Translate

Thursday, October 23, 2025

หลักการมอนโร (Monroe Doctrine) – จากอดีตสู่ปัจจุบัน เมื่อสหรัฐจัดระเบียบหลังบ้านอีกครั้ง


รายงานนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจด้านการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหลักการมอนโร โดยเน้นเนื้อหาที่ละเอียดแต่เข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่ไม่ซับซ้อน หัวข้อย่อย และรายการจุดเพื่อความสะดวกในการอ่าน เราจะเริ่มจากพื้นฐานประวัติศาสตร์ หลักการสำคัญ การวิวัฒนาการ ตัวอย่างการนำไปใช้ และความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์โลกในปี 2025บทนำหลักการมอนโรคืออะไร? มันคือเอกสารนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศในปี ค.ศ. 1823 โดยประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร นโยบายนี้เปรียบเสมือน "รั้วกั้น" ที่สหรัฐฯ สร้างขึ้นเพื่อปกป้องทวีปอเมริกาเหนือและใต้จากอิทธิพลของมหาอำนาจยุโรป ในยุคที่หลายประเทศในละตินอเมริกาเพิ่งได้รับเอกราช มันไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นคำเตือนที่ส่งผลกระทบยาวนานต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนถึงปัจจุบัน มันยังถูกนำมาอ้างอิงในสถานการณ์เช่นการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ กับจีนหรือรัสเซียในภูมิภาคละตินอเมริกาประวัติศาสตร์พื้นหลังในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ยุโรปกำลังวุ่นวายกับสงครามนโปเลียน ซึ่งทำให้จักรวรรดิสเปนและโปรตุเกสในละตินอเมริกาล้มสลาย ส่งผลให้หลายประเทศ เช่น เม็กซิโก อาร์เจนตินา และบราซิล ได้รับเอกราช สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษไม่นาน กลัวว่ามหาอำนาจยุโรป เช่น รัสเซีย ฝรั่งเศส หรืออังกฤษ จะเข้ามายึดครองพื้นที่เหล่านี้ใหม่
  • แรงบันดาลใจหลัก: มาจากคำแนะนำของรัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น ควินซี อดัมส์ ที่ต้องการให้สหรัฐฯ แสดงจุดยืนชัดเจน โดยได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษซึ่งต้องการค้าขายเสรีในภูมิภาคนี้
  • การประกาศ: มอนโรประกาศในสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1823 โดยเน้นว่าอเมริกาเป็น "เขตปลอดภัย" สำหรับรัฐเอกราชใหม่ๆ
ในตอนแรก นโยบายนี้ไม่ได้มีอิทธิพลมากนัก เพราะสหรัฐฯ ยังอ่อนแอทางทหาร แต่ต่อมาเมื่อสหรัฐฯ แข็งแกร่งขึ้น มันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายอิทธิพลหลักการสำคัญหลักการมอนโรมีสามประการหลักที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา :
  • ห้ามล่าอาณานิคมใหม่: ยุโรปไม่สามารถตั้งอาณานิคมใหม่ในทวีปอเมริกาได้อีก พื้นที่ที่เหลือถือเป็นเขตของรัฐเอกราชในภูมิภาคนี้
  • ห้ามแทรกแซง: ห้ามมหาอำนาจยุโรปเข้าไปควบคุมหรือแทรกแซงรัฐเอกราชในละตินอเมริกา หากทำจะถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ โดยตรง
  • ความเป็นกลางของสหรัฐฯ: สหรัฐฯ สัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในยุโรปหรือสงครามของพวกเขา เพื่อแลกกับการที่ยุโรปไม่ยุ่งกับอเมริกา
หลักการเหล่านี้สร้าง "เขตอิทธิพล" แยกกันระหว่างโลกเก่า (ยุโรป) และโลกใหม่ (อเมริกา)การวิวัฒนาการของหลักการมอนโรหลักการนี้ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ถูกตีความและปรับใช้ใหม่ตามยุคสมัย :
  • ยุคแรก (1823-1900): เน้นการป้องกัน มันถูกนำมาใช้ในปี 1865 เพื่อขับไล่ฝรั่งเศสออกจากเม็กซิโก
