Translate

Sunday, December 7, 2025

การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเครื่องมือควบคุมจิตสำนึกปวงชน

คันฉ่องส่องไทย: แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย และความจริงอันขมขื่นว่า การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเครื่องมือควบคุมจิตสำนึกปวงชน

ในเวลาที่ผู้มีอำนาจประกาศว่า “การศึกษาเป็นสิ่งสูงค่าและจำเป็น” เราจำเป็นต้องหันมาถามกลับบ้างว่า การศึกษาที่รัฐออกแบบให้นั้น เป็นการศึกษาเพื่อปลดปล่อยประชาชน หรือเป็นเพียง เครื่องมือควบคุมจิตสำนึกตั้งแต่ลูกหลานของเรา ให้ยอมรับระบอบที่มีอยู่โดยไม่คิดตั้งคำถาม

บทความนี้ชวนเปิดแบบเรียนประวัติศาสตร์และสังคมศึกษาไทย เปรียบเทียบสามช่วงยุคสำคัญตั้งแต่ราวปี 2010–2023 เพื่อเห็นว่าเนื้อหาเกี่ยวกับ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร สถาบันกษัตริย์ และประชาธิปไตย ถูก “ตัดทอน” “บิดเบือน” และ “กลบรวม” อย่างเป็นระบบเพียงใด

ส่วนที่ 1: เทียบแบบเรียนสามยุค – ใครเล่าอะไร ใครถูกลบหาย

ยุคที่ 1: ก่อนรัฐประหาร 2557
ช่วงประมาณ: 2010–2013
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
แบบเรียนใช้คำกลาง ๆ ว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่ไม่ใช้คำว่า “ปฏิวัติ” หรือ “การล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์”
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกเล่าแบบแห้ง ๆ ว่าเป็น “กลุ่มนายทหารและพลเรือนบางส่วน” ที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง แทบไม่พูดถึงอุดมการณ์ เหตุผล และความเสี่ยงชีวิตของสมาชิกคณะราษฎร
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
มักมีประโยคว่า “พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงชนชาวไทย” ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าประชาธิปไตยเป็นของที่ มาจากเบื้องบน มากกว่ามาจากการต่อสู้ของประชาชน
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
เน้นเรื่อง “หน้าที่พลเมืองดี” คือเชื่อฟังกฎหมาย รักษาความสงบ เคารพผู้มีอำนาจ มากกว่าการพูดถึงสิทธิในการตรวจสอบรัฐ สิทธิในการประท้วง หรือสิทธิในการเลือกและปลดรัฐบาล
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
บทเกี่ยวกับ 2475 มักมีเพียง 1–2 หน้า ขณะที่บทเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์บางรัชกาล โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 และ 9 กินพื้นที่หลายหน้าเต็ม ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนจึงกลายเป็นเพียง “ตัวประกอบ” ในแบบเรียน
*ยุคนี้ยังไม่ใช้ถ้อยคำด่าทอ 2475 อย่าง露骨 แต่ “การลดทอนให้จืด” ก็แรงพอจะลบความทรงจำเชิงการเมืองได้แล้ว
ยุคที่ 2: ใต้เงา คสช. และราชาชาตินิยมเข้มข้น
ช่วงประมาณ: 2014–2018
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
ในแบบเรียน ม.ปลาย บางเล่มมีถ้อยคำว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นการ ชิงสุกก่อนห่าม เพราะประชาชนยังไม่พร้อม และยังไม่มีการศึกษาพอ” เป็นการวางกรอบให้ผู้อ่านรู้สึกว่า 2475 คือความรีบร้อนผิดจังหวะของคนกลุ่มหนึ่ง
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกเล่ามากขึ้นในมุมลบ ว่าเป็นผู้เร่งรัดการเปลี่ยนแปลง ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและอำนาจนิยมในเวลาต่อมา จุดนี้แทบไม่พูดถึงแรงต้านจากระบอบเก่าและชนชั้นนำ
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
แบบเรียนหลายเล่มเน้นว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจของชาติ และทรงเป็นหลักประกันความมั่นคงของประเทศ” พื้นที่จำนวนมากทุ่มให้โครงการพระราชดำริ และบทบาทกษัตริย์ในฐานะ “ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย”
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
ประชาธิปไตยในแบบเรียนยุคนี้ถูกทำให้หมายถึง “ความสามัคคี ความสงบเรียบร้อย การเคารพผู้นำ และการไม่สร้างความวุ่นวาย” แทบไม่พูดถึงสิทธิในการวิจารณ์รัฐ สิทธิในการคัดค้านรัฐประหาร หรือหลักการว่ารัฐบาลต้องมาจากเสียงประชาชนอย่างแท้จริง
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
บรรยากาศหลังรัฐประหาร 2557 ทำให้ผู้เขียนแบบเรียนจำนวนมาก “เซ็นเซอร์ตัวเอง” เนื้อหาที่แตะเรื่องกองทัพ รัฐประหาร และบทบาทของชนชั้นนำ แทบหายไปจากตำรา เหลือเพียงวาทกรรมเรื่อง “ความมั่นคงและความสงบ”
*นี่คือช่วงที่แบบเรียนไม่เพียง “ลบ” ประวัติศาสตร์บางส่วน แต่เริ่ม “บิดกรอบความคิด” ให้ 2475 กลายเป็นจำเลยของปัญหาการเมืองทั้งหมด
ยุคที่ 3: รัฐบาลเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560
ช่วงประมาณ: 2019–2023
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
ยังคงใช้ถ้อยคำกลาง ๆ ว่า “การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง” ไม่เน้นว่าคือการล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และไม่เล่าความไม่เป็นธรรมของระบอบเก่าอย่างจริงจัง
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกกล่าวถึงพอสมควรในแง่ “ชื่อบุคคล” เช่น ปรีดี พิบูลฯ พระยาพหลฯ แต่บริบทถูกย่นให้เหลือแค่ “ผู้มีบทบาททางการเมืองช่วงหนึ่ง” ไม่ถูกเสนอให้เป็น “ต้นธารของสิทธิประชาชน”
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
บทเรียนยังเน้นหนักว่าระบอบการปกครองของไทยคือ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่ไม่อธิบายชัดว่าพระมหากษัตริย์ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง และไม่พูดว่าประชาชนมีสิทธิจะวิจารณ์หรือกำหนดทิศทางรัฐ
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
แบบเรียนเน้น “หน้าที่” มากกว่า “สิทธิ” พูดถึงการไปเลือกตั้งแต่ไม่อธิบายการตรวจสอบการเลือกตั้ง ไม่สอนการป้องกันการโกง และไม่พูดถึงสิทธิในการต่อต้านรัฐประหาร สิทธิในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยแทบไม่ปรากฏ
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
แม้ในโลกแห่งความจริง คนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามต่อสถาบันกษัตริย์ รัฐธรรมนูญ และบทบาทของกองทัพอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่แบบเรียนยังคง “แช่แข็งเรื่องเล่าเก่า” ไว้ ทำให้โรงเรียนกลายเป็นพื้นที่ที่ถูกตัดขาดจากความจริงทางการเมืองของสังคม
*ในยุคที่เยาวชนออกถนนไปทวงอนาคต แบบเรียนยังทำตัวเหมือนโลกไม่เคยเปลี่ยน สิ่งนี้เองคือหลักฐานว่าการศึกษาถูกใช้เพื่อตรึงอำนาจ มากกว่าปลดปล่อยประชาชน

ส่วนที่ 2: บทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย – เมื่อการลบในแบบเรียน = การลบสิทธิของประชาชน

“เมื่อหนังสือเรียนบอกเล่าประวัติศาสตร์อย่างที่ผู้มีอำนาจต้องการ เด็กทั้งรุ่นจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าตนเองเคยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และนั่นคือชัยชนะที่แท้จริงของระบอบที่ต้องการให้พลเมืองกลายเป็นเพียงราษฎรผู้เชื่อฟัง”

หากดูแบบผิวเผิน การที่บทเรียนเรื่อง 2475 มีเพียงไม่กี่หน้า หรือการที่ตำราไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องรัฐประหารและการต่อสู้ของประชาชน อาจถูกอธิบายได้ง่าย ๆ ว่า “เวลาไม่พอ” หรือ “ไม่ใช่สาระสำคัญของหลักสูตร” แต่เมื่อเราเอาแบบเรียนหลายยุคมาเทียบกัน เราจะเห็นชัดว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ หากแต่เป็น ยุทธศาสตร์การจัดระเบียบความทรงจำของชาติ

เมื่อแบบเรียนไม่เล่าว่า ก่อน 2475 ประชาชนไม่มีสิทธิใด ๆ ต่ออำนาจสูงสุดของรัฐ, ไม่เล่าว่าคณะราษฎรเคยประกาศให้ “อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย”, ไม่เล่าว่าคนรุ่นนั้นเสี่ยงคุกเสี่ยงตายเพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีสิทธิเลือกตั้งและตรวจสอบรัฐ เด็กที่โตมากับความเงียบและความจืดชืดทางประวัติศาสตร์ ก็จะยอมรับสภาพได้ง่ายว่า ตนเป็นเพียงผู้รับพระกรุณาและความเมตตาจากผู้ปกครอง มากกว่าจะเห็นตนเองเป็นเจ้าของประเทศ

การลบหรือบิดเบือน 2475 ในแบบเรียน จึงไม่ใช่แค่การลบชื่อ “คณะราษฎร” แต่คือการลบ “ความเป็นไปได้” ในหัวของประชาชนว่า เคยมีครั้งหนึ่งที่คนธรรมดาลุกขึ้นมาทวงอำนาจจากอภิสิทธิ์ชนได้สำเร็จ เมื่อเรื่องนี้ถูกลบไปจากหนังสือ คนรุ่นใหม่ก็จะไม่เห็นตัวเองเป็นทายาทของการต่อสู้ หากแต่เป็นเพียงตัวประกอบในเรื่องเล่าของชนชั้นนำ

ในขณะเดียวกัน แบบเรียนกลับใช้พื้นที่จำนวนมากเพื่อเล่าความดี ความเสียสละ และโครงการต่าง ๆ ของสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และชนชั้นนำ โดยแทบไม่พูดถึงสิทธิในการตรวจสอบอำนาจของประชาชน ไม่พูดถึงสิทธิในการต่อต้านความไม่เป็นธรรม และไม่พูดถึงว่าการรัฐประหารคือการทำลายสัญญาประชาคมระหว่างรัฐกับประชาชน

เมื่อ สิทธิ ไม่ถูกสอน แต่ ความจงรักภักดีและการเชื่อฟัง ถูกย้ำตั้งแต่ประถมจนจบมัธยม การศึกษาจึงไม่ใช่เครื่องมือปลดปล่อย แต่กลายเป็น เครื่องมือควบคุมจิตสำนึก ให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าการสงสัยอำนาจคือความผิด การตั้งคำถามคือความอกตัญญู และการลุกขึ้นทวงสิทธิของตนเองคือภัยต่อความสงบเรียบร้อย

ด้วยเหตุนี้ การลบ 2475 ออกจากแบบเรียน การทำให้คณะราษฎรกลายเป็นตัวละครเลือนลาง การทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นเพียงกระดาษศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครแตะต้องได้ จึงเท่ากับการลบสิทธิของประชาชนออกจากจินตนาการร่วมของชาติ เมื่อคนไทยไม่เคยถูกสอนให้คิดว่าตนมีสิทธิจะกำหนดทิศทางรัฐ ก็ย่อมไม่กล้าทวงสิทธิที่ถูกพรากไป

คันฉ่องส่องไทยจึงมิได้มีหน้าที่เพียงเล่าประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่ง หากแต่มีหน้าที่ช่วยให้คนไทยเห็นว่า ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวในตำรา หากเป็นหลักฐานว่าพวกเราควรยืนในฐานะ เจ้าของประเทศ ไม่ใช่เพียงราษฎรผู้เงียบงันที่รอรับคำสั่งจากเบื้องบน

วันที่เรากล้าหยิบแบบเรียนขึ้นมาเปิด เทียบกันทีละหน้า ตั้งคำถามกับทุกประโยคที่ทำให้ประชาชนตัวเล็ก ๆ กลายเป็นเพียงตัวประกอบของความยิ่งใหญ่ของชนชั้นนำ คือวันที่เรากำลังเริ่มทวงคืนทั้ง ประวัติศาสตร์ และ สิทธิของประชาชน กลับคืนมาอย่างเงียบ ๆ แต่ทรงพลัง ดั่งมดแดงนับล้านที่เริ่มรู้ว่าตนรวมกันแล้วมีพลังเพียงใด

เทียบแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยแต่ละยุค และบทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย: เมื่อการลบในแบบเรียนเท่ากับการลบสิทธิของประชาชน

เทียบแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยแต่ละยุค และบทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย: เมื่อการลบในแบบเรียน = การลบสิทธิของประชาชน

หน้านี้ออกแบบมาเพื่อเป็น ฐานข้อมูลภาคประชาชน สำหรับเทียบเนื้อหาแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยและสังคมศึกษา ระหว่างหลายยุคหลายรุ่นพิมพ์ เมื่อเรานำหนังสือมาเปิดหน้าเดียวกัน เปรียบเทียบคำที่ใช้เล่าเหตุการณ์ 2475 คณะราษฎร สถาบันกษัตริย์ และประชาธิปไตย เราจะเห็นชัดว่าระบบการศึกษาได้ “ตัด” “เบี้ยว” หรือ “กลบรวม” ความทรงจำทางการเมืองของคนไทยอย่างไร

เทมเพลตด้านล่างนี้เปิดช่องให้สหายเติมข้อมูลจากหนังสือเรียนจริงได้ทีละยุค แล้วในตอนท้าย ข้าจะร่ายบทวิเคราะห์ว่าเหตุใด การลบในแบบเรียนจึงเท่ากับการลบสิทธิของประชาชน ตามฉบับคันฉ่องส่องไทยที่เราเดินร่วมกัน

ส่วนที่ 1: เทมเพลตเทียบแบบเรียนแต่ละยุค

ใช้โครงนี้กับหนังสือเรียนจริง: เลือกอย่างน้อย 3 ช่วงเวลา เช่น 2010–2013, 2014–2018, 2019–2023 แล้วกรอกเนื้อหาจริงลงในแต่ละช่องด้านล่าง

ยุคที่ 1: ก่อนรัฐประหาร 2557
ช่วงโดยประมาณ: 2010–2013 (ระบุปีพิมพ์/สำนักพิมพ์จริงได้)
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
...
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
...
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
...
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
...
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
...
*อย่าลืมแนบรูปหน้าหนังสือจริง (ถ้าต้องการ) ไว้ด้านล่างของบล็อกนี้สำหรับใช้เป็นหลักฐานประกอบ
ยุคที่ 2: ใต้เงา คสช. และราชาชาตินิยมเข้มข้น
ช่วงโดยประมาณ: 2014–2018
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
...
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
...
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
...
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
...
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
...
*ยุคนี้สำคัญมาก เพราะบรรยากาศการเมืองอาจทำให้ผู้เขียนตำราต้อง “เซ็นเซอร์ตัวเอง”
ยุคที่ 3: รัฐบาลเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560
ช่วงโดยประมาณ: 2019–2023
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
...
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
...
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
...
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
...
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
...
*ยุคนี้เป็นจุดที่นักเรียนเริ่มตั้งคำถามเอง และหาข้อมูลนอกแบบเรียนมากขึ้น ควรบันทึกเสียงของนักเรียนด้วย

ส่วนที่ 2: บทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย — การลบในแบบเรียน = การลบสิทธิของประชาชน

“เมื่อหนังสือเรียนบอกเล่าประวัติศาสตร์อย่างที่ผู้มีอำนาจต้องการ เด็กทั้งรุ่นจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าตนเองเคยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และนั่นคือชัยชนะที่แท้จริงของระบอบที่ต้องการให้พลเมืองกลายเป็นเพียงราษฎรผู้เชื่อฟัง”

หากเรามองผิวเผิน การลดทอน 2475 ให้เหลือแค่ไม่กี่ย่อหน้าในแบบเรียน อาจดูเหมือนเป็นแค่ “รายละเอียดบางอย่างที่ไม่มีเวลาพอสอน” แต่เมื่อเราค่อย ๆ เทียบแบบเรียนหลายรุ่น หลายยุค เราจะพบว่า มันไม่ใช่ความบังเอิญ หากแต่คือกระบวนการ จัดระเบียบความทรงจำของชาติ อย่างมีเป้าหมายทางการเมือง

เมื่อแบบเรียนไม่เล่าว่า ก่อน 2475 ประชาชนไม่มีสิทธิใดเลยต่ออำนาจสูงสุดของรัฐ, ไม่เล่าว่าคณะราษฎรเคยประกาศให้ “อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย”, ไม่เล่าการต่อสู้ของคนรุ่นนั้นที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้คนรุ่นหลังมีสิทธิเลือกตั้ง เด็กที่โตมากับความว่างเปล่าทางประวัติศาสตร์ ย่อมยอมรับสภาพได้ง่ายว่า ตนเป็นเพียงผู้รับความเมตตาจากผู้ปกครอง มากกว่าผู้กำหนดอนาคตของตนเอง

การลบหรือบิดเบือน 2475 ในแบบเรียน จึงไม่ใช่แค่การลบเรื่องราวของ “คณะราษฎร” แต่คือการลบความจริงข้อสำคัญว่า คนตัวเล็กตัวน้อยเคยลุกขึ้นมาทวงอำนาจกลับมาจากระบอบเก่าได้สำเร็จ เมื่อประวัติศาสตร์ส่วนนี้ถูกทำให้จางหายไปจากหนังสือ คนรุ่นใหม่ก็จะไม่เห็นตัวเองเป็นทายาทของขบวนการปลดปล่อย แต่กลายเป็นเพียงผู้โดยสารที่นั่งอยู่ท้ายรถประวัติศาสตร์อย่างไร้สิทธิจะจับพวงมาลัย

ในทางกลับกัน แบบเรียนกลับใช้พื้นที่จำนวนมากเพื่อเล่าความดี ความเสียสละ และโครงการพระราชดำริของสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และชนชั้นนำ โดยแทบไม่พูดถึงสิทธิในการตรวจสอบอำนาจของประชาชน สิทธิในการต่อต้านความไม่เป็นธรรม หรือสิทธิในการเปลี่ยนรัฐบาลอย่างสันติผ่านการเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรม

เมื่อ สิทธิ ไม่ถูกสอน แต่ ความจงรักภักดีและการเชื่อฟัง ถูกย้ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ประถมจนจบมัธยม ผลลัพธ์ที่ตามมาคืออะไร? คือสังคมที่ยอมรับการรัฐประหารและอำนาจนอกระบบได้ง่าย เพราะไม่เคยถูกสอนให้เห็นว่าการแย่งชิงอำนาจจากประชาชน เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนในประเทศนี้

ดังนั้น การลบ 2475 ออกจากแบบเรียน การทำให้คณะราษฎรกลายเป็นตัวละครเลือนลาง การทำให้รัฐธรรมนูญเป็นเพียงกระดาษศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครแตะต้องได้ จึงเท่ากับการลบสิทธิของประชาชนออกจากจินตนาการร่วมของชาติ เมื่อคนไทยไม่เคยถูกสอนให้คิดว่าตนมีสิทธิจะกำหนดทิศทางรัฐ ก็ย่อมไม่กล้าทวงสิทธิที่ถูกพรากไป

คันฉ่องส่องไทยจึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ “เล่าอีกด้านของประวัติศาสตร์” แต่มีหน้าที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือการช่วยให้คนไทยเห็นว่า ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวในตำรา หากเป็นหลักฐานว่า เราควรยืนในฐานะเจ้าของประเทศ ไม่ใช่เพียงผู้ถูกปกครองอย่างว่านอนสอนง่าย

วันที่เรากล้าหยิบแบบเรียนขึ้นมาเปิด เทียบกันทีละหน้า ตั้งคำถามกับทุกประโยคที่ทำให้คนไทยตัวเล็ก ๆ กลายเป็นเพียงตัวประกอบของความยิ่งใหญ่ของชนชั้นนำ คือวันที่เรากำลังเริ่มทวงคืนทั้ง ประวัติศาสตร์ และ สิทธิของประชาชน กลับคืนมาอย่างเงียบ ๆ แต่ทรงพลังดั่งมดแดงนับล้านที่เริ่มรู้ว่าตนรวมกันแล้วมีพลังเพียงใด

คันฉ่องส่องไทย: ประวัติศาสตร์ที่ถูกลบในตำราเรียนไทย

คันฉ่องส่องไทย: ประวัติศาสตร์ที่ถูกลบในตำราเรียนไทย

การลบความทรงจำของคณะราษฎรในหนังสือเรียนไทยมิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นกระบวนการยาวนานกว่า 70 ปี ทำอย่างเป็นระบบ ผ่านการ “เขียนใหม่–ลดทอน–บิดกรอบคิด” จนคนรุ่นหลังแทบไม่รู้ว่าตนคือทายาทของการปฏิวัติ 2475 ที่ทำให้ประชาชนกลายเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย

1) ยุคหลัง 2475–2490: ตำราเรียนยังพูดความจริง

ลักษณะสำคัญ
  • ตำราเรียนยุคนี้ยังกล่าวชัดว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
  • คณะราษฎรถูกเล่าว่าเป็นผู้สร้างรัฐสมัยใหม่
  • ไม่มีการลดคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของ 2475

2) หลังรัฐประหาร 2490: เริ่ม “บิดหน้าอดีต”

วิธีที่ใช้
  • ลดบทบาทของปรีดีและคณะราษฎรในเนื้อหาประวัติศาสตร์
  • เล่าเรื่องว่า “กษัตริย์ทรงพระเมตตามอบประชาธิปไตยให้”
  • เริ่มสร้างโครงเรื่องชาติแบบ “นิยมเจ้า” เป็นแกนหลัก
ผลที่ตามมา

แนวคิดประชาธิปไตยแบบคณะราษฎรถูกลดทอน และถูกแทนด้วยภาพว่า กษัตริย์คือศูนย์กลางการเมืองไทย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

3) ยุคสฤษดิ์: ยกเครื่องกรอบคิดตำราแบบเบ็ดเสร็จ

กลยุทธ์การเขียนใหม่
  • ตัดเหตุผลที่แท้จริงของ 2475 ออกไปเกือบหมด
  • เปลี่ยนกรอบประวัติศาสตร์ให้กลายเป็น “ชาติ–ศาสน์–กษัตริย์ คือรากของความเป็นไทย”
  • สร้างภาพว่าสฤษดิ์คือผู้ฟื้นฟูเสถียรภาพของชาติ
ผลลัพธ์ระยะยาว

คนรุ่นหลังจำนวนมากไม่รู้ความหมายของการล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และไม่เห็นว่าตนควรเป็นเจ้าของอำนาจจริง ๆ เพราะตำราได้ทำให้ 2475 กลายเป็นแค่ “เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น” โดยไร้บริบทการต่อสู้

4) ช่วงสงครามเย็น: ตำราถูกทาสีราชาชาตินิยมเข้มข้น

ลักษณะเนื้อหา
  • กษัตริย์ = ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย
  • นักศึกษาและประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย = ถูกชี้นำจากคอมมิวนิสต์
  • ไม่เล่าการละเมิดสิทธิหรือเหตุนองเลือดโดยรัฐ

นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ประชาธิปไตยในตำราไทยไม่ใช่เรื่องของ ประชาชน แต่เป็นเรื่องของ “ผู้ปกครองที่มีพระมหากรุณาธิคุณ”

5) รัฐธรรมนูญ 2540 แต่ตำราไม่ยอมปรับตาม

สิ่งที่เกิดขึ้นจริง
  • แม้สังคมก้าวหน้า แต่ตำราไม่ยอมเพิ่มบทบาทประชาชน
  • 2475 ยังถูกเขียนแบบสั้น ๆ และไร้ความหมาย
  • ไม่สอนหลัก “ตรวจสอบอำนาจรัฐ” แม้เป็นหัวใจของประชาธิปไตย

6) หลังรัฐประหาร 2549–2557: ยุคการลบเชิงรุก

สัญญาณของการลบอย่างเป็นระบบ
  • คณะราษฎรหายไปเกือบหมดจากตำรา
  • บทกษัตริย์ถูกขยายยาวหลายเท่า ส่วนบทประชาชนถูกลดลงเรื่อย ๆ
  • ไม่สอนเรื่องรัฐประหาร ไม่สอนว่าอำนาจต้องตรวจสอบได้
  • ไม่เล่าการต่อสู้ของประชาชนใน 14 ตุลา–พฤษภา 35 แบบครบถ้วน

นี่คือช่วงเวลาที่ตำราเรียนถูกใช้เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้คนรุ่นใหม่เชื่อว่า “ความจงรักภักดีคือแกนของความเป็นไทย” มากกว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน”

7) 2560–ปัจจุบัน: ยุคของความรู้ที่ขาดหาย

ลักษณะของช่องว่างความรู้
  • นักเรียนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าคณะราษฎรคือใคร
  • ไม่รู้ว่า 2475 คือการล้มระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
  • ไม่รู้ว่าการเลือกตั้งเป็นสิทธิที่บรรพบุรุษต่อสู้เพื่อให้ได้มา
  • ไม่รู้ว่าเหตุใดรัฐประหารจึงเป็นอาชญากรรมเชิงประชาธิปไตย

