Monday, December 8, 2025

คดีการหายตัวของสยาม ธีรวุฒิ: บันทึกเพื่อความจริงและความยุติธรรม

คดีการหายตัวของสยาม ธีรวุฒิ: เอกสารเชิงวิเคราะห์ด้านสิทธิมนุษยชนและโครงสร้างอำนาจรัฐไทย
บันทึกคดีการบังคับให้สูญหาย – วิเคราะห์เชิงสิทธิมนุษยชน

คดีการหายตัวของสยาม ธีรวุฒิ:
บันทึกความจริง โครงสร้างอำนาจ และสิทธิของครอบครัว

เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริง ข้อสังเกตเชิงพฤติการณ์ หลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และบริบททางการเมืองในคดีการหายตัวไปของ สยาม ธีรวุฒิ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทยที่เชื่อว่าถูกบังคับให้สูญหาย หลังถูกจับกุมในเวียดนามเมื่อปี 2562

คดีของสยามไม่ใช่เพียง “เรื่องของคนคนหนึ่ง” แต่เป็น คดีเชิงโครงสร้าง ที่สะท้อนปัญหาใหญ่สามระดับพร้อมกัน ได้แก่ (1) การใช้กฎหมายการเมืองหลังรัฐประหาร 2557 (2) การร่วมมือกันของรัฐไทยและรัฐเพื่อนบ้านในปฏิบัติการนอกกฎหมายต่อผู้ลี้ภัย และ (3) การที่ระบบยุติธรรมไทยไม่สามารถ หรือไม่ประสงค์จะรับรองความจริงว่ามีการบังคับให้ประชาชนสูญหาย ส่งผลให้ครอบครัวไม่ได้ทั้งความจริงและไม่ได้รับแม้แต่การเยียวยาขั้นพื้นฐาน

1. วัตถุประสงค์และกรอบการวิเคราะห์

วัตถุประสงค์ของเอกสาร
  • รวบรวมข้อเท็จจริงและไทม์ไลน์การหายตัวของสยาม ธีรวุฒิ อย่างเป็นระบบ
  • ชี้ให้เห็น “จุดพิรุธเชิงโครงสร้าง” และรูปแบบ (pattern) การอุ้มหายผู้ลี้ภัยการเมืองไทยในภูมิภาค
  • เชื่อมโยงคดีนี้กับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศด้านการบังคับให้สูญหาย
  • เสนอประเด็นที่ศาลไทยในระดับสูง (รวมถึงศาลฎีกา) ควรพิจารณา หากมีคดีเกี่ยวข้องกับสิทธิการเยียวยาของครอบครัว
  • ใช้คดีนี้เป็น “คันฉ่องส่องไทย” ให้สังคมเห็นโครงสร้างอำนาจที่ทำให้คนหนึ่งคนหายไปจากกฎหมายและประวัติศาสตร์อย่างเงียบงัน

ในเชิงวิธีวิทยา เอกสารนี้อาศัยข้อมูลจากรายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนไทยและนานาชาติ, ข่าวสืบสวนเชิงลึก, รายงานของสหประชาชาติ และเอกสารสาธารณะของศาลไทย โดยใช้การวิเคราะห์แบบผสมระหว่าง ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์, ข้อสังเกตเชิงพฤติการณ์, และ หลักสิทธิมนุษยชนสากล

2. ภูมิหลัง: ตัวตนของสยามและบริบทหลังรัฐประหาร 2557

2.1 ตัวตนและการเคลื่อนไหวของสยาม ธีรวุฒิ

  • สยาม ธีรวุฒิ เป็นนักกิจกรรมฝ่ายประชาธิปไตยในยุคหลังรัฐประหาร 2549 และ 2557
  • เกี่ยวข้องกับกลุ่มกิจกรรมทางการเมือง เช่น กลุ่มละครการเมืองและกิจกรรมเชิงศิลปะ–วัฒนธรรม
  • ถูกเชื่อมโยงกับละครเวที “เจ้าสาวหมาป่า” (The Wolf Bride) ที่ถูกตีความว่าแตะสถาบันกษัตริย์จนเกิดการดำเนินคดีมาตรา 112
  • หลังรัฐประหาร 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีการออกหมายเรียกและหมายจับผู้เกี่ยวข้องกับคดี 112 หลายราย รวมถึงสยาม
  • สยามตัดสินใจลี้ภัยออกนอกประเทศ แทนการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่เขาไม่เชื่อว่าจะได้รับความเป็นธรรม

2.2 บริบทการใช้กฎหมายการเมืองและมาตรา 112 หลังรัฐประหาร

หลังรัฐประหารปี 2557 รัฐบาลทหารใช้กฎหมายความมั่นคง กฎหมายพิเศษ และมาตรา 112 เพื่อจัดการกับฝ่ายเห็นต่างจำนวนมาก รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้มีลักษณะเลือกปฏิบัติและมีเป้าหมายทางการเมืองชัดเจน โดยเฉพาะต่อกลุ่มคนเสื้อแดง นักกิจกรรมเยาวชน และผู้วิจารณ์สถาบันกษัตริย์