  • หลักการเสริมของรูสเวลต์ (Roosevelt Corollary, 1904): ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์ขยายความ โดยประกาศว่าสหรัฐฯ มีสิทธิ์แทรกแซงในละตินอเมริกาเพื่อป้องกันความวุ่นวาย เช่น กรณีหนี้สินของเวเนซุเอลาที่อาจนำไปสู่การบุกของยุโรป สหรัฐฯ จะทำหน้าที่ "ตำรวจระหว่างประเทศ" เพื่อรักษาความสงบ นี่เปลี่ยนจาก "ป้องกัน" เป็น "แทรกแซงเชิงรุก"
  • ยุคสงครามเย็น (1945-1991): สหรัฐฯ ใช้หลักการนี้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ เช่น การสนับสนุนรัฐประหารในกัวเตมาลา (1954) และชิลี (1973) เพื่อป้องกันอิทธิพลโซเวียต
  • ยุคหลัง (1990s-ปัจจุบัน): การตีความกว้างขึ้น รวมถึงการต่อต้านอิทธิพลจากนอกยุโรป เช่น จีนและรัสเซีย
ตัวอย่างการนำไปใช้ในประวัติศาสตร์เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน นี่คือตัวอย่างสำคัญ:
  • กรณีเม็กซิโก (1865): สหรัฐฯ ใช้หลักการมอนโรกดดันฝรั่งเศสให้ถอนทัพจากเม็กซิโก หลังจากที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 พยายามตั้งหุ่นเชิดปกครอง
  • สงครามสเปน-อเมริกา (1898): สหรัฐฯ ยึดคิวบาและเปอร์โตริโก โดยอ้างหลักการนี้เพื่อป้องกันการครอบงำของสเปน
  • วิกฤตเวเนซุเอลา (1902-1903): เยอรมนีและอังกฤษบุกเวเนซุเอลาเพื่อเก็บหนี้ รูสเวลต์ใช้ Corollary เพื่อแทรกแซงและแก้ปัญหา
  • ยุคสงครามเย็น: การบุกอ่าวหมูในคิวบา (1961) เพื่อโค่นฟิเดล คาสโตร ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นภัยจากโซเวียต
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงว่าหลักการมอนโรถูกใช้ทั้งเพื่อป้องกันและขยายอำนาจความเกี่ยวข้องในยุคปัจจุบัน (ปี 2025)ในปี 2025 หลักการมอนโรยังคงมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะในบริบทการแข่งขันมหาอำนาจ สหรัฐฯ มองละตินอเมริกาเป็น "สวนหลังบ้าน" และใช้มันต่อต้านอิทธิพลจากจีน รัสเซีย และอิหร่าน
  • ต่อต้านจีน: จีนลงทุนมหาศาลในละตินอเมริกา เช่น โครงการเข็มขัดและเส้นทาง (Belt and Road) ในเวเนซุเอลาและบราซิล สหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ (สมมติว่ากลับมาปกครอง) พยายาม "ฟื้นฟู" หลักการมอนโรเพื่อขับไล่จีน เช่น การกดดันไม่ให้ประเทศเหล่านี้รับการลงทุนจากจีน
  • รัสเซียและอิหร่าน: รัสเซียสนับสนุนเวเนซุเอลาและคิวบา สหรัฐฯ ใช้หลักการนี้ในการคว่ำบาตรและกดดัน
  • มอนโร 2.0: มีการเสนอ "หลักการมอนโรสมัยใหม่" ที่เน้น nearshoring (ย้ายฐานผลิตใกล้บ้าน) เพื่อเสริมเศรษฐกิจละตินอเมริกาและลดการพึ่งพาจีน เช่น การส่งเสริมการค้าภายในซีกโลกตะวันตก
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์มองว่ามันเป็นเครื่องมือจักรวรรดินิยมที่ทำให้ละตินอเมริกาไม่พอใจ ในปี 2025 มันยังถูกนำมาเปรียบเทียบกับนโยบายของจีนในทะเลจีนใต้หรือรัสเซียในยูเครน ซึ่งแสดงถึงการกำหนดเขตอิทธิพลในโลก multipolarสรุปหลักการมอนโรเริ่มต้นจากคำเตือนป้องกันตัว แต่พัฒนาเป็นเครื่องมือขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในซีกโลกตะวันตก ในปี 2025 มันยังคงเกี่ยวข้องกับการแข่งขัน geopolitical โดยเฉพาะการต่อต้านจีนและรัสเซีย หากคุณเป็นนักศึกษาการเมือง ลองคิดว่ามันจะปรับตัวอย่างไรในโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น – มันยังคงเป็น "รั้ว" ที่แข็งแกร่ง หรือกำลังถูกท้าทายจากมหาอำนาจใหม่? สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม แนะนำอ่านเอกสารต้นฉบับจาก National Archives หรือบทวิเคราะห์ล่าสุดจาก Foreign Policy