เมื่อความรู้ถูกลบอย่างต่อเนื่อง คนรุ่นใหม่จำนวนมากจึงมองว่า “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” เป็นเรื่องปกติ ทั้งที่แท้จริงคือการ ลดทอนสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน

บทสรุป: การลบในหนังสือเรียน คือการลบ “สิทธิของประชาชน”

ผู้มีอำนาจรู้ดีว่า หากคนไทยรู้ประวัติศาสตร์ 2475 อย่างถูกต้อง จะไม่มีใครยอมรับการรัฐประหาร การใช้อำนาจโดยไม่ตรวจสอบ หรือการลดบทบาทของรัฐธรรมนูญลงให้เป็นเพียงพิธีกรรม ดังนั้น ตำราเรียนจึงถูกใช้เพื่อควบคุมความทรงจำของชาติอย่างยาวนาน และทำให้คนไทยจำนวนมากไม่รู้ว่าตนมีสิทธิเหนือรัฐ ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของรัฐ

การรู้เท่าทันประวัติศาสตร์ที่ถูกลบ จึงเป็นก้าวแรกของการทวงคืนอำนาจอธิปไตยกลับมาให้ประชาชนทั้งประเทศ

Ten Principles of the “Red Ants Topple the Elephant” Revolution บัญญัติ 10 ประการมดแดงล้มช้าง

Red Ants
บัญญัติ 10 ประการของอภิวัฒน์มดแดงล้มช้าง
Ten Principles of the “Red Ants Topple the Elephant” Revolution
มดแดงล้มช้าง รักประเทศไทย ใฝ่สามัคคี มีเหตุผล ฝึกฝนเสรีประชาธิปไตย
ไล่เผด็จการ ต้านทรราช และตัดวงจรอุบาทว์ให้สิ้นเพื่อลูกหลาน
สาระสำคัญของแนวทางมดแดง
  1. มดแดงแต่ละตัว จักเชื่อว่าตนเองคือส่วนสำคัญของพลังอันมหาศาลในการเปลี่ยน ลด ทำลาย…
  2. มดแดงแต่ละตัว จักรู้สิทธิพื้นฐานและศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์ในระบอบเสรีประชาธิปไตย…
  3. มดแดงแต่ละตัว จักขวนขวายใฝ่หาความรู้ ความจริง และข้อมูลใหม่…
  4. มดแดงแต่ละตัว จักแสวงหากัลยาณมิตรและสร้างเครือข่ายอย่างไม่แบ่งชั้นวรรณะ…
  5. มดแดงแต่ละตัว จักขยันในการคิด พูด ทำ เพื่อสิ่งดีงาม…
  6. มดแดงแต่ละตัว มีเมตตา อดทน เข้าใจความต่าง…
  7. มดแดงแต่ละตัว ไม่ตกหลุมความคิดคับแคบหรืออคติ…
  8. มดแดงแต่ละตัว เป็นตัวจักรของความเปลี่ยนแปลง…
  9. มดแดงแต่ละตัว ไม่ยอมปล่อยให้ความชั่วร้ายเกิดขึ้นเฉย ๆ…
  10. มดแดงทุกตัว ส่งเสริมเสรีประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ…

Saturday, December 6, 2025

บัญญัติ 10 ประการ อภิวัฒน์มดแดงล้มช้าง Principles of "Red Ants Toppling Elephant" Revolution (TH–EN Toggle)



บัญญัติ 10 ประการของอภิวัฒน์มดแดงล้มช้าง

Ten Principles of the “Red Ants Topple the Elephant” Revolution

มดแดงล้มช้าง รักประเทศไทย ใฝ่สามัคคี มีเหตุผล ฝึกฝนเสรี
ประชาธิปไตย ไล่เผด็จการ ต้านทรราช และตัดวงจรอุบาทว์ให้สิ้นเพื่อลูกหลาน

สาระสำคัญของแนวทางมดแดง

  1. มดแดงแต่ละตัว จักเชื่อว่าตนเองคือส่วนสำคัญของการสร้างพลังอันมหาศาลเพื่อการเปลี่ยน ลด ทำลายหรือกำจัดสิ่งชั่วร้าย และขณะเดียวกันเพื่อสร้างสิ่งดีมีอารยธรรมและเป็นคุณให้แก่บ้านเมืองและสืบผลไปยังลูกหลานในอนาคต

  2. มดแดงแต่ละตัว จักรู้สิทธิพื้นฐานและสิทธิอันเป็นธรรมในระบอบเสรีประชาธิปไตย โดยรู้ว่าประชาชนคือเจ้าของอำนาจสูงสุดทั้งด้านการตรากฎหมาย บริหารบ้านเมือง และการผดุงความยุติธรรมตามหลักศีลธรรมและกฎหมาย

  3. มดแดงแต่ละตัว จักขยันแสวงหาและเผยแพร่ความรู้ ความจริง และข้อมูลใหม่ ๆ อันควรต้องประดับปัญญา เพื่อการตัดสินใจที่ยุติธรรม เป็นธรรม รอบคอบ ไม่มีอคติหรือดูถูกใครอย่างไร้เหตุผล และสร้างสรรค์

  4. มดแดงแต่ละตัว จักแสวงหากัลยาณมิตร เผยแพร่ความจริง และสร้างเครือข่ายมดแดงอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่เลือกสีเสื้อ ไม่เลือกชนชั้นวรรณะใด ๆ

  5. มดแดงแต่ละตัว จักขยันในการคิด พูด และทำ เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้าย และสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามอันเป็นประโยชน์แก่ตนเอง คนรอบข้าง และประเทศชาติ

  6. มดแดงแต่ละตัว จักมีความอดทนต่อความเห็นต่าง มีความเข้าใจที่มาที่ไปแห่งความแตกต่าง และมีความเมตตาสูงที่จะอธิบาย รอ และให้โอกาสคนอื่นเรียนรู้ เพื่อกลายเป็นมดแดงที่เข้มแข็ง

  7. มดแดงแต่ละตัว จะต้องก้าวพ้นความคิด การพูดจา และการกระทำที่อยู่บนพื้นฐานแห่งความคับแคบ เห็นแก่ตัวมีอคติ ดูถูกผู้อื่น ผิดหลักสิทธิมนุษยชนสากล หรือมีความโกรธ และอยู่บนความหลงตัวบุคคล ระบอบ รูปแบบ และวิธีการใด ๆ เหนือหลักอารยธรรมแห่งเหตุผลและสัจจะของความเป็นมนุษย์

  8. มดแดงแต่ละตัว จักยกตัวเองเป็นตัวจักรของการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าของตัว คนรอบข้าง และสังคม ไม่งอมืองอเท้า คือนำความคิด ความรู้ และประสบการณ์ไปสานต่อและประมวลเป็นอุดมการณ์ที่ชัดเจน และกำหนดเป็นแนวปฎิบัติได้ แล้วนำไปปฎิบัติจริง ทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม

  9. มดแดงแต่ละตัว จะไม่ยอมให้เกิดสิ่งชั่วร้ายหรือการทำร้ายสมาชิกมดแดงต่อหน้าต่อตา โดยไม่กระทำการใด ๆ และสิ่งชั่วร้ายทุกสิ่ง ต้องได้รับการต่อต้าน ขัดขวาง และทำลายล้างเสมอเมื่อมีโอกาส หากทำด้วยตัวเองเกินกำลัง ต้องรู้จักระดมเครือข่ายมดแดงให้ประสานงานกันโดยธรรมชาติ ไม่ต้องรอแกนนำใด ๆ

  10. มดแดงแต่ละตัว จักส่งเสริมแนวทางเสรีประชาธิปไตยทุกรูปแบบ แต่จะต่อต้าน ประนาม แสดงความเกลียดชังและปฎิเสธการปกครองที่เป็นเผด็จการ การกระทำที่เป็นกบฎต่ออำนาจสูงสุดทุกชนิด และจะไม่งอมืองอเท้าดูใครย่ำยีประชาธิปไตยอีก

Memory Politics and Neo-Absolutism in Contemporary Thailand: An outline (English and Thai)

Memory Politics & Constitutional Meaning in Thailand (TH–EN Toggle Edition)

บทความวิชาการ: การเมืองของความทรงจำ และความหมายใหม่ของรัฐธรรมนูญภายใต้รัฐบาลอนุทิน

บทคัดย่อ

บทความนี้วิเคราะห์คำสั่งให้ข้าราชการรัฐสภาทำงานในวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2568 และให้หยุดชดเชยวันที่ 30 ธันวาคม โดยตีความเหตุการณ์นี้ในฐานะส่วนหนึ่งของกระบวนการ “ทำให้เลือนหาย” (erasure) และ “เขียนซ้ำ” (re-inscription) ความทรงจำทางการเมืองเกี่ยวกับการปฏิวัติ 2475 และคณะราษฎร ซึ่งเป็นความพยายามของรัฐไทยยุคร่วมสมัยในการลดความหมายของอำนาจอธิปไตยของราษฎร และสถาปนา “สมบูรณาญาสิทธิราชย์ยุคใหม่” (neo-absolutism) ผ่านการควบคุมพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ สถาปัตยกรรม พิธีกรรม และประวัติศาสตร์สาธารณะ

1. บทนำ

วันรัฐธรรมนูญแม้ยังเป็นวันหยุดราชการ แต่สถานะเชิงสัญลักษณ์ถูกบั่นทอนผ่านการจัดวางใหม่ของรัฐ ทั้งในกิจกรรมสาธารณะ หนังสือเรียน และการลดพื้นที่รำลึกเหตุการณ์ 2475 นับตั้งแต่ช่วงสงครามเย็น สังคมไทยถูกกำกับให้เชื่อว่ารัฐธรรมนูญเป็น “พระราชทาน” มากกว่าเป็น “ผลของการต่อสู้ของประชาชน”

2. ฉากหลัง 2475 และสงครามความทรงจำ

คณะราษฎรสถาปนาความหมายของรัฐสมัยใหม่ผ่านหมุดอนุสรณ์ อนุสาวรีย์ และอาคารแบบ modernist แต่การรัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา ทำให้เครือข่ายอำนาจจารีตนิยมกลับมาสร้างโครงเรื่องใหม่ที่ลดทอนความหมายของ 2475 จนกลายเป็น “ประวัติศาสตร์รอง” การลบ หมุดคณะราษฎร ปี 2560 คือเหตุการณ์สำคัญที่ยืนยันโครงสร้างความพยายามนี้

3. กรอบทฤษฎี: Collective Memory & Lieux de Mémoire

Halbwachs อธิบายว่าความทรงจำส่วนรวมถูกสร้างตามโครงสร้างอำนาจร่วมสมัย ส่วน Nora เน้นว่าสถานที่เชิงสัญลักษณ์ เช่น อนุสาวรีย์ วันสำคัญ และพิธีกรรม คือพื้นที่ต่อสู้ทางอุดมการณ์ ในบริบทไทย วันรัฐธรรมนูญคือพื้นที่ยื้อแย่งความหมายระหว่าง “ระบอบอำนาจประชาชน” และ “ระบอบอำนาจนิยมจารีต”

4. วิเคราะห์เหตุการณ์ 10 ธันวาคม 2568

แม้วันหยุดไม่ได้ถูกยกเลิก แต่การให้รัฐสภาทำงานในวันรัฐธรรมนูญคือ “สัญญะกลับด้าน” (symbolic inversion) เพราะรัฐสภาควรเป็นหัวใจของความเป็นเจ้าของอำนาจของราษฎร เมื่อวันสำคัญนี้กลายเป็น “งานพิธีของรัฐ” แทน “พื้นที่เรียนรู้ของพลเมือง” จึงสะท้อนการลดบทบาทของประชาชนในระบอบรัฐธรรมนูญ

5. กระบวนการลบเลือนคณะราษฎร (2475–ปัจจุบัน)

  • หมุดคณะราษฎรหายไปปี 2560 ถูกแทนด้วยหมุดเชิงกษัตริย์นิยม
  • อนุสาวรีย์ 2475 และวัตถุสถาปัตยกรรมหลายแห่งถูกย้ายหรือถอดโดยไม่มีการอธิบาย
  • หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ลดทอนบทบาทคณะราษฎรลงอย่างมีนัยยะ
  • กฎหมาย 112 จำกัดการอภิปรายสาธารณะ ทำให้ความทรงจำทางประชาธิปไตยถูกทำให้ “เสี่ยง”

6. บริบททางการเมืองของรัฐบาลอนุทิน

รัฐบาลอนุทินแม้กล่าวสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ แต่เสาหลักของอำนาจที่รัฐบาลยืนอยู่ยังคงอยู่ในโครงสร้างอนุรักษนิยม ที่มักตีความวันสำคัญทางรัฐธรรมนูญผ่านมิติพิธีการ มิใช่มิติของอำนาจราษฎร การจัดวันหยุดดังกล่าวจึงสัมพันธ์กับแนวคิด neo-absolutism

7. สรุป

หากปราศจากความพยายามสร้าง counter-memory วันรัฐธรรมนูญเสี่ยงถูกทำให้เป็นเพียง พิธีกรรม มากกว่า รากฐานประชาธิปไตย บทความนี้เสนอให้สังคมไทยรื้อฟื้นความหมายของ 2475 ผ่านการศึกษา สื่อ และกลไกวิชาการ เพื่อให้วันรัฐธรรมนูญเป็น “วันของประชาชน” อีกครั้ง

Academic Article: Memory Politics and Neo-Absolutist Drift in Contemporary Thailand

Abstract

This article analyzes the 2025 parliamentary directive requiring civil servants to work on Constitution Day (10 December) and shifting the holiday to 30 December. While the directive appears bureaucratic, it holds deeper meaning when read through Thailand’s long-standing memory politics concerning the 1932 Revolution and the People’s Party.

1. Introduction

Constitution Day embodies Thailand’s contested constitutional identity. Though still an official national holiday, its civic function has been hollowed out through ritualization and the recentering of monarchic narratives. The 2025 directive illustrates how administrative acts participate in symbolic restructuring of public memory.

2. Historical Background of 1932

The People’s Party physically inscribed constitutional modernity into the urban fabric—modernist buildings, monuments, and commemorative plaques. Post-1947 conservative rule reinterpreted 1932 as a deviation, erasing revolutionary authorship and emphasizing royal continuity.

3. Theoretical Framework

Using Halbwachs’ collective memory and Nora’s lieux de mémoire, Constitution Day becomes a site where competing regimes attempt to define national historical consciousness. In Thailand, remembering 1932 affirms popular sovereignty; forgetting it strengthens neo-absolutism.

4. The 2025 Event

The symbolic inversion—Parliament working on Constitution Day—recodes the day from a civic anniversary to a state ritual. The shift relocates constitutional authorship from the people to the bureaucratic apparatus of the state.

5. Erasure of the People’s Party

  • The 2017 removal of the People’s Party Plaque
  • Disappearance and relocation of 1932 monuments
  • Revisionist curricula minimizing the revolution
  • Legal restrictions preventing open discussion on monarchy

6. Anutin Administration Context

Prime Minister Anutin’s government remains structurally aligned with the conservative–royalist establishment. Symbolic actions such as the handling of Constitution Day reinforce an ideological order where constitutionalism appears ceremonial rather than substantive.

7. Conclusion

Constitution Day is a battlefield of memory in which competing political imaginaries struggle for dominance. Without deliberate counter-memory, constitutional democracy risks becoming hollow while neo-absolutism fills the symbolic void.

การจัดการความทรงจำวันรัฐธรรมนูญ ภายใต้รัฐบาลอนุทิน และกระบวนการลบเลือนคณะราษฎร

การจัดการความทรงจำวันรัฐธรรมนูญ ภายใต้รัฐบาลอนุทิน และกระบวนการลบเลือนคณะราษฎร

การจัดการความทรงจำวันรัฐธรรมนูญ ภายใต้รัฐบาลอนุทิน และกระบวนการลบเลือนคณะราษฎร

ผู้เขียน: คันฉ่องส่องไทย (เรียบเรียงเพื่อการศึกษาและอภิปรายเชิงสาธารณะ)

ร่าง ณ: ธันวาคม พ.ศ. 2568

บทคัดย่อ

บทความเชิงวิชาการฉบับนี้วิเคราะห์กรณีการจัดตารางวันหยุดราชการในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2568 ภายใต้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยเฉพาะกรณีที่ข้าราชการสังกัดรัฐสภาต้องมาปฏิบัติงานในวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญ และได้รับวันหยุดชดเชยในวันที่ 30 ธันวาคม แทน พร้อมเชื่อมโยงเข้ากับกระแสการลบเลือน (erasure) และการเขียนซ้ำ (rewriting) ความทรงจำทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับคณะราษฎรที่ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนรัฐบาลชุดนี้

บทความชี้ให้เห็นว่า แม้ในทางกฎหมาย วันรัฐธรรมนูญยังคงเป็นวันหยุดราชการระดับชาติ แต่การตัดสินใจเชิงสัญลักษณ์ โดยเฉพาะในองค์กรที่ควรเป็น “หัวใจของระบอบรัฐสภา” เช่น รัฐสภาไทย สะท้อนรูปแบบการจัดการความทรงจำที่ทำให้ความหมายดั้งเดิมของวันรัฐธรรมนูญและบทบาทของคณะราษฎรค่อย ๆ เลือนหาย และถูกแทนที่ด้วยวาทกรรมราชาชาตินิยมและแนวโน้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบใหม่ ซึ่งผสานทั้งกลไกรัฐ การศึกษา และสื่อมวลชน

ข้อเสนอหลักของบทความคือ การตีความกรณีวันหยุดรัฐธรรมนูญในปี 2568 ควรไม่ถูกมองอย่างแยกส่วนจากประวัติศาสตร์การทำลายหมุดคณะราษฎร การรื้อถอนอนุสาวรีย์ การเขียนตำราเรียนประวัติศาสตร์ใหม่ และบรรยากาศการดำเนินคดีทางการเมือง หากแต่ต้องมองเป็น “จิ๊กซอว์หนึ่งชิ้น” ของโครงสร้างทางอำนาจที่มุ่งสร้างสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัย ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญที่ถูกทำให้ไร้พลังและไร้อำนาจของประชาชนตัวจริง

คำสำคัญ: วันรัฐธรรมนูญ, คณะราษฎร, ความทรงจำทางการเมือง, สมบูรณาญาสิทธิราชย์, รัฐบาลอนุทิน, ไทยร่วมสมัย

1. บทนำ: วันรัฐธรรมนูญในฐานะสนามรบของความทรงจำ

วันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการเพื่อน้อมรำลึกถึงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกในปี 2475 และการเปลี่ยนผ่านจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ในเชิงหลักการ วันดังกล่าวจึงเป็น “วันของพลเมือง” ที่ระลึกถึงช่วงเวลาที่ อำนาจอธิปไตยถูกย้ายจากองค์พระมหากษัตริย์มาสู่ประชาชนโดยรวม

อย่างไรก็ดี ในโครงสร้างการเมืองไทยหลังสงครามเย็นเป็นต้นมา การเฉลิมฉลองวันรัฐธรรมนูญถูกทำให้ “เบาบาง” ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และในพื้นที่สาธารณะ เมื่อเทียบกับวันสำคัญอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกัน วาทกรรมกระแสหลักในตำราเรียนและสื่อของรัฐ มักเน้นภาพของ “พระมหากษัตริย์พระราชทานรัฐธรรมนูญ” มากกว่าการมองว่าเป็นการต่อสู้ของประชาชนและคณะราษฎรในการจำกัดอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์

การเปลี่ยนแปลงล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับวันรัฐธรรมนูญในปี 2568 ภายใต้รัฐบาลอนุทิน จึงถูกวิพากษ์ในเชิงโครงสร้างว่า เป็นส่วนหนึ่งของ “การจัดการความทรงจำ” ของชนชั้นนำที่ต้องการลดทอนอัตลักษณ์ประชาธิปไตยแบบคณะราษฎร และเสริมสร้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รูปแบบใหม่ที่อาศัยเครื่องมือรัฐสภา พรรคการเมือง และระบบราชการเป็นฐานรองรับ

2. ข้อเท็จจริงเรื่องวันหยุด 10 ธันวาคม 2568 ภายใต้รัฐบาลอนุทิน

2.1 สถานะของวันรัฐธรรมนูญในเชิงกฎหมายและปฏิทินวันหยุด

ฐานข้อมูลวันหยุดทางการทั้งของรัฐไทยและสื่อระหว่างประเทศยังระบุให้วันที่ 10 ธันวาคม เป็นวันรัฐธรรมนูญและเป็นวันหยุดราชการ/วันหยุดนักขัตฤกษ์ระดับชาติ โดยในปี 2568 วันดังกล่าวยังปรากฏอยู่ในปฏิทินวันหยุดอย่างเป็นทางการเคียงคู่กับวันสิ้นปี 31 ธันวาคม และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม ไม่ได้มีการ “ยกเลิก” สถานะวันหยุดในระดับชาติ

2.2 การย้ายวันหยุดของข้าราชการรัฐสภา: สัญลักษณ์ในหัวใจของระบอบรัฐสภา

กรณีที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์อย่างกว้างขวาง คือหนังสือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐสภา ซึ่งสรุปในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า ข้าราชการสังกัดรัฐสภา “ต้องมาปฏิบัติงานตามปกติในวันที่ 10 ธันวาคม 2568” เพื่อรองรับภารกิจในวันรัฐธรรมนูญ และจะได้รับวันหยุดชดเชยในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 แทน

แม้เอกสารชี้ชัดว่าเป็นเพียงการจัดตารางวันหยุด “เฉพาะข้าราชการสังกัดรัฐสภา” และไม่ได้มีผลต่อสถานะวันหยุดของข้าราชการอื่นหรือเอกชนทั้งหมด แต่ในเชิงสัญญะ การที่ “หัวใจของระบอบรัฐสภา” ต้องทำงานในวันรัฐธรรมนูญ แต่ได้หยุดในวันที่ไม่มีความหมายทางประชาธิปไตยโดยตรง ย่อมเปิดพื้นที่ให้ถูกตีความว่า เป็นการทำให้ “สาระทางการเมือง” ของวันรัฐธรรมนูญถูกกลบด้วยความสะดวกด้านวันหยุดปลายปีในมิติอื่น

หมายเหตุ: การวิเคราะห์นี้ไม่ได้ปฏิเสธเหตุผลด้านการบริหารงานบุคคลหรือการจัดกิจกรรมในวันรัฐธรรมนูญ หากแต่ชี้ให้เห็นว่า การบริหารเช่นนี้มีนัยยะทางสัญลักษณ์และการเมืองของความทรงจำ ที่จำเป็นต้องพิจารณาควบคู่กัน

3. กรอบแนวคิด: ความทรงจำทางการเมืองและสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัย

แนวคิดเรื่อง “การเมืองของความทรงจำ” (politics of memory) ชี้ให้เห็นว่ารัฐและชนชั้นนำไม่ได้ควบคุมเพียงกฎหมายหรือสถาบันทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังควบคุม “สิ่งที่สังคมจำ” และ “สิ่งที่สังคมถูกทำให้ลืม” ผ่านการเลือกวันสำคัญ การตั้งชื่อสถานที่ อนุสาวรีย์ ตำราเรียน สื่อมวลชน และการขีดเส้นว่าเนื้อหาประวัติศาสตร์ใดพูดได้และพูดไม่ได้

ในบริบทไทยหลังปี 2475 เป็นต้นมา คณะราษฎรเคยใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการยุติสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และสร้างความทรงจำใหม่เกี่ยวกับ “ชาติที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย” เช่น การเปลี่ยนพระราชวังบางแห่งเป็นหน่วยงานรัฐ การสร้างหมุดและอนุสาวรีย์ 2475 และการออก ประกาศคณะราษฎร เป็นวัตถุแห่งความทรงจำ

หลังจากนั้น เมื่อระบอบอำนาจเก่าค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นโดยอาศัยกองทัพ สงครามเย็น และพันธมิตรสหรัฐฯ การเมืองของความทรงจำถูกใช้ย้อนกลับ เพื่อยกบทบาทสถาบันกษัตริย์ขึ้นเหนือรัฐธรรมนูญและประชาชน โดยทำให้คณะราษฎรกลายเป็นตัวละครรองหรือ “ผู้ทำลายความสงบ” ในขณะที่พระมหากษัตริย์ถูกวาดภาพเป็น “ผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญ”

เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 “สมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัย” ไม่จำเป็นต้องประกาศตัวด้วยรถถัง หากแต่แทรกซึมผ่านกลไกรัฐสภา พรรคการเมือง ศาล องค์กรอิสระ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตลอดจนการจัดการวันสำคัญและสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ ให้สังคมเชื่อว่าระบอบที่มีอยู่คือ “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” ทั้งที่ในสาระ พลเมืองแทบไม่มีอำนาจจริงในการกำหนดอนาคตของตนเอง

4. รูปธรรมของการลบเลือนคณะราษฎรและการเขียนซ้ำประวัติศาสตร์

4.1 การหายไปของหมุดคณะราษฎรและการแทนที่ด้วยหมุดราชาชาตินิยม

กรณีหมุดคณะราษฎรบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าที่ “หายไป” ในปี 2560 และถูกแทนที่ด้วยหมุดใหม่ที่ไม่มีข้อความเกี่ยวกับอำนาจของราษฎร เป็นตัวอย่างคลาสสิกของการลบเลือนความทรงจำทางการเมืองอย่างเป็นระบบ สื่อมวลชนและนักวิชาการจำนวนมากชี้ว่า นี่ไม่ใช่เพียงการปรับภูมิทัศน์ แต่เป็นการทำลายหลักฐานเชิงวัตถุของการปฏิวัติ 2475

ความสำคัญของหมุดดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่ราคาโลหะ หากแต่อยู่ที่ข้อความเชิงอุดมการณ์ ที่ยืนยันว่า “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้ไว้ว่า ประเทศนี้เป็นของราษฎร มิใช่ของกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว” การทำลายหมุดนี้และแทนที่ด้วยข้อความที่เชิดชูระบอบเก่าจึงสะท้อนความพยายามจะกลับไปสู่กรอบคิดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในระดับเชิงวาทกรรมและความทรงจำ

4.2 การรื้อถอนอนุสาวรีย์และมรดกสถาปัตยกรรมของคณะราษฎร

งานข่าวและงานวิชาการหลายชิ้นได้ติดตาม “ชะตากรรม” ของอนุสาวรีย์ และอาคารที่เกี่ยวพันกับคณะราษฎร ตั้งแต่สะพาน พระที่นั่ง ไปจนถึงอาคารที่ถูกสร้างขึ้นในยุคหลัง 2475 ซึ่งถูกดัดแปลง รื้อถอน หรือทำให้ความหมายเดิมเลือนหายไป

การเปลี่ยนสถานะของอาคารเหล่านี้จาก “หลักฐานการสิ้นสุดสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ไปเป็นเพียงอาคารราชการทั่วไป หรือการปล่อยให้ทรุดโทรมโดยไม่มีการบูรณะเชิงสัญลักษณ์ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการลบเลือนประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติ 2475 โดยมิได้ใช้ความรุนแรงทางกายภาพอย่างโจ่งแจ้ง แต่ใช้ ความเฉยเมยเชิงโครงสร้าง

4.3 การเขียนตำราเรียนและวาทกรรมสาธารณะใหม่

ตำราเรียนประวัติศาสตร์ระดับโรงเรียนส่วนใหญ่ให้พื้นที่กับเหตุการณ์ 2475 และคณะราษฎรเพียงเล็กน้อย ขณะที่ให้พื้นที่อย่างกว้างขวางกับบทบาทกษัตริย์ในฐานะ “ผู้พระราชทานประชาธิปไตย” การเลือกเล่าเรื่องเฉพาะบางส่วนของประวัติศาสตร์ ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากเติบโตขึ้นโดยไม่เคยรับรู้ว่า การมีรัฐธรรมนูญและรัฐสภาในวันนี้เกิดจากการต่อสู้ทางการเมืองของประชาชนและคณะราษฎร

ภายหลังรัฐประหาร 2557 และการก่อตัวของบรรยากาศกดดันทางกฎหมาย การทำงานของนักวิชาการ สื่ออิสระ และขบวนการนักศึกษา ที่พยายามรื้อฟื้นความทรงจำคณะราษฎร กลายเป็นทั้ง “เป้าหมายของการสอดส่อง” และ “แรงต้านเชิงสร้างสรรค์” ผ่านการผลิตวัตถุ การทำซ้ำหมุด และการจัดงานรำลึกทางเลือก

5. การจัดการวันรัฐธรรมนูญในรัฐบาลอนุทิน: ความต่อเนื่องและความแปรผัน

5.1 รัฐบาลอนุทินในฐานะรัฐบาลอนุรักษ์นิยม–จารีตนิยมยุคใหม่

นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ในปี 2568 ภายใต้ข้อตกลงทางการเมืองที่ซับซ้อนระหว่างพรรคการเมืองต่าง ๆ แม้เขาจะเคยอยู่ในรัฐบาลพลเรือนหลากหลายชุด แต่ภาพลักษณ์ของพรรคภูมิใจไทย และตัวนายกรัฐมนตรีเองในสายตานักวิเคราะห์การเมือง มักถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอนุรักษ์นิยม–จารีตนิยมที่มีจุดยืนชัดเจนในการปกป้องโครงสร้างอำนาจเดิม และไม่สนับสนุนการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

การที่รัฐบาลอนุทินต้องเผชิญทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสิ่งแวดล้อม และแรงกดดันทางการเมืองเรื่องการยุบสภาและร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ทำให้การส่งสัญญาณ “ความจงรักภักดีต่อระบอบเดิม” ผ่านนโยบายเชิงสัญลักษณ์ยิ่งมีน้ำหนักในเชิงยุทธศาสตร์ทางการเมือง

5.2 วันหยุด 10 ธันวาคมสำหรับรัฐสภา: เมื่อ “หัวใจของรัฐธรรมนูญ” ทำงานในวันรัฐธรรมนูญ

การจัดให้ข้าราชการสังกัดรัฐสภาทำงานในวันที่ 10 ธันวาคม 2568 และหยุดชดเชยในวันที่ 30 ธันวาคม แม้สามารถอธิบายเชิงเทคนิคได้ว่า เพื่อให้สามารถจัด “งานวันรัฐธรรมนูญ” ได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ในเชิงสัญลักษณ์ มีนัยยะสำคัญอย่างน้อยสามประการ คือ

  • (1) การลดทอนวันรัฐธรรมนูญจาก “วันหยุดแห่งพลเมือง” เหลือเพียง “วันจัดงานพิธีการ”
    เมื่อหัวใจของระบอบรัฐสภาซึ่งควรเป็นสัญลักษณ์ของการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน ต้องทำงานเชิงพิธีการในวันดังกล่าว แทนที่จะเปิดพื้นที่ให้เป็นวันหยุดเพื่อการเรียนรู้ สนทนา และวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญของพลเมืองโดยกว้าง
  • (2) การแปลงสาระทางการเมืองให้กลายเป็น “ภารกิจราชการ”
    วันรัฐธรรมนูญจึงถูกบรรจุอยู่ในกรอบความคิดแบบ “งานรัฐพิธี” มากกว่าการเป็นวันของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และถูกจัดการโดยระบบราชการและกลุ่มชนชั้นนำเป็นหลัก
  • (3) การเลื่อนคุณค่าทางสัญลักษณ์ไปสู่วันหยุดปลายปี
    การให้วันหยุดชดเชยในวันที่ 30 ธันวาคม ซึ่งไม่มีความหมายทางประวัติศาสตร์-การเมือง ช่วยตอกย้ำว่า สิ่งที่ระบบให้ความสำคัญคือ “ความสะดวกด้านวันหยุดยาว” มากกว่าการรักษาความทรงจำเกี่ยวกับการยุติสมบูรณาญาสิทธิราชย์และการสถาปนารัฐธรรมนูญ

เมื่อมองร่วมกับกระบวนการลบเลือนคณะราษฎรในมิติอื่น ๆ การตัดสินใจเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิคของการจัดวันหยุด แต่เป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนการลดทอนและปรับกรอบความหมายของวันรัฐธรรมนูญ จาก “พิธีกรรมของพลเมือง” ไปสู่ “พิธีกรรมของรัฐ”

6. วันรัฐธรรมนูญในฐานะสนามรบระหว่างสองระบอบ

หากสรุปในเชิงโครงสร้าง วันรัฐธรรมนูญในประเทศไทยร่วมสมัยคือสนามรบระหว่างสองระบอบ ได้แก่

  • (ก) ระบอบที่เห็นว่าประเทศไทยเป็นของพลเมืองทุกคน ซึ่งยึดถือหลักการว่ารัฐธรรมนูญคือสัญญาทางการเมืองระหว่างประชาชน และผู้ใช้อำนาจรัฐ ภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนสากล การแบ่งแยกอำนาจ และหลักความรับผิดชอบ
  • (ข) ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัย ที่ยืนยันว่าแหล่งที่มาของอำนาจสูงสุดยังคงอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์และกลุ่มชนชั้นนำ โดยรัฐธรรมนูญถูกลดสถานะให้เป็นเพียงเอกสารที่ “พระราชทาน” หรือเป็นข้อจำกัดเชิงพิธีการมากกว่าจะเป็นเครื่องมือของประชาชนในการควบคุมอำนาจรัฐ

การทำให้วันรัฐธรรมนูญเงียบลง การลบหมุดคณะราษฎร การเปลี่ยนชื่ออาคารหรือค่ายทหาร ตลอดจนการจัดการวันหยุดเฉพาะในหัวใจของระบอบรัฐสภา จึงต้องถูกอ่านในฐานะ “กลยุทธ์ระยะยาว” ของระบอบหลังสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่พยายามทำให้คนไทยลืมไปว่า ประเทศนี้เคยถูกเขียนใหม่ด้วยมือของราษฎร

7. ข้อเสนอเชิงพลเมือง: ฟื้นความทรงจำ แทนการรอคำอนุญาต

เมื่อรัฐใช้อำนาจในการจัดการความทรงจำ พลเมืองจำเป็นต้องสร้าง “ความทรงจำจากเบื้องล่าง” (counter-memory) ของตนเอง ผ่านการศึกษา การสนทนาในพื้นที่ครอบครัว ชุมชน โรงเรียน มหาวิทยาลัย และพื้นที่สาธารณะทั้งออฟไลน์และออนไลน์

การปกป้องวันรัฐธรรมนูญในฐานะวันสำคัญ ไม่จำกัดอยู่แค่การรักษา “วันหยุด” แต่หมายถึงการฟื้นความหมายดั้งเดิมว่า รัฐธรรมนูญมีไว้เพื่อจำกัดอำนาจของผู้ปกครอง และรับรองศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เอกสารประกอบพิธีการ ที่จะเรียบหรือหนาตามอารมณ์ของชนชั้นนำในแต่ละยุคสมัย

ในโลกที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัยสามารถสวมหน้ากาก “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” ได้อย่างแนบเนียน การมองเห็น “รอยเล็ก ๆ” เช่น การจัดวันหยุด การรื้อหมุด หรือการเปลี่ยนชื่ออาคาร จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการใช้วิจารณญาณ และการยืนยันว่าประเทศนี้เป็นของพลเมืองทุกคน ไม่ใช่ของใครเพียงไม่กี่คน

8. บทสรุป

บทความนี้มิได้อ้างว่าการจัดวันหยุดของข้าราชการรัฐสภาในปี 2568 เป็นหลักฐานเดียวที่ยืนยันการสร้างสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ หากแต่ชี้ให้เห็นว่า เมื่อประกอบเข้ากับกระบวนการลบเลือนคณะราษฎร การเขียนซ้ำประวัติศาสตร์ การทำลายสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม และบรรยากาศการดำเนินคดีทางการเมือง เราจะเห็น “แบบแผน” ที่มีความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

ในสถานการณ์เช่นนี้ การเตือนสติคนไทยให้มองเห็นการเมืองของความทรงจำ จึงไม่ใช่การกล่าวหาเกินเลย หากแต่เป็นการทำให้เราเถียงกับความจริงไม่ได้ว่า หากปล่อยให้การจัดการความทรงจำดำเนินต่อไปโดยไม่มีการตรวจสอบและตั้งคำถาม ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัยย่อมหยั่งรากลึกลงในจิตสำนึกของคนรุ่นต่อไป โดยไม่ต้องใช้รถถังเพียงคันเดียว

ภารกิจของพลเมืองไทยจึงไม่ใช่แค่การเรียกร้อง “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” แต่คือการฟื้นความทรงจำว่า เราเคยลุกขึ้นยุติสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาแล้วครั้งหนึ่ง และไม่มีสิ่งใดในโลกการเมืองที่ “ลบไม่ได้” หากประชาชนไม่ยอมลืมตัวเอง

บรรณานุกรม

  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. (2567). การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ประจำปี 2568 และ 2569. (เอกสารราชการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ราชการ).
  • สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และข่าวสรุปผ่านสื่อสังคมออนไลน์. (2568). การย้ายวันหยุดข้าราชการรัฐสภาจากวันที่ 10 ธันวาคม เป็นหยุดชดเชยวันที่ 30 ธันวาคม 2568.
  • Office Holidays. (n.d.). Public Holidays in Thailand – Constitution Day. สืบค้นจาก officeholidays.com
  • timeanddate.com. (n.d.). Constitution Day in Thailand.
  • Ivarsson, S., & Prakitnonthakan, C. (2025). “Banal revolutionary objects: Counter-memory and the materialization of Khana Ratsadon in Thailand.” Modern Asian Studies. (ออนไลน์ก่อนตีพิมพ์).
  • The Nation Thailand. (2020). The history and significance of the Khana Ratsadon plaque.
  • Prachatai English. (2019). Remembering Khana Ratsadon: erasing historical memory. สืบค้นจาก prachataienglish.com
  • Bangkok Post. (2017). You say you want a revolution plaque – well, it’s gone.
  • Strangio, S. (2020). “Thai Monuments Are Disappearing in the Dead of Night.” เผยแพร่บนบล็อกส่วนตัวเกี่ยวกับการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.
  • Revolutionary Objects Project. (n.d.). People’s Party Plaque. สืบค้นจาก revolutionaryobjects.org
  • Anutin Charnvirakul. (2025). ประวัติและเส้นทางการเมือง. สืบค้นจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลไทยและสารานุกรมออนไลน์สากล.
  • Time Magazine. (2025). Thai Lawmakers Elect a New Prime Minister: What to Know About Anutin Charnvirakul.
  • Reuters & AP. (2025). ข่าวต่างประเทศเกี่ยวกับการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอนุทิน และวิกฤตการเมือง–เศรษฐกิจในช่วงรัฐบาลสั้นอายุ.