ประเด็นสำคัญด้านบริบท
  • การรัฐประหาร 2557 โค่นรัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทย และสถาปนารัฐบาลทหารยาวนานหลายปี
  • การใช้มาตรา 112 และกฎหมายความมั่นคงเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างกว้างขวาง
  • ผู้ลี้ภัยทางการเมืองจำนวนหนึ่งเลือกใช้ประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว กัมพูชา เวียดนาม) เป็นที่พักพิงชั่วคราว
  • ผู้ลี้ภัยเหล่านี้จำนวนไม่น้อยมีบทบาททางสื่อออนไลน์ วิทยุอินเทอร์เน็ต และการวิพากษ์สถาบันฯ อย่างตรงไปตรงมา

3. ไทม์ไลน์ฉบับขยาย: จากละครการเมืองสู่การหายตัว

ปี / วันที่ เหตุการณ์ คำสำคัญ
ก่อน 2557 สยามมีบทบาทในกลุ่มกิจกรรมทางการเมือง และร่วมกับศิลปิน/นักกิจกรรมในการจัดละครการเมือง เช่น “เจ้าสาวหมาป่า” ที่ภายหลังถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 ทำให้สยามถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ละครการเมือง, มาตรา 112
2557 คสช. ทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย และพยายามควบคุมพื้นที่สาธารณะทุกมิติ การออกหมายเรียก–หมายจับนักกิจกรรมและผู้ถูกกล่าวหาคดี 112 เพิ่มสูงขึ้น สยามตัดสินใจหนีออกนอกประเทศไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รัฐประหาร, ลี้ภัย
2558–2561 สยามพำนักอยู่ในลาว ร่วมจัดรายการออนไลน์และเผยแพร่เนื้อหาวิพากษ์การเมืองไทย–สถาบันฯ ร่วมกับผู้ลี้ภัยคนอื่น เช่น ชูชีพ ชีวสุทธิ์ (ลุงสนามหลวง) และกฤษณะ ทัพไทย ในช่วงเดียวกันมีการพบศพผู้ลี้ภัยไทย 2 ศพลอยแม่น้ำโขงที่เชื่อมโยงกับกรณีสุรชัย แซ่ด่าน และมีผู้ลี้ภัยคนอื่นหายตัวไปอย่างน่ากังวล
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ลี้ภัยไทยจำนวนมากรู้สึกว่า “ลาวไม่ปลอดภัยอีกต่อไป”
ผู้ลี้ภัยลาว, คลื่นอุ้มหาย
ต้น 2562 ท่ามกลางข่าวลือและหลักฐานว่ามีการตามล่าผู้ลี้ภัยไทยในลาว สยาม ชูชีพ ชีวสุทธิ์ และกฤษณะ ทัพไทย ตัดสินใจเดินทางออกจากลาวเข้าพื้นที่เวียดนาม โดยใช้เอกสารเดินทางปลอม หวังหลีกเลี่ยงการถูกอุ้มหาย หนีต่อไปเวียดนาม
ต้น 2562 ทางการเวียดนามจับกุมทั้งสามในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายและใช้หนังสือเดินทางปลอม ข้อมูลจาก HRW, Amnesty และสื่อสากลหลายแห่งระบุว่า ทั้งสามถูกควบคุมตัวอยู่ในเวียดนามในช่วงต้นปี 2562 ก่อนจะมีรายงานว่าถูกส่งตัวกลับไทยในภายหลัง ถูกจับในเวียดนาม
ต้น–กลาง พ.ค. 2562 รายงานของ HRW และองค์กรสิทธิอื่นระบุว่าแหล่งข่าวเชื่อถือได้ยืนยันว่า เวียดนามได้ส่งตัวสยามและเพื่อนกลับไทยอย่างลับ ๆ ขณะที่ทางการไทยตอบเพียงว่า “ไม่มีบันทึกการรับตัวหรือควบคุมตัวในระบบ”
คำตอบแบบ “ไม่มีในระบบ” กลายเป็นรูปแบบซ้ำ ๆ ของคำปฏิเสธความรับผิดชอบ
ส่งตัวกลับไทย (ตามรายงาน)
หลัง พ.ค. 2562 หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว ครอบครัว เพื่อน และเครือข่ายนักกิจกรรมไม่สามารถติดต่อสยามได้อีกเลย ทั้งทางโทรศัพท์ โซเชียลมีเดีย และช่องทางส่วนตัวอื่น ๆ การหายไปนี้เกิดขึ้นทันทีหลังข่าวการถูกส่งตัวกลับไทย ขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิง
2562–2566 ครอบครัวโดยเฉพาะคุณกัญญา ธีรวุฒิ แม่ของสยาม ยื่นคำร้องต่อหน่วยงานไทยหลายแห่ง ได้แก่ ตำรวจ, กระทรวงการต่างประเทศ, หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน และสถานทูตเวียดนามในไทย เพื่อขอให้ตรวจสอบชะตากรรมของลูกชาย แต่ได้รับคำตอบว่า “ไม่มีข้อมูล” หรือ “อยู่นอกเขตอำนาจ” ร้องเรียนในประเทศ
เยือนบ้านแม่ รายงานข่าวและคำให้การของครอบครัวระบุว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐไทยอย่างน้อย 2 คน เคยมาที่บ้านของคุณกัญญา ถามว่าสยามกลับมาบ้านแล้วหรือยัง และขอเข้าตรวจค้นบ้านโดยไม่มีหมายค้น แม่ปฏิเสธการตรวจค้น
เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานเชิงพฤติการณ์สำคัญว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐ “รู้และติดตาม” สยาม ขณะที่รัฐในทางการปฏิเสธว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการคุมตัว
เจ้าหน้าที่มาตรวจบ้าน
2564–2565 ครอบครัวเริ่มใช้กลไกตามกฎหมายไทย โดยยื่นคำขอรับค่าตอบแทนผู้เสียหายตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 เพื่อให้รัฐรับรองว่าการหายตัวไปของสยามเป็น “ความเสียหาย” ที่ควรได้รับเยียวยา คณะกรรมการมีมติ “ไม่รับรอง” โดยเห็นว่าไม่มีหลักฐานว่าสยามเสียชีวิตหรือได้รับอันตรายจากการกระทำอาญา ยื่นขอค่าตอบแทน
2567
(คดีคนสาบสูญ)
คุณกัญญายื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ ขอให้ศาลประกาศให้สยามเป็น “บุคคลสาบสูญ” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เนื่องจากหายตัวไปเกิน 5 ปี ศาลมีคำสั่งไม่รับรอง โดยให้เหตุผลว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอตามเกณฑ์ในกฎหมายแพ่ง ศาลไม่รับรองคนสาบสูญ
2567–2568
(ศูนย์ฯ อุ้มหาย)
ครอบครัวยื่นเรื่องต่อศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ภายใต้ พ.ร.บ. 2565 แต่ในเวลาต่อมาศูนย์ฯ มีคำสั่งยุติการสอบสวนกรณีสยาม โดยเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอจะพิสูจน์ว่าเป็นคดีบังคับให้สูญหาย ยุติสอบสวน
5 พ.ย. 2567
อ่านคำพิพากษา 17 ก.พ. 2568
ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคณะกรรมการค่าตอบแทนฯ และศาลชั้นต้น ว่า “ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ตายถึงแก่ความตายหรือได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น” จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนฯ ครอบครัวจึงไม่มีสิทธิได้รับการเยียวยา ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์