นายอนุทิน ชาญวีรกูล ถูกเกี่ยวโยงกับกรณีสแกมเมอร์อย่างไรบ้าง?

 



จากข้อมูลล่าสุดที่รวบรวมได้จากรายงานข่าวและการสืบสวนสาธารณะในช่วงเดือนตุลาคม 2568 (2025) ซึ่งเป็นช่วงที่ปัญหาสแกมเมอร์ชายแดนไทย-กัมพูชากำลังเป็นประเด็นร้อน นายอนุทิน ชาญวีรกูล (Anutin Charnvirakul) ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (นายกฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลชุดนี้ (หลังจากเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลเศรษฐา-แพทองธาร) ถูกพาดพิงในหลายแง่มุม โดยส่วนใหญ่ไม่ใช่การกล่าวหาว่าเขาเกี่ยวข้องโดยตรงกับเครือข่ายสแกม แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบต่อปัญหานี้ รวมถึงการจัดการกับข้อกล่าวหาที่โยงใยถึงรัฐมนตรีในพรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai Party) ซึ่งเขาเป็นหัวหน้าพรรค
. ความเกี่ยวโยงที่ถูกกล่าวถึงมีดังนี้ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อกล่าวหาและวิจารณ์จากฝ่ายค้าน สื่อ และนักเคลื่อนไหว ยังไม่มีการพิสูจน์ในชั้นศาลหรือสอบสวนอย่างเป็นทางการ)

การถูกพาดพิงในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบต่อปัญหาสแกม
  • กดดันจากนานาชาติและภายในประเทศ: อนุทินถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าถูก "กดดันจากมหาอำนาจ" (เช่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้) และประชาชนในประเทศให้เร่งปราบสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชายแดน โดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุชาวเกาหลีใต้ถูกสแกมในกัมพูชาและสูญหาย ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดทางการทูตระหว่างไทย-กัมพูชา สื่อบางแห่งเรียกว่านี่เป็น "เผือกร้อน" ที่กระทบรัฐบาลอนุทินอย่างจัง และอาจนำไปสู่การยุบสภาเพื่อหลีกเลี่ยงการซักฟอกในสภา . เขายังถูกกล่าวหาว่า "โยนความรับผิดชอบ" โดยไม่จัดการอย่างจริงจัง ทำให้รัฐบาลถูกมองว่า "ใส่เกียร์ว่าง" ในปัญหานี้ 
  • ประกาศวาระแห่งชาติแต่ถูกวิจารณ์ว่าช้า: อนุทินประกาศให้การปราบสแกมเป็น "วาระแห่งชาติ" และตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดเพื่อจัดการ (รวมถึงมาตรการตัดสัญญาณเน็ตและเงินในพื้นที่ชายแดน) แต่ถูกวิจารณ์ว่ายังไม่มีมาตรการรูปธรรมชัดเจน และรัฐบาล "รู้ทุกเรื่องแต่ไม่จัดการ" โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เตรียมเปิดชื่อนักการเมืองไทยที่เอี่ยวสแกม ซึ่งอาจกระทบความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ทำให้ไทยกลายเป็นพันธมิตรกับกัมพูชาแทน . นอกจากนี้ เขายังถูกเรียกร้องให้แจ้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (สหรัฐฯ) เกี่ยวกับเงื่อนไข 4 ข้อก่อนเจรจากัมพูชา (เช่น ถอนอาวุธหนัก เก็บทุ่นระเบิด ปราบสแกม จัดการชายแดน) 
ความเกี่ยวโยงผ่านวรภัค ธันยาวงษ์ และรัฐมนตรีในครม.
  • กรณีวรภัค: อนุทินถูกพาดพิงเพราะวรภัค (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังจากโควต้าพรรคภูมิใจไทย) ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งใน 7 นักการเมืองไทยที่เอี่ยวสแกมในกัมพูชา (เช่น ภรรยารับเงินคริปโต 3 ล้านดอลลาร์จากเครือข่าย Benjamin Mauerberger และเคยเป็นที่ปรึกษาธนาคาร BIC ในกัมพูชาที่โยงกับฟอกเงิน) อนุทินสั่งให้วรภัคชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรและแถลงข่าว ซึ่งนำไปสู่การลาออกของวรภัคเมื่อ 22 ต.ค. 2568 เพื่อพิสูจน์ตัวเอง โดยอนุทินกล่าวว่า "เสียดาย" แต่ยืนยันจะไม่ตั้งใครแทน และจะลงโทษหากพบผิดจริง . นี่ถูกมองว่าเป็น "state capture" (การยึดครองรัฐโดยอาชญากร) และทำให้อนุทินถูกวิจารณ์ว่าปกป้องคนในพรรคหรือไม่
  • นักการเมืองในครม. และพรรคภูมิใจไทย: ฝ่ายค้าน (เช่น พรรคประชาชน) ชี้ว่ารัฐบาลอนุทินมีนักการเมืองเอี่ยวสแกม (รวมถึงรองนายกฯ ในครม.) โดยรังสิมันต์ โรม และวิโรจน์ ลักษณ์ณาอดิศร จากพรรคประชาชน เปิดอภิปรายว่ามีการใช้มูลนิธิฟอกเงินสีเทา และเรียกร้องให้อนุทิน "ลากตัวออกมา" ก่อนสหรัฐฯ เปิดชื่อ ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลล่ม นอกจากนี้ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ (อดีตนักการเมือง) แนะอนุทินใช้โอกาสนี้ปราบสแกมในครม. เพื่อเพิ่มคะแนนนิยมให้พรรคภูมิใจไทย บางโพสต์บน X (Twitter) ยังวิจารณ์ว่าพรรคภูมิใจไทยจับมือกับสแกมเมอร์เพื่อล้มเพื่อไทย และอนุทินถูกใช้เป็นเครื่องมือในเกมการเมือง โดยพรรคก้าวไกล (ส้ม) กำลังตีรัฐบาลเรื่องนี้เพื่อลดเครดิตก่อนเลือกตั้งปี 2569 
บริบทอื่นๆ
  • อนุทินยืนยันว่ารัฐบาลจะร่วมมือกับนานาชาติ (เช่น ต่อสายประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และเข้าร่วม IPU โหวตปราบสแกม) และปฏิเสธข่าวลือว่ามีนักการเมือง 7 คนเอี่ยว โดยสั่งกระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบ แต่สื่อบางแห่งชี้ว่าปัญหานี้เป็น "ศึก 3 ก๊ก" ระหว่างเพื่อไทย ภูมิใจไทย และก้าวไกล ซึ่งอาจทำให้คะแนนนิยมของอนุทินและพรรคลดลง  อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันจะลงโทษหากพบหลักฐาน โดย Whale Hunting (โครงการสื่ออิสระ) และสื่อต่างชาติยังคงรายงานว่าปัญหานี้โยงถึง "จักรวรรดิเงา" ของนักการเมืองไทย แต่ไม่กล่าวถึงอนุทินโดยตรง 

การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเครื่องมือควบคุมจิตสำนึกปวงชน

คันฉ่องส่องไทย: แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย และความจริงอันขมขื่นว่า การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเคร...