่อสมัยใหม่เป็นไปตามกระแสเช่นนี้ จึงต้องรู้ให้เท่าทัน และต้องให้ถูกจริตคนกรุง+เด็กเกรียนคีย์บอร์ดทั้งหลาย

อีก ประเด็นยอดฮิต หลายคนบอกว่า วัดพระธรรมกายรวยก็รวย ทำไมไม่ให้ทุนการศึกษา ที่จริงมีเยอะครับ เยอะมาก เช่นโครงการวีสตาร์ แว่วๆว่าแต่ละปีวัดทุ่มให้กับทุนการศึกษานักเรียนกว่าร้อยล้าน บริจาคโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เปิดคลีนิครักษาฟรี ยังไม่รวมงานสังคมสงเคราะห์ของลูกศิษย์ตัวบิ๊กๆ..แน่นอน ไม่เป็นข่าว

เพราะ อะไร ส่วนหนึ่งอาจมาจาก เหมือนสำนักข่าวก็ไม่อยากpr ให้วัดนั่นแหละ กลัวถูกครหาว่าเป็นสาวก เพราะขนาดลูกศิษย์ลูกหาแท้ๆ ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวต่อสาธารณะ ทั้งๆที่มีอยู่ทุกวงการ กลัวถูกสังคมรังเกียจ ข่าวว่าแต่ละวันแต่ละเดือน ก็จะคอยภาวนาว่า "วัดชั้นจะถูกพันทิบกับสำนักข่าวขุดขึ้นมาด่าอีกไหมหนอ" ชนชายขอบเหล่านี้ ยอมรับว่าน่าเห็นใจ ก็กลัวๆอยู่ว่าวันดีคืนดีเค้าจะลุกขึ้นมาเอามีดปาดคอหรือทำระเบิดพลีชีพใส่ พวกด่าวัดพระธรรมกาย อย่างกลุ่มไอเอสรึเปล่า แต่ทางวัดก็คงไม่สอนแบบนี้หรอก สบายใจได้

อีกอันเรื่องการบริจาค วัดนี้ จากการวิจัย ไม่ได้เน้นเรื่องทำทานนะครับ เน้น "ภาวนา" หรือนั่งสมาธิเป็นหลัก ใครเคยไปจะรู้ว่านั่งจนตาตุ่มด้าน นั่งจนจะไปนิพพาน จะไปที่สุดแห่งธรรม นี่คือแก่นคำสอนของวัดเลย เราต้องเข้าใจใหม่เวลาจะวิจารณ์เค้า ไม่ใช่อยู่ก็เปิดหน้าว่า "สอนผิดๆสอนทำบุญเยอะๆ" แค่นี้ก็พูดกันคนละภาษาแล้ว ผมเชื่อว่าคนวัดพระธรรมกายคุยได้ แม้บางครั้งเราจะไม่เข้าใจ เพราะอุดมการณ์สูงสุดในชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน การให้ค่าต่อสิ่งหนึ่งๆจึงไม่เหมือนกัน เราอย่าเพิ่งเอามาตรฐานตัวเราไปเปรียบเทียบ ขอเตือน เดี๋ยวเงิบ

ส่วน เรื่องศีล ชาววัดพระธรรมกาย ถือศีล5 เป็นปกติ เพื่อนผมที่เป็นชาววัดบางคนถือศีล8เลยจ้า ถ้าใครมีเพื่อนเข้าวัดนี้ สังเกตง่ายๆว่าจะไม่ดื่มเหล้าสูบุหรี่ วันอาทิตย์ก็เข้าวัดตลอด ไม่รู้ว่าล้างสมองกันยังไง

กลับมาเรื่องบริจาค มีทั้งคนทำน้อยทำมาก ไม่บังคับ และที่สำคัญ อันนี้ขีดเส้นใต้8ล้านที "วัดนี้ไม่เคยสอนว่าต้องทำบุญมากๆถึงจะได้บุญมาก" และไม่เคยสอนว่าเอาเงินซื้อสวรรค์ซื้อนิพพานได้ วัดสอนตามหลักพุทธทุกอย่าง คือ บุญกริยาวัตถุ10 เรื่องเชียร์ทำบุญกันก็เป็นกุศโลบายกำจัดความตระหนี่จากใจ สละโลภ อย่างบุคคลในสมัยพุทธกาล อันนี้ทางวัดจะย้ำ โดยเฉพาะดำเนินตามรอยนิสัยพระพุทธเจ้าตอนเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ที่แบบว่า ยอมตายได้เพื่อสร้างบารมีทั้ง10ทัศ