จากไทม์ไลน์นี้จะเห็นว่า สยามถูก “กลืนหาย” จากระบบกฎหมายไทยในทุกระดับ ทั้งในด้านสถานภาพบุคคล (คนสาบสูญ) และฐานะผู้เสียหายในคดีอาญา ขณะที่หลักฐานเชิงพฤติการณ์และข้อมูลจากองค์กรสิทธิกลับชี้ไปในทิศทางว่าเขาถูกบังคับให้สูญหาย

4. รูปแบบการอุ้มหายผู้ลี้ภัยไทยในภูมิภาค และการจัดวางสยามในภาพใหญ่

4.1 รายชื่อและรูปแบบผู้ลี้ภัยไทยที่ถูกอุ้มหาย / พบศพ

ภายหลังรัฐประหาร 2557 มีผู้ลี้ภัยทางการเมืองไทยหลายคนที่ถูกอุ้มหายหรือพบเป็นศพลอยแม่น้ำในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะร่วมกันคือ วิจารณ์สถาบันกษัตริย์หรือรัฐบาลทหารอย่างเปิดเผย และ พักพิงในประเทศลาวหรือกัมพูชา ก่อนหายตัวไป

  • สุรชัย แซ่ด่าน และเพื่อนร่วมขบวนการสองราย – สองศพถูกพบลอยแม่น้ำโขงในสภาพถูกฆ่าอย่างทารุณ ส่วนสุรชัยหายตัวไปโดยไม่พบศพ
  • ดีเจซุนโฮ – หายตัวไปในลาว
  • โกตี๋ (วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ) – หายสาบสูญในลาว
  • วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ – ถูกอุ้มหายกลางวันแสก ๆ ที่พนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2563
  • ผู้ลี้ภัยรายอื่น ๆ ที่ถูกรายงานโดย FIDH, OMCT, TLHR และ iLaw ว่า “หายตัวไป” โดยมีข้อมูลเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐไทยและเครือข่ายความมั่นคงในภูมิภาค

กรณีของสยามจึงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของคลื่นการอุ้มหายผู้ลี้ภัยการเมืองไทย ที่มีรูปแบบร่วมคือ การเคลื่อนไหววิพากษ์สถาบันฯ การลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน และการหายตัวไป ท่ามกลางความเงียบของรัฐไทยและรัฐที่ให้ที่พักพิง

4.2 ตำแหน่งของสยามใน pattern นี้

สิ่งที่ทำให้คดีสยามอยู่ใน pattern การอุ้มหายอย่างชัดเจน
  • เป็นผู้ลี้ภัยคดี 112 หลังรัฐประหาร 2557
  • เคลื่อนไหวทางสื่ออย่างต่อเนื่อง วิจารณ์การเมืองและสถาบันฯ
  • อาศัยอยู่ในลาว แล้วต้องหนีต่อไปเวียดนามภายใต้แรงกดดัน
  • ถูกจับกุมโดยรัฐ (เวียดนาม) จากข้อมูลขององค์กรสิทธิมนุษยชน
  • มีรายงานว่า “ถูกส่งตัวกลับไทย” โดยที่รัฐทั้งสองประเทศไม่ชี้แจงอย่างเปิดเผย
  • ขาดการติดต่ออย่างสิ้นเชิงนับแต่นั้น
  • รัฐไทยปฏิเสธว่ามีการควบคุมตัว แต่ก็ไม่มีการสืบสวนอย่างจริงจังเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง

5. หลักฐานเชิงพฤติการณ์ที่สำคัญในคดีสยาม

เนื่องจากคดีการบังคับให้สูญหายมักถูกออกแบบให้ “ไม่มีหลักฐานโดยตรง” (ไม่มีบันทึกการจับกุม ไม่มีศพ ไม่มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร) การประเมินคดีจึงต้องอาศัยหลักฐานเชิงพฤติการณ์ (circumstantial evidence) ที่เชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุมีผล

5.1 พฤติการณ์ก่อนและระหว่างการหายตัว

  • สยามอยู่ในกลุ่มเป้าหมายของรัฐไทยอย่างชัดเจนจากคดี 112 และการเคลื่อนไหวทางการเมือง
  • หลังคลื่นอุ้มหายผู้ลี้ภัยในลาว เขาต้องหนีไปเวียดนามภายใต้ความหวาดกลัว
  • ถูกจับในเวียดนามจากคดีเข้าเมืองผิดกฎหมายและใช้เอกสารปลอม – รัฐเข้าไปควบคุมตัวอย่างเป็นทางการ
  • หลังค่อนไปทางต้นปี 2562 มีรายงานจากองค์กรสิทธิหลายแห่งว่าเขาถูกส่งตัวกลับไทย

5.2 พฤติการณ์หลังการส่งตัว (ตามรายงาน)

  • สยามขาดการติดต่อทุกรูปแบบทันทีหลังจากช่วงเวลาที่ถูกกล่าวหาว่าส่งตัวกลับไทย
  • ครอบครัวค้นหาทุกช่องทาง ทั้งในประเทศและผ่านองค์กรระหว่างประเทศ แต่ไม่พบร่องรอยการมีชีวิตอยู่
  • รัฐไทยตอบในแนวทางเดียวกันทุกครั้งว่า “ไม่มีข้อมูลในระบบ” โดยไม่อธิบายความพยายามตรวจสอบอย่างโปร่งใส

5.3 เหตุการณ์เจ้าหน้าที่มาตรวจบ้านแม่ของสยาม

หนึ่งในหลักฐานเชิงพฤติการณ์ที่สำคัญ คือเหตุการณ์ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐไทย (อย่างน้อย 2 นาย) ไปยังบ้านของคุณกัญญา ธีรวุฒิ ถามว่าสยามกลับบ้านแล้วหรือไม่ และขอเข้าตรวจค้นบ้านโดยไม่มีหมายค้น แม้แม่จะปฏิเสธการตรวจค้น แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนเชื่อว่าสยามอาจถูกนำตัวกลับมายังไทย หรืออย่างน้อยก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษ

ในขณะเดียวกัน หน่วยงานกลางของรัฐไทยกลับยืนยันว่า “ไม่มีข้อมูล” ว่าสยามถูกควบคุมตัวในระบบของรัฐไทย ความขัดแย้งระหว่าง “การปรากฏตัวของเจ้าหน้าที่ที่บ้านแม่” กับ “คำปฏิเสธระดับทางการ” เป็นข้อบ่งชี้ว่าอาจมีการปฏิบัติการนอกระบบราชการปกติ

5.4 ความเงียบของเวียดนามและการตอบแบบเทคนิคของไทย

  • เวียดนามไม่เคยออกแถลงอย่างเป็นทางการยืนยันหรือปฏิเสธการส่งตัวสยามกลับไทย
  • ไทยใช้ถ้อยคำเชิงเทคนิคว่า “ไม่พบข้อมูลในฐานข้อมูลการควบคุมตัว” ซึ่งไม่ตอบคำถามว่ามีการรับตัวอย่างไม่เป็นทางการหรือไม่
  • ทั้งสองรัฐไม่เคยเปิดเผยเอกสารหรือรายงานผลการสืบสวนต่อสาธารณะ
ในคดีการบังคับให้สูญหาย ความเงียบและการตอบแบบ “ไม่มีข้อมูลในระบบ” ไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างลดทอนความรับผิดชอบ แต่กลับเป็น สัญญาณสำคัญของความไม่โปร่งใส ที่ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดกว่าเดิม

6. กรอบกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

6.1 นิยาม “การบังคับให้สูญหาย” ตามกฎหมายสากล

ตามนิยามที่ใช้โดยสหประชาชาติและอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการถูกบังคับให้สูญหาย (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance – CED) การบังคับให้สูญหายมีองค์ประกอบหลักอย่างน้อยสามประการ:

  1. บุคคลถูกจับกุม กักขัง หรือถูกลักพาตัวโดยเจ้าหน้าที่รัฐ หรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ปฏิบัติภายใต้อำนาจหรือความยินยอมของรัฐ
  2. รัฐปฏิเสธไม่ยอมรับการลิดรอนเสรีภาพดังกล่าว หรือปกปิดชะตากรรมและที่อยู่ของบุคคลนั้น
  3. บุคคลนั้นถูกทำให้ตกอยู่ “นอกการคุ้มครองของกฎหมาย” ญาติไม่สามารถเข้าถึงความจริง ความยุติธรรม และการเยียวยา

ในกรณีของสยาม มีข้อมูลจากองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งที่ระบุว่า เขาถูกจับกุมในเวียดนามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ถูกส่งตัวกลับไทย จากนั้นรัฐทั้งสองประเทศปฏิเสธหรือไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับชะตากรรมของเขา ซึ่งเข้าลักษณะองค์ประกอบของการบังคับให้สูญหายอย่างชัดเจนในมุมมองสากล

6.2 Minnesota Protocol และมาตรฐานการสืบสวน

Minnesota Protocol on the Investigation of Potentially Unlawful Death เป็นมาตรฐานสากลสำหรับการสืบสวนกรณีการตายอย่างน่าสงสัย หรือกรณีที่อาจเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงโดยรัฐ แนวคิดหลักคือ รัฐมีหน้าที่เชิงรุกในการสืบสวน เมื่อมีข้อสงสัยว่ารัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง

ในกรณีสยาม แม้จะไม่มีศพหรือหลักฐานการตายโดยตรง แต่เมื่อมีรายงานจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและกลไกของสหประชาชาติว่าเขาอาจถูกบังคับให้สูญหาย รัฐไทยและเวียดนามควรต้องเปิดการสืบสวนอย่างจริงจังและโปร่งใส ไม่ใช่เพียงตอบว่า “ไม่มีข้อมูลในระบบ” แล้วถือว่าเรื่องยุติลง

6.3 พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

ไทยมีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการทรมานและการบังคับให้สูญหายมีผลใช้บังคับตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในเชิงนิติบัญญัติ แต่รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น ICJ และ CrCF ชี้ให้เห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวยังมีปัญหาอย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติจริงของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสอบสวน

กรณีของสยามซึ่งถูกนำเข้าสู่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ก่อนถูกมีคำสั่งยุติการสอบสวน โดยอ้างว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ เป็นตัวอย่างสะท้อนช่องว่างระหว่าง “ตัวบทกฎหมาย” กับ “การปฏิบัติจริง”

7. การประเมินบทบาทของหน่วยงานรัฐไทยและเวียดนาม

7.1 หน้าที่ของรัฐเมื่อมีข้อกล่าวหาเรื่องการอุ้มหาย

เมื่อมีข้อกล่าวหาว่ามีการอุ้มหายบุคคล โดยเฉพาะหากมีพยานหลักฐานหรือรายงานจากองค์กรสิทธิที่น่าเชื่อถือ รัฐมีหน้าที่:

  • สืบสวนอย่างทันท่วงที เป็นอิสระ และไม่เลือกปฏิบัติ
  • เผยแพร่ข้อมูลสรุปผลการสืบสวนต่อสาธารณะในระดับหนึ่ง
  • คุ้มครองพยานและครอบครัวเหยื่อจากการคุกคาม
  • อำนวยความสะดวกให้ครอบครัวเข้าถึงข้อมูลเท่าที่ไม่กระทบต่อการสืบสวน

7.2 รูปแบบการปฏิเสธความรับผิดชอบของไทยและเวียดนาม

สังเกตลักษณะร่วมของการปฏิเสธจากทั้งสองรัฐ
  • เวียดนามไม่ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการปฏิเสธการส่งตัวสยามกลับไทย
  • ไทยตอบเพียงว่า “ไม่พบบันทึกการควบคุมตัวในระบบ” โดยไม่เปิดเผยว่ามีการสอบสวนภายในหรือไม่
  • ไม่มีการเผยแพร่รายงานการสืบสวนหรือข้อสรุปเชิงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ
  • กระบวนการทางศาลไทยในคดีค่าตอบแทนและคดีคนสาบสูญใช้มาตรฐานพิสูจน์ที่สูงจนไม่สอดคล้องธรรมชาติของคดีอุ้มหาย

8. สิ่งที่ศาลไทย โดยเฉพาะศาลฎีกา ควรพิจารณาในคดีที่เกี่ยวข้อง

หากคดีของครอบครัวสยามเดินหน้าถึงศาลฎีกา หรือหากมีคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการเยียวยาของเหยื่อการบังคับให้สูญหาย ศาลควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้อย่างรอบด้าน:

8.1 ระดับ “ข้อเท็จจริงเฉพาะคดี”

  • ประวัติการลี้ภัยคดี 112 และการเคลื่อนไหวของสยามในลาว–เวียดนาม
  • รายงานจาก HRW, Amnesty, FIDH, TLHR, CrCF, Prachatai ฯลฯ ที่ระบุว่าเขาถูกจับในเวียดนามและถูกส่งตัวกลับไทย
  • การขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิงตั้งแต่ พ.ค. 2562 เป็นต้นมา
  • คำตอบของหน่วยงานรัฐไทยและเวียดนามที่ไม่สอดคล้องกับความพยายามสืบหาความจริงของครอบครัว
  • เหตุการณ์เจ้าหน้าที่ไทยไปที่บ้านแม่ของสยามโดยไม่มีหมายค้น

8.2 ระดับ “บริบทและ pattern”

  • รูปแบบการอุ้มหายผู้ลี้ภัยไทยหลังรัฐประหาร 2557
  • รายชื่อและรายละเอียดของเหยื่อรายอื่น เช่น สุรชัย แซ่ด่าน, ดีเจซุนโฮ, วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ
  • รายงานขององค์กรระหว่างประเทศที่ยืนยันว่าไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องการอุ้มหายและการไม่ลงโทษผู้กระทำผิด

8.3 ระดับ “มาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล”

  • นิยามและองค์ประกอบของการบังคับให้สูญหายตาม CED
  • แนวทางของ UN Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances (WGEID)
  • Minnesota Protocol ว่าด้วยการสืบสวนการตายอย่างผิดกฎหมายหรืออย่างน่าสงสัย
  • พันธกรณีของรัฐต่อครอบครัวเหยื่อในเรื่องสิทธิในการรู้ความจริงและการเยียวยา

8.4 การตีความ พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ และกฎหมายแพ่ง

กรณีของสยามสะท้อนว่าการตีความคำว่า “ผู้เสียหายจากคดีอาญา” และ “คนสาบสูญ” อย่างเคร่งครัดเชิงรูปแบบ โดยไม่เผื่อพื้นที่ให้กับธรรมชาติพิเศษของคดีอุ้มหาย ส่งผลให้เหยื่อและครอบครัวตกอยู่ในสูญญากาศทางกฎหมายอย่างถาวร

หากศาลฎีกากล้าตีความให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล คดีของสยามอาจกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้รัฐไทยยอมรับอย่างเป็นทางการว่า มีการบังคับให้ประชาชนสูญหาย และครอบครัวมีสิทธิได้รับการเยียวยา แม้ยังหา “ตัวผู้กระทำผิด” ไม่พบในวันนี้ก็ตาม

9. บทสรุปเชิง “คันฉ่องส่องไทย”: คดีสยามคือคดีของทั้งประเทศ

คดีของสยาม ธีรวุฒิ ทำให้เราเห็นโครงสร้างอำนาจที่สามารถทำให้คนหนึ่งคนหายไปจากโลก โดยที่กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม “ทำเหมือนไม่เคยมีตัวตนของเขาอยู่ในระบบ”

  1. รัฐที่ทำให้คนหายไปได้ และกฎหมายที่กลบเกลื่อนความจริง
    เมื่อรัฐใช้ทั้งกำลังและความเงียบร่วมกัน คนหนึ่งคนสามารถถูกกลืนหายไปจากบันทึกทางราชการและความทรงจำสาธารณะ คดีสยามจึงเตือนว่า หากเราไม่ยืนยันให้มีการสืบสวนและยอมรับข้อเท็จจริง การบังคับให้สูญหายจะกลายเป็น “เครื่องมือปกติ” ของการปกครอง
  2. ครอบครัวที่ต้องพิสูจน์การตายของลูก โดยไม่มีศพให้เห็น
    การที่ศาลและคณะกรรมการค่าตอบแทนฯ บอกว่า “ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าตายจากการกระทำอาญา” เมื่อไม่มีศพและไม่มีคดีอาญาในระบบ คือการตอกย้ำความทุกข์ของครอบครัว ในเชิงสิทธิมนุษยชน นี่คือการละเมิดซ้ำซ้อนทั้งต่อผู้ที่หายไปและญาติผู้ใกล้ชิด
  3. คำถามต่อสังคมไทยทั้งหมด
    หากเราปล่อยให้ชื่อของสยาม สุรชัย วันเฉลิม และคนอื่น ๆ จางหายไปในฐานะ “ข่าวเก่า” เรากำลังยอมรับอย่างเงียบ ๆ ว่า การทำให้คนหายไปโดยไม่มีความจริงและความยุติธรรม เป็นสิ่งที่สังคมยอมรับได้ การบันทึกและพูดถึงคดีเหล่านี้อย่างต่อเนื่องคือการปฏิเสธอำนาจแบบนั้น
คำอุทิศ