หมายเหตุ: บรรณานุกรมข้างต้นคัดเฉพาะแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงและกรอบแนวคิดหลัก เพื่อให้ผู้อ่านสามารถสืบค้นต่อได้ตามสมควร

Friday, December 5, 2025

Red Ants' Revolutionary Strategy – Toggle TH/EN (ยุทธศาสตร์การอภิวัฒน์มดแดงล้มช้าง ฉบับสองภาษา)

Red Ants Strategy – Global Civic Awakening Edition

ยุทธศาสตร์มดแดงล้มช้าง – ฉบับสากลสำหรับพลเมืองโลกและคนไทย

Red Ants’ Strategy – A Global Edition for Citizens Worldwide and Thailand

ในทุกสังคมที่กำลังมองหาความเท่าเทียม ประชาชนมักค้นพบว่า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ได้เริ่มต้นจากผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ แต่เริ่มจากผู้คนธรรมดาที่ตื่นรู้พร้อมกันจำนวนมาก—ผู้ที่กล้าพูดว่า “ไม่” ต่อสิ่งที่ไม่ชอบธรรม ไม่ว่าใครจะเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาก็ตาม ยุทธศาสตร์ “มดแดงล้มช้าง” จึงไม่ใช่เพียงตำนานไทย แต่มันคือภาพแทนสากลของพลังร่วมกันของมนุษย์ที่ตื่นรู้

In every society striving toward justice and equality, people eventually realize that real transformation does not begin with heroic leaders, but with ordinary citizens awakening together—those who dare to say “NO” to what is unjust, regardless of who created or benefits from it. Thus, the “Red Ants” strategy is not merely a Thai metaphor; it is a universal symbol of collective human awakening.

1. รับ – การตื่นรู้ระดับปัจเจกสู่ปัญญาร่วมของสังคม

1. Awareness – From Individual Insight to Collective Understanding

การตื่นรู้ไม่ได้เกิดจากความโกรธ แต่เกิดจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า สังคมหนึ่ง ๆ ถูกกำหนดโดยโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น และมนุษย์ก็มีสิทธิเปลี่ยนมันได้เช่นกัน จังหวะนี้คือการเริ่มตั้งคำถามกับความจริงที่เคยถูกสอนให้ยอมรับโดยไม่คิด และเลือกที่จะ “ไม่หลงเชื่อ” เพียงเพราะใครบางคนสั่งให้เชื่อ รวมถึง “ไม่ถูกหลอกให้เกลียดกันเอง” เพราะความแตกต่างถูกสร้างให้เป็นเครื่องมือของผู้กุมอำนาจ

Awakening does not come from anger but from a deeper realization: that every society is shaped by man-made structures, and human beings have the right to reform them. This phase is marked by questioning narratives that people were taught to accept without scrutiny. Citizens choose to “not be deceived” simply because authority demands obedience, and “not be manipulated into mutual hatred” through divisions engineered by those in power.

2. ยัน – การยืนหยัดอย่างสงบ แต่มั่นคงดุจรากแห่งประชาธิปไตย

2. Resistance – Calm but Unyielding, Like the Roots of Democracy

เมื่อความจริงชัดขึ้น ประชาชนจะเริ่มถอนพลังสนับสนุนที่เคยหล่อเลี้ยงระบบที่ไม่เป็นธรรม การปฏิเสธที่ทรงพลังที่สุดคือการบอกตัวเองและสังคมว่า “ไม่ร่วมมือ” กับสิ่งที่บั่นทอนศักดิ์ศรี “ไม่ส่งเสริม” อำนาจที่ไร้ความรับผิดชอบ และ “ไม่เพิกเฉย” ต่อความอยุติธรรมที่เคยถูกทำให้ดูเป็นเรื่องธรรมดา นี่คือหัวใจสากลของพลเมืองที่เริ่มยืนหยัดด้วยตนเอง

As clarity increases, citizens withdraw the support that unjust systems once depended on. The most powerful civic refusals are: “not cooperating” with actions that violate human dignity, “not endorsing” unaccountable power, and “not ignoring” injustices normalized over generations. This is the universal foundation of engaged, self-respecting citizenship.

3. รุก – การก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีวิสัยทัศน์ร่วมของผู้คนทั้งประเทศ

3. Advance – Moving Forward with a Shared Vision for the Nation

เมื่อพลังของการยันมั่นคงพอ ประชาชนจะเริ่มนิยามอนาคตของตนเอง พวกเขา “ไม่ยอมรับ” ความอยุติธรรมว่าเป็นความปกติ “ไม่รับเงื่อนไขที่ลดทอนความเป็นคน” และ “ไม่ยอมให้อนาคตชาติถูกกำหนดโดยคนไม่กี่กลุ่ม” ในจังหวะนี้ พลเมืองไม่ได้เพียงปฏิเสธ แต่เริ่มสร้างสังคมที่ต้องการเห็นร่วมกัน

Once resistance becomes firm, citizens begin reshaping their own future. They “do not accept” injustice as normal, “do not accept conditions that strip away humanity”, and “do not permit a small elite to dictate the nation’s future”. In this phase, people move beyond refusal and begin constructing the society they collectively envision.

4. รุกฆาต – จุดที่พลังร่วมของสังคมทำให้โครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมอยู่ไม่ได้

4. Checkmate – When Collective Awakening Makes Unjust Power Unsustainable

ไม่มีระบบใดล้มลงเพราะความโกรธชั่ววูบ แต่ทุกระบบล้มลงเพราะผู้คนจำนวนมากพร้อมใจกันบอกว่า “ไม่ให้อำนาจใดอยู่เหนือการตรวจสอบ” “ไม่ให้คงอยู่ในรูปแบบที่กดทับคนส่วนใหญ่” และ “ไม่รับความกลัวเป็นเครื่องมือปกครองอีกต่อไป” นี่คือรุกฆาตแบบพลเมือง—การชนะด้วยแสงสว่าง มิใช่ด้วยความมืด

No system collapses from sudden anger. Every unjust system collapses when people collectively declare: “No power shall stand above scrutiny”, “No structure that harms the majority shall remain unchallenged”, and “Fear will no longer govern us”. This is civic checkmate—a victory achieved through illumination, not destruction.

บทส่งท้าย: พลังของคำว่า “ไม่”

Closing Thoughts: The Power of “NO”

คำว่า “ไม่” ไม่ได้ปฏิเสธเพียงสิ่งที่ผิด แต่ยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่การต่อต้านเพื่อทำลาย แต่คือการปฏิเสธเพื่อสร้างสังคมที่มนุษย์ทุกคนสามารถยืนบนศักดิ์ศรีเท่ากัน และเมื่อมดแดงทั้งรังตื่นขึ้น ช้างที่เคยดูใหญ่โตเกินแตะต้อง ก็จะสั่นสะเทือนด้วยพลังของความจริง และหัวใจมนุษย์ที่พร้อมเดินไปด้วยกัน

The word “NO” does not merely reject what is wrong; it affirms what is right. It is not resistance for destruction, but refusal as a creative force for a society where every human stands with equal dignity. And when all the red ants awaken together, the elephant—once thought untouchable—trembles under the weight of truth and the united heartbeat of humanity.

ยุทธศาสตร์มดแดงล้มช้าง: รับ ยัน รุก รุกฆาต ของพลเมืองตื่นรู้

ยุทธศาสตร์มดแดงล้มช้าง: รับ ยัน รุก รุกฆาต ของพลเมืองตื่นรู้

ยุทธศาสตร์มดแดงล้มช้าง: รับ ยัน รุก รุกฆาต ของพลเมืองตื่นรู้

เราส่องให้เห็นโครงสร้างที่บดบังศักยภาพของคนเดินดินทั้งแผ่นดิน

เมื่อเราพูดถึง “มดแดงล้มช้าง” หลายคนอาจนึกถึงภาพการลุกฮือแบบเร้าใจ แต่ในความเป็นจริง พลังของประชาชนไม่ได้เริ่มจากการปะทะ หากเริ่มจาก การตื่นรู้และการปฏิเสธที่จะเป็นเชื้อเพลิงให้ระบบที่ไม่เป็นธรรม ดำรงอยู่ต่อไปต่างหาก

ยุทธศาสตร์ของพลเมืองตื่นรู้จึงสามารถมองได้เป็นสี่จังหวะสำคัญ คือ รับ – ยัน – รุก – รุกฆาต ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นผ่านคำสั้น ๆ ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง คือคำว่า “ไม่” ไม่ใช่ “ไม่เอะอะโวยวาย” แต่เป็น “ไม่ให้ความชอบธรรม” แก่อำนาจที่ไม่เป็นธรรมอีกต่อไป คำว่า “ไม่” ของประชาชนจำนวนมาก ไม่ได้เป็นเพียงท่าทีทางอารมณ์ แต่เป็นการวางยุทธศาสตร์ทางสังคมและการเมืองอย่างมีสติ

1. จังหวะ “รับ”: สร้างภูมิคุ้มกันด้วยการไม่ยกสมองให้ใครครอบครอง

จุดเริ่มต้นของพลเมืองตื่นรู้ไม่ได้เริ่มที่ถนน แต่เริ่มที่ในหัวใจและในหัวของแต่ละคน จังหวะ “รับ” คือช่วงที่เราหยุดนิ่งเพื่อสังเกตโลกและสังคมรอบตัวอย่างมีสติ เรายอมรับข้อเท็จจริงว่าโครงสร้างอำนาจซับซ้อนและแยบยลกว่าที่เราถูกสอนในหนังสือเรียน และเราตัดสินใจอย่างเงียบ ๆ ว่า จะไม่ปล่อยให้ใครใช้ความไม่รู้ของเราเป็นเครื่องมืออีกต่อไป

ในจังหวะนี้ พลเมืองตื่นรู้เริ่มจาก “ไม่หลงเชื่อ” ง่าย ๆ อีกต่อไป ข่าวลือ คลิปตัดต่อ โฆษณาชวนเชื่อ คำพูดที่สวยหรูแต่ขัดกับข้อเท็จจริง เขา ไม่ยอมรับโดยอัตโนมัติ อีกต่อไป นี่คือการถอนตนออกจากฐานะ “ผู้เสพข้อมูลอย่างเชื่อฟัง” แล้วก้าวเข้าสู่ฐานะ “ผู้ใช้วิจารณญาณของตนเอง”

พร้อมกันนั้น พลเมืองตื่นรู้ยัง “ไม่ถูกหลอกให้เกลียดกันเอง” เมื่ออำนาจใดพยายามแบ่งแยกประชาชนเพื่อปกครองได้ง่ายขึ้น เขามองเห็นเกมทันทีและไม่ตกเป็นเหยื่อของกลยุทธ์นั้นอีก

2. จังหวะ “ยัน”: ยืนหยัดอย่างสงบ แต่ไม่ยอมเป็นฟันเฟืองของความอยุติธรรม

เมื่อเห็นโครงสร้างแล้ว ขั้นต่อมาคือการ ยืนหยัดไม่เติมพลังให้โครงสร้างนั้น นี่คือจังหวะที่ประชาชนค่อย ๆ ถอนฟันเฟืองออกจากเครื่องจักรความอยุติธรรมทีละซี่

พลเมืองตื่นรู้เริ่มจาก “ไม่ร่วมมือ” กับกติกาที่ไม่เป็นธรรม แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น ใต้โต๊ะ เส้นสาย หรือการโกงที่ “ใคร ๆ ก็ทำ” การไม่ร่วมมือคือการบอกว่า “เราจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของการกดทับตัวเองอีกต่อไป”