เท่าที่สังเกต วัดนี้คนปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง มีเป้าหมายคือ "เข้าถึงวิชชาธรรมกาย" ไม่เชื่อถามดู ไม่ได้มาวัดเพื่อบริจาคแล้วหวังรวย พวกเราจำใส่หัวกันใหม่นะ อีกอย่าง ชาววัดนี้ ไม่ได้หวังอยู่แค่สวรรค์ แต่หวังนิพพาน และไกลกว่านิพพานเฉพาะตัวเอง คือใช้คำว่า "รื้อสัตว์ขนสัตว์เข้านิพพานให้หมด" ด้วยการชวนคนทั้งโลกมาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิให้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย เท่ากับการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาชั้นเบื้องต้น จนลุ่มลึกเข้าไป

สรุป ง่ายๆคือ หมู่คณะวัดพระธรรมกาย ปฏิญาณตนสั่งสมบารมีไปเรื่อยๆ เติมเต็มไปทุกชาติ จนกว่าจะเข้านิพพาน เมื่อรู้ว่าระหว่างภพชาติที่ยังไปไม่ถึงก็สร้างบุญเป็นเสบียงให้เกิดมามี พร้อม อันนี้คือความคิดของคนวัดนี้ ก็น่าคิดเล่นๆนะว่า มิน่าล่ะถึงมีแต่เศรษฐี



บทความย๊าว ยาวต่อตอนที่ 3 นะค่ะ ย่ิงอ่านยิ่งสนุก 

cr.นักข่าวผู้มาเจาะลึก และไม่ประสงค์ออกนาม

#พระพุทธศาสนา #ธรรมกาย #วัดพระธรรมกาย #dhammakaya

ไพบูลย์ คุ้มฉายา พบป๋า เตรียมหักหลัง คสช. หรือ? รับงานเปรม?

กูต้องได้ 100 ล้านจากทักษิณแน่ๆ

ท่านสมาชิกทั้งหลาย เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่บ้านสี่เสาเทเวศน์ ได้มีการพบปะกันระหว่างสองบุคคลสำคัญ (อยากรู้ว่าไปจริงไหม ให้ถามทส.ป๋า งานนี้ ว.5 สี่เสาฯ ไม่ได้ลงสมุดปูมนะ อิอิ)

คนหนึ่ง เป็นลูกป๋ามานานแล้ว รับงานตามบัญชาของป๋ามานาน คนคนนั้นคือ ต๊อก หรือ ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ก.ยุติธรรม (หลังๆ ก็มาเกาะกับป้อมโป๊ยก่าย ไม่ให้ตกขบวน)

นี่ก็แว่วๆ ว่าไปรับงานสำคัญมาสองอย่าง งานแรกก็คือเรื่องกวาดล้างฝั่งตรงข้าม ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่คสช.ทำอยู่แล้ว แต่อีกงานหนึ่ง "ไม่แน่ใจว่า" ไปรับคดีอะไรมาเพิ่มเป็นพิเศษหรือเปล่า เพราะคดีต้องอาศัยการบิดเบือนกฎหมายอย่างมาก และหากบิดเบือนกฎหมาย แทรกแซงขบวนการตุลาการจนสามารถทำคดีได้สำเร็จ ก็อาจได้รับการปูนบำเหน็จ อย่างงาม

ไม่แน่ใจอีกเหมือนกันว่า ป้อม โป๊ยก่าย บ้านป่ารอยต่อ ได้รับรู้เรื่องนี้หรือยัง นี่คนในคสช.เขาข้ามไปหาป๋าของเขาแล้วนะ แบบนี้ยอมได้อย่างไร ส่วนไอ้ควายตู้นั้นก็เหยียบเรือสองแคม ใครกำลังมีอำนาจต่อรองมากกว่าก็โอนอ่อนไปทางนั้น อย่างที่เห็นและเป็นอยู่