เอกสารฉบับนี้ขอมอบแด่สยาม ธีรวุฒิ และผู้ถูกบังคับให้สูญหายทุกคนในประเทศไทยและภูมิภาค รวมถึงครอบครัวของพวกเขา ที่ยังยืนหยัดเรียกร้องความจริงและความยุติธรรมท่ามกลางความเงียบของรัฐและสังคมส่วนใหญ่

การจดจำชื่อของเขา การเรียบเรียงข้อเท็จจริง และการตั้งคำถามต่อโครงสร้างอำนาจ คือการไม่ยอมให้ความอยุติธรรม ลบมนุษย์คนหนึ่งออกจากประวัติศาสตร์ ได้สำเร็จ

10. บรรณานุกรมคัดเลือก (Selective Bibliography)

  1. Human Rights Watch. “Thailand: Critics Feared ‘Disappeared’,” 9 May 2019. รายงานเกี่ยวกับการจับกุมสยาม ชูชีพ ชีวสุทธิ์ และกฤษณะ ทัพไทย ในเวียดนาม และข้อสงสัยว่าถูกส่งตัวกลับไทย.
  2. Amnesty International. แถลงการณ์และรายงานเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยไทยในลาว–เวียดนาม และกรณีการส่งตัวกลับไทยของผู้ลี้ภัยการเมืองหลังปี 2557.
  3. Southeast Asia Globe. “The vanishing of Siam Theerawut” – รายงานเชิงลึกว่าด้วยการหายตัวไปของสยามและผลกระทบต่อครอบครัว.
  4. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR). รายงานและบทความหลายชิ้นเกี่ยวกับสยาม ธีรวุฒิ รวมถึงข่าวคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีค่าตอบแทนผู้เสียหาย (2568) และบทความเนื่องในวันครบรอบการหายตัว.
  5. iLaw / TLHR / Prachatai / CrCF. ชุดบทความเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยไทยที่ถูกอุ้มหายในลาว กัมพูชา เวียดนาม รวมทั้งกรณีสุรชัย แซ่ด่าน และวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์.
  6. FIDH & OMCT. รายงานต่อคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการบังคับให้สูญหาย เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยไทยอย่างน้อย 6–9 รายในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง.
  7. UN Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances (WGEID). รายงานประจำปีและจดหมายสื่อสารกับรัฐบาลไทย เกี่ยวกับคดีการบังคับให้สูญหายของผู้ลี้ภัยไทย.
  8. International Commission of Jurists (ICJ). รายงานเกี่ยวกับการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย.
  9. มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF). รายงานและข่าวเกี่ยวกับการร้องเรียนของครอบครัวสยามต่อศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และการยุติการสอบสวนในเวลาต่อมา.
  10. US Department of State. Country Reports on Human Rights Practices – Thailand. ส่วนที่กล่าวถึงการอุ้มหาย การทรมาน และการไม่ถูกลงโทษผู้กระทำผิด.
  11. อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการถูกบังคับให้สูญหาย (CED). ข้อความและคำอธิบายนิยาม “การบังคับให้สูญหาย” รวมถึงหลักสิทธิของญาติและเหยื่อ.
  12. Minnesota Protocol on the Investigation of Potentially Unlawful Death. มาตรฐานสากลว่าด้วยการสืบสวนการตายอย่างผิดกฎหมายหรืออย่างน่าสงสัย ใช้อ้างอิงในการวิเคราะห์หน้าที่ของรัฐไทยและเวียดนาม.

The 2025 Thai–Cambodian Border War: Geopolitics, Scam Networks, and the Risk of Defying the United States

The 2025 Thai–Cambodian Border War: Geopolitics, Scam Networks, and the Risk of Defying the United States

The 2025 Thai–Cambodian Border War:

Geopolitics, Transnational Scam Networks, and the Risk of Defying the United States

An analytical essay for scholars and policy practitioners in Thai and Southeast Asian Studies

This article is written from a deliberately non-partisan standpoint. It does not speak “for” Thailand, Cambodia, the United States, or China, but for a research perspective that prioritizes verifiable evidence and the long-term interests of ordinary people on both sides of the border.