พร้อมกันนั้น เขายัง “ไม่ส่งเสริม” อำนาจหรือพฤติกรรมที่ทำร้ายส่วนรวม ไม่ช่วยเชียร์ ไม่ช่วยแชร์ ไม่ช่วยปั้นภาพให้โครงสร้างที่เอาเปรียบประชาชนดูดีเกินจริง

และในทุกวัน พลเมืองตื่นรู้เลือกที่จะ “ไม่เพิกเฉย” เมื่อพบเห็นความอยุติธรรม ไม่บอกตัวเองว่า “ไม่ใช่เรื่องของเรา” เพราะรู้ดีว่าความเพิกเฉยคือปุ๋ยของระบบที่ไม่เป็นธรรม

3. จังหวะ “รุก”: เปลี่ยนจากการไม่ยอม เป็นการลุกขึ้นกำหนดทิศทางใหม่

เมื่อการไม่หลงเชื่อ ไม่ร่วมมือ ไม่ส่งเสริม และไม่เพิกเฉยแพร่กระจายในสังคม พลังของประชาชนจะเปลี่ยนสถานะจากผู้ตั้งรับ เป็นผู้ผลักดันทิศทางใหม่อย่างสันติ

ในจังหวะนี้ พลเมืองตื่นรู้ “ไม่ยอมรับ” ว่าความอยุติธรรมคือวิถีปกติของสังคมไทย เขาไม่ยอมให้โครงสร้างเก่า ๆ ถูกทำให้ดูเหมือน “ธรรมชาติของบ้านเรา”

เขายัง “ไม่รับเงื่อนไขที่ทำให้ประชาชนต่ำต้อย” ไม่ยอมให้ภาษา สัญลักษณ์ หรือกติกาใดลดทอนความเป็นมนุษย์และศักดิ์ศรีของพลเมือง

และเหนือสิ่งอื่นใด เขา “ไม่ยอมให้ใครผูกขาดอนาคตชาติแทนเรา” เพราะประเทศคือสมบัติร่วมกันของประชาชนทุกคน ไม่ใช่อำนาจตกทอดของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

4. จังหวะ “รุกฆาต”: ทำให้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมอยู่ไม่ได้ด้วยน้ำหนักของความจริง

จังหวะสุดท้ายไม่ได้ใช้กำลัง แต่ใช้การเปลี่ยนสมดุลพลังในสังคม ทำให้อำนาจที่ไม่ชอบธรรม “อยู่ไม่ได้” โดยธรรมชาติของมันเอง

พลเมืองตื่นรู้ “ไม่ให้อยู่เหนือการตรวจสอบ” อีกต่อไป ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะอยู่ในสถานะใด ย่อมต้องตอบต่อสาธารณะ

เขายัง “ไม่ให้คงอยู่ในรูปแบบที่เอาเปรียบประชาชน” ไม่ยอมให้กฎหมาย ช่องโหว่ หรืออภิสิทธิ์ที่ขัดต่อความเสมอภาคดำรงอยู่เป็นนิรันดร์

และที่ลึกที่สุดคือ “ไม่รับความกลัวเป็นเครื่องมือปกครอง” เมื่อประชาชนจำนวนมากเลือกว่า “เราจะไม่ถูกข่มขู่ให้เงียบ” อำนาจที่ตั้งอยู่บนความกลัวจะเสื่อมพลังลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อถึงจุดนั้น สังคมก็เดินมาถึงจังหวะ “ไม่ยอมให้อนาคตชาติถูกกำหนดโดยคนไม่กี่คนอีกต่อไป” นี่ไม่ใช่คำสโลแกน แต่คือผลรวมของพฤติกรรมเล็ก ๆ แต่มั่นคงของประชาชนทั้งแผ่นดิน

บทส่งท้ายจากใจ ดร. เพียงดิน รักไทย

คำว่า “ไม่” ของประชาชนในยุทธศาสตร์ทั้งสี่จังหวะ ไม่ใช่คำปฏิเสธเพื่อทำลาย แต่คือคำปฏิเสธเพื่อปลดปล่อย— ปลดปล่อยมนุษย์จากการถูกทำให้เชื่อฟังโดยไร้เหตุผล ปลดปล่อยสังคมจากการกดทับแบบยาวนาน และปลดปล่อยอนาคตของชาติให้กลับไปอยู่ในมือของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศตัวจริง

มดแดงตัวหนึ่งอาจทำอะไรไม่ได้ แต่มดแดงทั้งรังที่ตื่นรู้ เดินไปในทิศทางเดียวกัน สามารถทำให้ช้างที่ดูยิ่งใหญ่เกินแตะต้อง สั่นสะเทือนได้ด้วยพลังของความจริง และหัวใจของประชาชนที่ไม่ยอมก้มหน้าอีกต่อไป

ตัวอย่างที่น่าสนใจ

คันฉ่องส่องไทย: ทำไมทุนเทา–ทุนดำ และนายทุนสัมปทานแนบชิดอำนาจสูงสุด

คันฉ่องส่องไทย: ทำไมทุนเทา–ทุนดำ และนายทุนสัมปทานแนบชิดอำนาจสูงสุด

🔥 คันฉ่องส่องไทย: ทำไมทุนเทา–ทุนดำ–มาเฟีย และนายทุนสัมปทานใหญ่ จึงแนบชิดวัง–ทหาร–นักการเมือง–ข้าราชการระดับสูง

บทความสั้นนี้ผสานสามมิติไว้ด้วยกัน:
1) การมองแบบคันฉ่องส่องไทย (ตีแผ่โครงสร้างเชิงลึก)
2) การวิเคราะห์เชิงวิชาการ (รัฐศาสตร์–เศรษฐกิจการเมือง–อำนาจแบบอุปถัมภ์)
3) รูปแบบ HTML พร้อมเผยแพร่

1) แก่นโครงสร้าง: เมื่อรัฐอุปถัมภ์ต้องการ “เงินนอกระบบ” เพื่อดำรงอำนาจ

ในรัฐที่กฎหมายถูกใช้ตามเป้าประสงค์ของผู้มีอำนาจมากกว่าตามหลักนิติรัฐ ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดไม่ใช่งบประมาณของประเทศ แต่คือ เงินมืดและทรัพยากรนอกระบบ ซึ่งไม่มีการตรวจสอบและไม่มีความโปร่งใส

ทุนเทา–ทุนดำ เช่น บ่อน, ค้ามนุษย์, แรงงานเถื่อน, ยาเสพติดระดับภูมิภาค, ค้าสินค้าหนีภาษี ตลอดจนมาเฟียต่างด้าว จึงทำหน้าที่เป็น “กระเป๋าเงินลับ” สำหรับผู้กุมอำนาจ

ในเชิงวิชาการ นี่สอดคล้องกับแนวคิด Shadow State และ Patron–Client Network ที่รัฐไม่สามารถดำรงเสถียรภาพได้ หากไม่มีทรัพยากรที่ไม่ถูกตรวจสอบคอยหล่อเลี้ยงเพื่อใช้ในงานที่ “รัฐหน้าเป็น” ทำไม่ได้ เช่น

  • การควบคุมพื้นที่ทางการเมืองท้องถิ่น
  • การซื้ออิทธิพลและความภักดีของกลุ่มข้าราชการ
  • ปฏิบัติการมวลชนหรือปฏิบัติการข่าวสาร (IO)
  • การจัดการคู่แข่งทางอำนาจ

ดังนั้นรัฐอุปถัมภ์กับทุนมืดจึงพึ่งพากันเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เหตุบังเอิญ

2) ความต้องการ “ร่มเงาอำนาจ” ของทุนเทา–ทุนดำ ทำให้ต้องแนบชิดศูนย์อำนาจ

ในเชิงคันฉ่องส่องไทย เราเห็นชัดมานานว่า ทุนเทา–ทุนดำ ไม่ได้อยู่ได้ด้วยการซ่อนตัว แต่ต้องอยู่ด้วยการ ประกาศตนว่ามีผู้ใหญ่คุ้มหลัง เพื่อให้คู่แข่งยอมถอย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐ “มองผ่าน”

การถ่ายรูปคู่กับข้าราชการระดับสูง การร่วมงานพิธีของสถาบัน การสนิทสนมกับนายพล หรือนักการเมือง ทั้งหมดคือ ภาษาแห่งอำนาจ ที่ใช้สื่อสารว่า “ธุรกิจนี้ ปลอดภัย เพราะอยู่ใต้ร่มเงาที่สูงกว่าเจ้าหน้าที่ทั่วไป”

ในมุมวิชาการ ความสัมพันธ์แบบนี้เรียกว่า Mutual Shielding คือการปกป้องซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย:

  • ทุนมืดได้รับการคุ้มกันจากกฎหมาย
  • ข้าราชการ–นักการเมืองได้รับผลประโยชน์ที่ไม่สามารถขอผ่านระบบทางการได้

นี่คือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ฝังรากลึกจนกลายเป็น “ระบบ” มากกว่า “อุบัติเหตุทางการเมือง”

3) ระบบสัมปทานใหญ่: ระบบผูกขาดที่พันธนาการรัฐและทุนเข้าด้วยกัน

ประเทศไทยมีระบบสัมปทานที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจการเมือง เช่น พลังงาน โทรคมนาคม ท่าเรือ เหมือง ก๊าซ สื่อ สัมปทานเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการแข่งขันเสรี แต่เกิดจากการตัดสินใจของผู้มีอำนาจระดับบนที่ผูกโยงกับกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม

จึงเกิดการแลกเปลี่ยนแบบ:

  • ทุนต้อง “แสดงความจงรักภักดี” ต่อโครงสร้างอำนาจ
  • อำนาจต้องปกป้องผลประโยชน์ของทุน

ความแนบชิดนี้ไม่ได้เกิดเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่เป็นความจำเป็นเชิงโครงสร้างในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระยะยาว

4) รัฐไทยและดุลอำนาจกฎหมายแบบ “เลือกใช้”

ปัญหาหลักของไทยคือกฎหมายถูกบังคับใช้แบบ “เลือกใช้” หรือ Selective Enforcement ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของรัฐกึ่งเผด็จการที่ใช้กฎหมายเป็นอาวุธควบคุมศัตรู แต่ละเว้นพันธมิตร

ดังนั้นสำหรับทุนมืดและทุนใหญ่ สิ่งที่พวกเขาต้องซื้อไม่ใช่แค่เส้นทางเปิด แต่คือ การไม่ถูกปิดเกม และการไม่ถูกสร้างคดีเมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ

รูปถ่าย การร่วมงาน การไปมาหาสู่ จึงเป็นเสมือน “กรมธรรม์ประกันชีวิต” ทางธุรกิจ

5) เมื่อรัฐต้องใช้ “แขนขาเงา” ในงานที่รัฐทำเองไม่ได้

หลายกิจกรรมที่รัฐต้องการผลลัพธ์ แต่ทำเองไม่ได้เพราะผิดหลักประชาธิปไตย เช่น

  • ควบคุมพื้นที่อิทธิพล
  • กดดันคู่แข่งทางการเมือง
  • จัดการปฏิบัติการ IO
  • คุมแรงงานต่างด้าวและอุตสาหกรรมผิดกฎหมาย

ทุนเทา–ทุนดำจึงทำหน้าที่เป็น แขนขาเงาของรัฐ ทำในสิ่งที่รัฐ “ไม่อยากเปื้อนมือ” แต่ต้องการผลลัพธ์

นี่คือ symbiosis หรือการพึ่งพากันเชิงชีวภาพระหว่างรัฐกับทุนมืด

6) บทสรุปคันฉ่องส่องไทย: โครงสร้างนี้จะไม่มีวันเปลี่ยน ถ้าประชาชนไม่ลุกขึ้นเป็น “พลเมือง”

ตราบใดที่กฎหมายไทยไม่เสมอภาค ตราบใดที่ระบบราชการและกองทัพเชื่อฟังคนมากกว่ารัฐธรรมนูญ ตราบใดที่งบประมาณถูกยึดโดยคนไม่กี่กลุ่ม ตราบใดที่ประชาชนยังเป็น “ราษฎรในระบบอุปถัมภ์” เครือข่ายทุนเทา–ทุนดำ–ทุนใหญ่ และอำนาจสูงสุด จะยังดำรงอยู่เหมือนเดิมทุกยุคทุกสมัย

ประเทศไม่ถูกขายเพราะนักการเมือง แต่ถูกขายเพราะโครงสร้างที่เปิดช่องให้ทุนมืดเป็นเจ้าภาพของอำนาจ ขณะที่ประชาชนถูกกันออกจากการกำหนดอนาคตของตนเอง