ถ้าไอ้ควายตู้จะไปจากอำนาจจริงๆ ต๊อกลูกรักของป๋า ก็คงรอเสียบอยู่ไม่ไกลนัก เพราะป๋าคงจะดันแน่ๆ ถ้าทำสำเร็จ (แต่ตู่จะยอมเร้อ)

@กูต้องได้ 100 ล้านจากทักษิณแน่ๆ

Cherry Caviara's photo.

ดร.เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนลุย ตอน "ทำไม ดร. ทักษิน จึงเป็นเป้าโจมตี ไม่จบสิ้น? เขาเลวร้ายจริง หรือมีอะไรลึกกว่านั้น?"

ดร.เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนลุย ตอน "ทำไม ดร. ทักษิน จึงเป็นเป้าโจมตี ไม่จบสิ้น? เขาเลวร้ายจริง หรือมีอะไรลึกกว่านั้น?"

https://youtu.be/V4YbuGIUiz0

หรือ

https://youtu.be/ir9XxqbSJ6U

หรือ

https://youtu.be/aay-v3bukmw

หรือ

http://www.dailymotion.com/video/x3n1htx

----------------------

สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน

----------------------

สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน

ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้

http://tinyurl.com/o2rzao8

หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

Sunday, January 17, 2016

การแทรกแซงราคายาง: เกมปล้นชาติของ ปชป.​กับ ทหารโง่ (ลูกหลานพ่อท่านคล้าย)

ผลประโยชน์บนคราบน้ำตาและความตายของชาวสวนยาง..


การที่รัฐบาลยุทธเหล่นำเงินหมื่นสองพันล้านบาท ไปซื้อยางแผ่นดิบในราคากิโลกรัมละ 45 บาท ปริมาณ 100,000 ตัน โดยจะมีการตั้งจุดรับซื้อทั่วประเทศฟังดูหากไม่รู้ข้อเท็จจริงอาจจะเคลิ้มแต่เป็นที่รู้ดีกันในพื้นที่ภาคใต้ว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่กษตรกรจะนำยาวแผ่นดิบไปจำหน่ายยังจุดรับซื้อ เพราะในเวลานี้ เกษตรกรไม่ได้ทำยางแผ่นมานานมากแล้ว จึงขายเฉพาะน้ำยางสด ดังนั้น ยางแผ่นดิบจึงอยู่ในมือพ่อค้ายางเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอยู่ในกำมือของบริษัทศรีตรัง(ทุนสนับสนุน ปชป.) ซึ่งเป็นกลุ่มทุนในการผูกออกยางไปตลาดสิงคโปร์ แล้วถามยุทธเหล่ว่า แม้รัฐบาลทหารจะตั้งจุดรับซื้อมากมายเท่าไหร่ก็ตาม แต่คนที่รับประโยชน์เต็มๆก็คือพ่อค้ายาง(แบบ 100 %) ไม่มีทางที่เกษตรกรสวนยางรายย่อยจะสามารถนำยางแผ่นดิบไปขายได้ เพราะไม่มียางแผ่นดิอยู่ในมือ มีแต่น้ำยางสดเท่านั้น และอีกประการที่ตอกย้ำความไม่ชอบมาพากลก็คือ ขณะนี้อยู่ในช่วงยางผลัดใบ จึงไม่มีการกรีดยาง แต่รัฐบาลยุทธเหล่กลับรับซื้อยางแผ่น ยิ่งเป็นการสวนทางต่อข้อเท็จจริง กล่าวคือ ในขณะนี้มีเฉพาะยางแผ่นดิบที่พ่อค้าสต็อคไว้ จากการรับซื้อน้ำยางสดมาผลิตเป็นยางแผ่นในช่วงก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังมียางแผ่นดิบที่รัฐบาลสต็อคไว้จากการพยุงราคาในหลายรอบที่ผ่านมา
   จึงไม่สามารถกล่าวเป็นอย่างอื่นได้เลยนอกจากต้องฟันธงว่า รัฐบาลทหารสมคบคิดกับ ปชป.และบริษัทส่งออกยาง ในการตักตวงผลประโยชน์บนคราบน้ำตาและความตายของชาวสงนยาง...หรือว่าไม่จริง

เอวัง..ก็มีด้วยประการ..ฉะนี้

..."การแก้ปัญหายางราคาตกต่ำ"...

โดยกำหนดราคารับซื้อ
60 บาท/ก.ก
ดูแล้วนายทุนและคน
พรรคประชาธิปัตย์คง
จะรวยกันทั่วหน้า เพราะ
ก่อนที่รัฐเข้ามาแทรก
แซงราคายางแผ่นดิบ
อยู่ในมือนายทุนราย
ใหญ่กันหมดแล้วรวมทั้ง
กลุ่มสหกรณ์ต่างๆเพราะ
เกษตรจำเป็นต้องขาย
เนื่องจากมีความจำเป็น
ต้องใช้เงินหมุนเวียนมา
เลี้ยงครอบครัวราคายาง
แผ่นดิบจึงถูกพ่อค้าคน
กลางกดราคาซื้อในราคา
ถูกๆเพราะเป็นโอกาสที่
ดีจะได้ต้นทุนในราคาถูก
การที่พ่อค้ารายใหญ่สา
มารถสต๊อกยางได้มาก
เพราะมีเงินทุนหมุนเวียน
จากสถาบันการเงินตั้ง
วงเงินไว้ให้ทั้งO/Dและ
ตั๋วสัญญาใช้เงินร่วม 
100 ล้านบาทแค่เหตุผล
นี้ยางฯก็จะไหลไปอยู่
นายทุนรายใหญ่ส่วน
เกษตรกรรายย่อยที่
มีสวนยางแค่ 5-10
 ไร่ต้องขายยางฯกิน
รายวันประทังชีวิตไป
เรื่อยๆ
...ดังนั้นยางแผ่นดิบ
ที่อยู่ในสต๊อกพ่อค้า
รายใหญ่ก็เอามาขาย
ข้ามจังหวัดกับเครือ
ข่ายพ่อค้าด้วยกัน
ฟาดกำไรเหนาะๆไม่
ต้องดิ้นรนส่งไปขาย
ต่างประเทศ แม้จะมี
มาตรการป้องกันใดๆ
ก็ไม่สามารถปิดช่อง
โหว่ให้นายทุนซิกแซก
ได้ อย่างน้อยลูกจ้าง
ในคอนโทรงต้องเชื่อ
ฟังนายจ้างอยู่ดีและ
ปัญหานี้จะซ้ำรอยเดิม
ที่รัฐมนตรีเกษตรคน
เก่าเอาเงินมาหว่าน
ให้พ่อค้าไปหลายพัน
ล้านบาทต้องขนยาง
ข้ามจังหวัดกันวุ่นวาย
และจะได้เห็นยางสัญ
ชาติจากอีสานที่มีคน
ภาคใต้เป็นนายทุน
ใหญ่ปลูกในภาคอีสาน
ขนขึ้นรถเทรลเลอร์ลง
ไปหาดใหญ่หรือนคร
ศรีฯเพราะราคาแตก
ต่างกันระหว่าง24บาท
ไปขายให้รัฐ45บาท
(ออกข่าวเมื่อเข้านี้)ไม่
ใช่ 60 บาทและยังไม่มี
ข่าวว่าจะช่วยพี่น้องชาว
สวนยางฯอย่างไร และ
เน้นไปที่ภาคใต้เพราะ
อยู่ในม็อบ ก.ปปส.
จำนวนมาก พอจะมอง
เห็นหรือยังว่าใครจะได้
รับผลประโยชน์จากการ
เข้าแทรกแซงราคายาง
60 บาทเผลอๆสังเกตุดู
ดีๆอาจจะมีพ่อค้าเกิด
ใหม่ที่มีเสื้อทับมีสีเขียวๆ
เป็นพ่อค้าสมัครเล่นและ
/หรือมีครอบครัวของคน
มีสีรักอาชีพพ่อค้าซื้อยาง
ในเวลานี้ก็ได้เพราะเกิด
ความรักและห่วงใย
เกษตรชาวสวนยางฯขึ้น
มาเป็นพิเศษในช่วงนี้....

วิธีโหลดวีดีโอจากยูทูปแบบไม่ต้องลงโปรแกรมอะไรเลย

วิธีโหลดวีดีโอจากยูทูปแบบไม่ต้องลงโปรแกรมอะไรเลย ใช้ได้หมดทุกBrowser แค่พิมพ์อักษร ss เพิ่มไปในลิ้ง ตรงหน้าคำว่า youtube (เมื่อเพิ่มอักษร ss เสร็จก็กด Enter พอมาถึงหน้าเว็บโหลด เราก็เลือกชนิดที่เราต้องการโหลดในช่องสีเขียว เมื่อเรากดเลือกแล้วเช่น 720p mp4 ก็เสร็จแล้วครับ ระบบจะโหลดไฟล์ให้เราทันทีเลย **ตัวอย่าง http://www.ssyoutube.com/watch?v=oz8RGEQA_W8&itct=CBoQpDAYASITCMOqzpWYsMoCFZw8aAodItsKUTIGcmVsbWZ1SNy_5ta997Hp3wE%3D

"ข้อคิดและกลยุทธ์ในการสร้างเครือข่ายมดแดงล้มช้าง" ชวนคิดชวนลุยโดย ดร. เพียงดิน รักไทย เที่ยงวันเมืองไทย อาทิตย์ 17 มกราคม 2559

"ข้อคิดและกลยุทธ์ในการสร้างเครือข่ายมดแดงล้มช้าง" 
ชวนคิดชวนลุยโดย ดร. เพียงดิน รักไทย เที่ยงวันเมืองไทย อาทิตย์ 17 มกราคม 2559

----------------------
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
----------------------
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน 
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

สภาวะ แล้งจัด! กำลังเริ่ม เข้ามาแล้ว.

Touch (via LINE)  สภาวะ แล้งจัด! กำลังเริ่ม เข้ามาแล้ว..โจรปล้น ชาติ ก็ยังมั่วแต่ยึด..เศรษกิจไล่จับ..แต่ประชาชนข่มขู่คุกคามแต่ ประชาชน ผู้เห็นต่าง เป็นอย่างเดียว เพราะการทำรปห.จากใบสั่งของเง็กเซียนฮ่องเต้! เทวดาสมุติเทพ ทหารของพระราชา!
...............
เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2559ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่จ.นครพนมจากปัญหาสภาพภัยแล้งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในพื้นที่ขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตรและอุปโภคบริโภคส่งผลให้ขาดรายได้เสริมช่วงหน้าแล้งจากการทำการเกษตรโดยเฉพาะพื้นที่ไม่มีระบบชลประทานทำให้มีปัญหาไม่สามารถทำการเกษตรได้เช่นเดียวกันกับชาวบ้านในพื้นที่ต.ปลาปากอ.ปลาปากจ.นครพนมที่ประสบภัยแล้งทำการเกษตรไม่ได้ต้องหันไปยึดอาชีพภูมิปัญญาชาวบ้านออกไปขุดหาจับจับหนูนาตามทุ่งนาไปขายตามตลอด 

Saturday, January 16, 2016

Anonymous เปิดโปงคดีเกาะเต่าอย่างละเอียด เชื่อแน่ใช้แพะรับบาป ชักชวนบอยคอตประเทศไทย

Anonymous เปิดโปงคดีเกาะเต่าอย่างละเอียด เชื่อแน่ใช้แพะรับบาป ชักชวนบอยคอตประเทศไทย

 by Woodside New York
วันอังคาร, มกราคม 05, 2559

เราคือนิรนาม (We are Anonymous)
 
ฆาตกรรมที่เกาะเต่า –เปิดโปงโดย อะนอนีมัส
 
วิดีโอนี้ ลงลึกเข้าไปในข้อเท็จจริงของคดีฆาตกรรมเดวิด มิลเลอร์กับแฮนนาห์ วิตเทอริดจ์ ที่เกาะเต่าเมื่อไม่นานมานี้
 