นี่คือความจริงเชิงโครงสร้างที่คันฉ่องส่องไทยต้องชี้ให้เห็น

เชิงอรรถ / อ้างอิงเชิงวิชาการ (ย่อ)

– Joel S. Migdal, *State in Society* (โครงสร้างรัฐไม่ใช่สิ่งสมบูรณ์ แต่ต่อรองกับอำนาจนอกระบบ)
– Susan Strange, *The Retreat of the State* (ทุนเหนือรัฐและสร้างรัฐเงา)
– O’Donnell, *Delegative Democracy* (รัฐประชาธิปไตยที่ใช้กฎหมายเชิงเลือก)
– Scott, *Weapons of the Weak* (กลไกนอกระบบและเครือข่ายอุปถัมภ์ในสังคมเอเชีย)

Tuesday, December 2, 2025

Citizens Who Do Not Think Become Subjects Who Obey. | พลเมืองที่ไม่ใช้ปัญญา คือราษฎรที่ถูกปั้นให้เชื่อง (English/Thai)

Civic Reasoning | คันฉ่องส่องไทย
ไทย English
คันฉ่องส่องไทย

พลเมืองที่ไม่ใช้ปัญญา คือราษฎรที่ถูกปั้นให้เชื่อง

เมื่อเราเลิกคิด เลิกตรวจสอบ และตัดสินทุกอย่างด้วยอารมณ์ เรากำลังถอยจากฐานะ “เจ้าของประเทศ” กลายเป็นเพียง “ผู้ตาม” ที่ใครจะปั้นไปทางไหนก็ได้

“พลเมือง (citizens) ที่ใช้วิจารณญาณไม่เป็น ก็จะถูกลดฐานะเป็นราษฎร (subjects)”
ประโยคสั้น ๆ แต่คือคันฉ่องที่สะท้อนระดับสติปัญญา และศักดิ์ศรีของผู้คนในสังคม

1. ความคิดที่เกิดจากอารมณ์ = ใจที่พร้อมถูกปั่น

ในยุคที่ข่าว โพสต์ และคอมเมนต์ผุดขึ้นทุกวินาที สิ่งที่ขาดแคลนไม่ใช่ “ข้อมูล” แต่คือ “วิจารณญาณ” ของผู้รับสาร

เมื่อเราอ่านหรือฟังอะไรแล้วรีบ โกรธ รัก เกลียด หรือเชียร์สุดใจ โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เราก็เหมือนมดในขวดที่ถูกเขย่า มันจะกัดทุกสิ่งที่ขยับ โดยเข้าใจว่า “ตัวอื่นคือศัตรู” โดยไม่เคยมองขึ้นไปว่าใครคือ “คนที่เขย่าขวด”

คนไทยจำนวนมากไม่เคยถามว่า ใครได้ประโยชน์จากความแตกแยก? ใครได้อำนาจจากการที่ประชาชนเกลียดกันเอง? ใครไม่อยากให้ประชาชนมีสติและคิดเป็น?

เมื่อไม่มีปัญญาตั้งคำถาม เราก็กำลังถอนรากความเป็นพลเมืองของตัวเอง และยอมส่งมอบสมองให้ผู้อื่นเข้ามาจัดการแทน

2. เมื่อเชื่อตามแบบไม่ใช้เหตุผล = ถูกลดชั้นจาก “เจ้าของประเทศ” เป็น “ผู้ตาม”

ความเป็น พลเมือง ไม่ได้วัดกันที่ชื่อในบัตรประชาชน แต่ดูจากว่าเราคิดอย่างไร ใช้หลักฐานแค่ไหน และยอมให้ใคร “ยัดคำตอบสำเร็จรูป” ใส่หัวเราหรือไม่

หากเราบริโภคข่าวและความเห็นแบบ “เลือกข้างล่วงหน้า” เช่น ถูกใจเพราะตรงสี เชื่อเพราะตรงใจ ด่าเพราะเพจที่ชอบสั่งให้ด่า เราก็กำลังลดตัวเองจากพลเมือง ไปเป็นเพียง “ราษฎรผู้ถูกกำกับความคิด”

สังคมที่เต็มไปด้วยผู้ตามมักมีสัญญาณเหล่านี้
  • เชียร์หรือด่าทุกอย่างตามหน้าเพจ ไม่ใช่ตามข้อเท็จจริง
  • ตัดสินคนจากสี เสื้อ พรรค มากกว่าจากหลักฐานการกระทำ
  • รอผู้นำคิดแทน มากกว่าหาข้อมูลด้วยตัวเอง

คนที่คิดไม่เป็น คือคนที่ถูกคิดแทน
และคนที่ถูกคิดแทน คือคนที่ถูกปกครองได้ง่ายที่สุด.

3. การแตกแยกแบบมดต่างสี: ภาพจำลองของสังคมไทย

ลองจินตนาการขวดแก้วใสใบหนึ่ง ข้างในมีมดสีแดงกับมดสีน้ำเงินอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ไม่มีความเกลียดชังต่อกันแม้แต่น้อย… จนกระทั่ง มีมือหนึ่งมาเขย่าขวด

เมื่อถูกเขย่า มดเหล่านั้นจะรู้สึกว่าตัวเองถูกโจมตี จึงเริ่มกัดทุกสิ่งที่ขยับ โดยเฉพาะมดต่างสีที่ดูเหมือน “ตัวร้าย” ทั้งที่จริงแล้ว มดทั้งหมดเป็นเพียงเหยื่อของ “มือที่เขย่า”

ในสังคมไทย “มือที่เขย่าขวด” อาจอยู่ในรูปของ
  • ข่าวบางสำนักที่บิดประเด็นให้คนเกลียดกัน
  • นักการเมืองบางกลุ่มที่เลี้ยงฐานเสียงด้วยความกลัวและความเกลียดชัง
  • แคมเปญบนโซเชียลที่สร้างกระแสเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ
  • เพจและอินฟลูเอนเซอร์ที่ปั่นอารมณ์เพื่อยอดไลก์ ยอดแชร์ มากกว่าสร้างปัญญา

ประชาชนที่ไม่ทันเกม ก็เหมือนมดที่กัดกันเอง “อย่างเข้าใจผิด” โดยไม่เคยเงยหน้ามองว่า แท้จริงแล้วใครคือคนที่กำลังเขย่าทั้งขวดอยู่เงียบ ๆ

4. อคติคือโซ่ตรวนแห่งความไม่รู้

หลายคนไม่รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังใช้ “เหตุผลที่อิงอารมณ์” (emotional reasoning) ตัดสินทุกอย่าง

ตัวอย่างเหตุผลที่ดูเหมือนคิด แต่จริง ๆ คืออคติ
  • “ฉันไม่ชอบคนนี้ ดังนั้นเขาต้องผิด”
  • “ฉันรักคนนี้ ดังนั้นเขาต้องถูก”
  • “กลุ่มของฉันดีอยู่แล้ว กลุ่มอื่นต้องเลว”
  • “เขาพูดตรงกับใจฉัน แปลว่าต้องเป็นความจริง”

อคติแบบนี้อันตรายกว่าข่าวปลอม เพราะไม่ต้องใช้หลักฐานอะไรเลย ก็สร้าง “โลกปลอม” ในหัวเราได้สำเร็จ

คนที่ติดอคติ คือคนที่ไม่เห็นโลกตามความเป็นจริง
และคนที่ไม่เห็นความจริง คือเหยื่อที่สมบูรณ์แบบของผู้มีอำนาจ

5. ประเทศที่เต็มไปด้วยราษฎร = ประเทศที่ใคร ๆ ก็ชักใยได้

ประเทศใดที่ประชาชนไม่ถูกฝึกให้คิดวิเคราะห์ ตรวจสอบ และตั้งคำถาม ประเทศนั้นจะเต็มไปด้วย

  • ความเกลียดชังแบบไร้ตรรกะ ด่ากันเพราะคนละสี
  • ดราม่าท่วมฟีด แต่ข้อเท็จจริงหายไปจากวงสนทนา
  • การเมืองแบบยัดเยียดภาพลวงตา มากกว่าการถกเถียงด้วยเหตุผล
  • โครงสร้างอำนาจที่ “ส่ายหัวแล้วหัวก็ส่ายตาม” เพราะประชาชนไม่เคยมองโครงสร้างจริง ๆ

นี่คือประเทศที่ประชาชนกลายเป็นเพียง “ฝุ่นในระบบ” ที่ถูกพัดไปตามกระแส และผู้มีอำนาจสามารถบิดทิศทางประเทศไปทางไหนก็ได้ โดยแทบไม่เจอแรงต้านเชิงเหตุผล

6. ความเป็นพลเมืองไม่ใช่ของขวัญ แต่เป็นวินัยทางความคิด

การเป็นพลเมืองต้องผ่าน “วินัยทางปัญญา” อย่างน้อย 4 ประการต่อไปนี้

  1. ตรวจสอบข้อมูล – ไม่แชร์ก่อนอ่าน ไม่ด่าก่อนเข้าใจ
  2. ฟังความต่าง – แยกคนจากสี เสื้อ พรรค ให้ได้ก่อนตัดสิน
  3. คิดแบบไม่มีเจ้าของความจริง – ยืนบนหลักฐาน ไม่ใช่ยืนบนความรู้สึกของกลุ่มตนเอง
  4. กล้าตั้งคำถามต่อผู้มีอำนาจทุกฝ่าย – ไม่ว่าฝ่ายใด ถ้ามีอำนาจก็ต้องถูกตรวจสอบ

นี่คือหัวใจของการพัฒนาพลเมืองที่แท้จริง เพราะ ประชาธิปไตยต้องการ “พลเมือง” ไม่ใช่ “ผู้ตาม”

7. บทสรุป: ทางรอดคือคิดเป็น ไม่ใช่เชียร์เป็น

ในแต่ละวัน เราทุกคนควรถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่า…

ถามตรง ๆ กับตัวเอง
วันนี้เรากำลังเป็น “พลเมืองที่คิดด้วยหลักฐาน”
หรือเป็นเพียง “ราษฎรที่เชื่อด้วยอารมณ์”?

ถ้าเราไม่ยกระดับตนเอง ประเทศไทยก็จะถูกเขย่าไปเรื่อย ๆ ประชาชนก็กัดกันเองอย่างไม่รู้ต้นเหตุ และอำนาจที่ไม่ถูกตรวจสอบ จะหัวเราะอยู่ในมุมมืดอย่างสบายใจ

โลกสว่างจากการที่คนคนหนึ่ง “เริ่มคิดเป็น” ไม่ใช่จากการที่คนทั้งประเทศ “พร้อมใจกันเชียร์เป็น” โดยไม่รู้เลยว่ากำลังเชียร์อะไรอยู่

Global Civic Mirror

Citizens Who Do Not Think Become Subjects Who Obey

When people stop questioning and rely only on emotion, they lose the status of citizens and become easy-to-manipulate subjects.

“A citizen without critical thinking eventually becomes a subject.”

1. Emotion-Based Thinking: The Mind That Awaits Manipulation

In an age overflowing with information, what humanity lacks most is not *data*, but *discernment*. When people encounter news, commentary, or online debates and react instantly with anger, love, hatred, or blind support, they behave like ants inside a glass jar: once shaken, they assume other ants are the enemy, without ever noticing the hand that shook the jar.

2. When Emotion Replaces Reason, Citizens Become Subjects

Being a citizen is not defined by ID cards but by our capacity to think independently. When people adopt ready-made opinions from political groups, influencers, or media echo chambers, they surrender their autonomy and allow others to think for them.

3. The Ants-in-a-Jar Metaphor: A Global Pattern

Red ants and blue ants live peacefully in a jar—until someone shakes it. The ants immediately fight each other, believing the enemy is “the other color,” unaware that the real threat is the hand above them.

In societies worldwide, the “hand that shakes the jar” takes the form of:

  • Media outlets that amplify division
  • Political actors who weaponize fear and anger
  • Online algorithms that reward conflict over clarity

4. Bias: The Invisible Chain

Many believe they are thinking, but are actually reacting. Emotional reasoning—"I feel it, therefore it must be true"—creates a false reality more dangerous than lies.

5. A Nation of Subjects Is a Playground for Manipulators

When citizens do not think critically, societies become vulnerable to disinformation, polarization, and authoritarian tendencies. It becomes effortless for the powerful to bend the nation in any direction they desire.

6. Citizenship Requires Intellectual Discipline

True citizenship demands at least four intellectual habits:

  • Verify information before reacting
  • Listen beyond your side or group
  • Value evidence over emotion
  • Question every form of power

7. Conclusion: Salvation Lies in Thinking, Not Cheerleading

Do we think with evidence—or believe with emotion?

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา สงครามชายแดน...