เมื่อเร็วๆ นี้ศาลชั้นต้นของไทยพิพากษาประหารชีวิต ไว เฟีย และ ซอ ลิน ข้อหาฆ่าเดวิดกับแฮนนาห์
 
ข้อเขียนออนไลน์และวารสารอินเตอร์เน็ตจำนวนมากกล่าวว่าผู้อพยพชาวพม่าทั้งสองแท้จริงเป็นแพะรับบาป
 
อะนอนีมัสได้ทำการตรวจสอบคดีฆาตกรรมและเกาะพิลึกพิลั่นแห่งนี้
 
เราได้เจอกับความน่าขยะแขยงเมื่อเราค้นพบการคอรัปชั่นน่าเกลียดของตำรวจไทย พร้อมทั้งการขาดทักษะและไร้ความสามารถในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมรุนแรง
 
ทางการตำรวจไทยเคยใช้แพะรับบาป และปรักปรำคนให้รับกรรมแทนมาแล้ว แต่ถูกจับได้
 
การปกป้องอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศไทย แต่อย่างไรก็ดีขระนี้อะนอนีมัสได้จี้ให้กระเส่าสุดๆ แล้ว
 
สิ่งที่อะนอนีมัสค้นพบล้วนแต่ชวนตะลึงและทุเรส นี่ว่าอย่างเบาที่สุดแล้ว
 
เป็นที่แจ้งชัดต่ออะนอนีมัสว่าคดีฆ่าข่มขืนแฮนนาห์ วิตเทอริดจ์และเดวิด มิลเลอร์ นี้การพิพากษาตัดสินมิได้ถุกต้องสมบูรณืเลยแม้แต่นิด
 
ข้างล่างนี่เป็นลิ้งค์ต่างๆ ที่เราใช้ในการค้นคว้า และเราจะติดตามคดีนี้ต่อไปในอนาคตหากมีอะไรเพิ่มเติม
 
 
Transcript:
After viewing this video if you feel there is evidence 
of Thai Police corruption and that these two Burmese 
boys have been used as scapegoats, the we encourage you 
to sign this petition below.

Koh Tao Crime Photos:

Videos about the Koh Tao murder case on the 15th Sept 
2014

Koh Tao Murders | Call for justice in the investigation 
& judicial procedure

—————————
Case:
Senior police officers give contradictory evidence at 
Hannah Witheridge murder trial 

Koh Tao murder trial: Defendents did not have 
representation during interrogations, court hears:
Koh Tao 'murderers' were tortured, says Burmese embassy 
lawyer:

Thai motorbike gang mugged British women night before 
backpacker couple were murdered on Koh Tao island:

Koh Tao Suspicious Crimes & Deaths:

Thailand backpacker murders: Burmese workers sentenced 
to death:

Thailand beach murders: Burmese suspect claims he was 
beaten, tortured by police:

GUILTY Thailand – David Miller, 24, & Hannah 
Witheridge, 23, Koh Tao, 15 Sep 2014

Police now rule out Koh Tao headman's son a murder 
suspect, turn to foreign tourists in the probe:

Koh Tao headman offers one million baht cash if 
evidence proves his family implicated in the tourist 
murder:

implicated-tourist-murder 
Zaw Rim, Win 'murdered' Koh Tao backpackers Hannah 
Witheridge and David Miller

New twist in murder of two Brits in Koh Tao:

PHUKET: DNA test for Koh Tao AC Bar owner's son

Koh Tao: Suspects found guilty of murdering British 
backpackers

Nomsod – Putting a Suspect to Rest:

One tourist murder suspect now arrested, another on 
the run:

CSI LA: Facebook

SOME OLD WOUNDS, SOME NEW ONES, COME TO THE FORE AS 
CONTROVERSIAL MURDER TRIAL ROW CONTINUES:

Son of Koh Tao Island Chief Denies Role In Britons' 
Murder:

————
Kirsty jones:
Murdered backpacker Kirsty Jones: Mum says Foreign 
Office prioritising diplomacy over justice for daughter

Mum of murdered backpacker Kirsty Jones accuses Foreign 
Office of putting diplomacy ahead of her quest for 
answers: 

Remembering Kirsty Jones Part III: Scapegoating:

—————————————–
Kelvin Bourke & Sheri McFarlane:
Hill-tribe men 'set up' for rape, murder of Aussies: 

Death sentence for Thai men who killed Australian:

Mystery still swirls over 2000 Aussie backpacker 
murder:

Death sentence for Australian's slaying quashed:

Thailand Murder:

———————————-
Nick Pearson:
Thailand beach death: Parents convinced son murdered – 
and his killing covered up to protect tourism

Christina Annesley:
Graduate, 23, died in Thailand just two weeks into a 
four month backpacking trip and only days after 
tweeting she had a chest infection and was taking 
Valium 

Third young British backpacker dies on Thai island of 
Koh Tao:

Koh Tao autopsy raises medication + alcohol suspicions 
(updated)

Dimitri Povse:
Frenchman found hung in Koh Tao: foul play suspected:

WITH its spectacular turquoise water, lush jungles and 
laid-back vibe, the tiny island of Koh Tao seems like 
paradise.

Thai Criminologist Doubtful in Koh Tao Hanging Suicide 
of Dimitri Povse:

French man hanged on Koh Tao with hands tied handled as 
suicide:

hanged-koh-tao-hands-tied-handled-suicide
————————————
YouTube:
——————————————-
#KohTao #Thailand #RoyalThaiPolice #DavidMiller 
#HannahWitheridge #KelvinBourke #WaiPhyo #ZawLin
#SheriMcFarlane #KirstyJones #NickPearson 
#InTouchResort #AcBar #MontriwatToovichien 
#ChristinaAnnesley #DimitriPovse #WoratTuwichian
#WoraphanTuwichian #SeanMcAnna #ThaiCorruption 
#Burma #DrPorntip #TeerawutPhomhaan #Corruption
#ThaiMafia
เราคือนิรนาม (We are Anonymous)
 
ฆาตกรรมที่เกาะเต่า –เปิดโปงโดย อะนอนีมัส
 
วิดีโอนี้ ลงลึกเข้าไปในข้อเท็จจริงของคดีฆาตกรรมเดวิด มิลเลอร์กับแฮนนาห์ วิตเทอริดจ์ ที่เกาะเต่าเมื่อไม่นานมานี้
 
เมื่อเร็วๆ นี้ศาลชั้นต้นของไทยพิพากษาประหารชีวิต ไว เฟีย และ ซอ ลิน ข้อหาฆ่าเดวิดกับแฮนนาห์
 
ข้อเขียนออนไลน์และวารสารอินเตอร์เน็ตจำนวนมากกล่าวว่าผู้อพยพชาวพม่าทั้งสองแท้จริงเป็นแพะรับบาป
 
อะนอนีมัสได้ทำการตรวจสอบคดีฆาตกรรมและเกาะพิลึกพิลั่นแห่งนี้
 
เราได้เจอกับความน่าขยะแขยงเมื่อเราค้นพบการคอรัปชั่นน่าเกลียดของตำรวจไทย พร้อมทั้งการขาดทักษะและไร้ความสามารถในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมรุนแรง
 
ทางการตำรวจไทยเคยใช้แพะรับบาป และปรักปรำคนให้รับกรรมแทนมาแล้ว แต่ถูกจับได้
 
การปกป้องอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศไทย แต่อย่างไรก็ดีขระนี้อะนอนีมัสได้จี้ให้กระเส่าสุดๆ แล้ว
 
สิ่งที่อะนอนีมัสค้นพบล้วนแต่ชวนตะลึงและทุเรส นี่ว่าอย่างเบาที่สุดแล้ว
 
เป็นที่แจ้งชัดต่ออะนอนีมัสว่าคดีฆ่าข่มขืนแฮนนาห์ วิตเทอริดจ์และเดวิด มิลเลอร์ นี้การพิพากษาตัดสินมิได้ถุกต้องสมบูรณืเลยแม้แต่นิด