Abstract

The resurgence of armed clashes along the Thai–Cambodian border in late 2025, including Thai F-16 airstrikes on Cambodian positions, marked a dramatic breakdown of a ceasefire arrangement brokered with strong pressure from the United States, Malaysia, and China. The escalation unfolded in parallel with an unprecedented crackdown on transnational scam networks in Thailand and Cambodia, centred around a figure publicly identified as Benjamin “Ben Smith” Mauerberger, whose alleged financial and social ties reach into political and business elites on both sides of the frontier. This essay dissects the episode into ten analytical dimensions: the colonial legacy of border making; the conditional ceasefire diplomacy of Donald Trump; the domestic political incentives of Bangkok and Phnom Penh; the role of Chinese weapon systems and security patronage; the entanglement of politics with scam economies; and the broader implications for U.S. strategy and regional order. While the narrative foregrounds Thailand and Cambodia, the central argument is structural: border wars in contemporary mainland Southeast Asia cannot be understood without tracing the interaction between postcolonial boundaries, patron–client politics, asymmetric great-power competition, and increasingly sophisticated transnational criminal networks.

  1. Colonial Cartographies and the Long Shadow of the Preah Vihear Dispute

    The 2025 clashes did not emerge out of an empty landscape. They are the latest flare-up in a century-long dispute rooted in French–Siamese treaties of the early twentieth century, which mapped the frontier along the Dangrek mountain range but often failed to align the legal line with effective demarcation on the ground. Around the Preah Vihear temple complex and adjacent highlands, Thai and Cambodian maps diverge sharply, producing overlapping and competing claims to sovereignty.[1]

    The 1962 judgment of the International Court of Justice (ICJ) awarding the temple itself to Cambodia did not resolve the wider dispute. It confirmed Cambodian sovereignty over the sanctuary, but left large areas of surrounding territory in legal limbo. In the 2000s, Thai nationalist mobilisation against Cambodia’s effort to list Preah Vihear as a UNESCO World Heritage Site turned this cartographic ambiguity into a powerful domestic resource. The temple became, in John Ciorciari’s phrase, an “incendiary symbol” capable of igniting periodic crises whenever political actors found it useful to do so.[2]

    From this vantage point, the 2025 border war is best seen not as an aberration but as the latest “large wave” in a long series of episodes in which unresolved colonial-era borders, combined with domestic politics, give rise to militarised confrontation.

  2. Ceasefire as Economic Leverage: Trump’s Conditional Diplomacy

    In July 2025, as artillery duels and ground skirmishes along the frontier produced mounting casualties and displaced civilians, mediation efforts by Malaysia and China were unable, by themselves, to secure a durable ceasefire. A turning point came when U.S. President Donald Trump reportedly phoned the Thai leadership and linked Thai cooperation on a ceasefire directly to the resumption of trade and tariff negotiations with Washington.[3] In effect, the United States converted a security crisis into an instrument of economic leverage.

    Subsequent U.S. statements suggested that Thailand’s adherence to ceasefire commitments would be treated as an informal condition for favourable tariff arrangements, while Cambodia’s behaviour would be factored into decisions regarding aid, sanctions, and cooperation with international financial institutions.[4] In this sense, the ceasefire was “securitised” in one direction and “commodified” in another.

    Against this backdrop, the decision by both Bangkok and Phnom Penh to accept the risk of being seen as violating the ceasefire in late 2025 signalled a willingness to jeopardise economic benefits from the United States in pursuit of other, less transparent objectives.

  3. F-16s over the Frontier: Escalation and Chinese Rocket Systems

    Thailand’s decision to deploy F-16s to strike Cambodian positions marked a qualitative escalation from the artillery and small-arms engagements that have characterised most previous clashes. According to Thai military sources, the airstrikes targeted sites believed to host heavy artillery and multiple-launch rocket systems, including the Chinese-made PHL-03 and legacy Soviet-designed BM-21 units, which Bangkok claimed could strike deep into Thai territory, including airports and hospitals.[5]

    International media reported that the airstrikes followed the death of a Thai soldier in a blast blamed on renewed Cambodian shelling, and Thai officials framed the operation as a necessary response to Phnom Penh’s alleged violation of prior commitments to withdraw heavy weapons from contested zones.[6] Cambodia countered that the strikes killed several civilians and decried them as disproportionate.

    Beyond the immediate tactical logic, the episode drew attention to the increasingly visible presence of Chinese weapons systems in mainland Southeast Asian conflicts. Thai pilots flying U.S.-origin jets were, in effect, striking at hardware supplied by China. The air war thus became a symbolic confrontation between defence ecosystems as much as between neighbouring states.

  4. Cambodia under the Hun Family: Nationalist Consolidation in a Post-Transition Era

    The 2025 clashes unfolded under the shadow of leadership transition in Cambodia, where Hun Sen had stepped aside in favour of his son, Hun Manet, while retaining extensive informal influence. The new administration faced the dual challenge of consolidating its domestic authority and responding to persistent criticism over human rights abuses, economic inequality, and the concentration of power.

    In such a context, a border confrontation with Thailand offers several political benefits. It allows the government to rally public opinion around an external threat, to portray itself as the guardian of sovereignty, and to redirect attention away from socio-economic grievances. Civilian casualties, deeply tragic in human terms, may be repurposed as evidence of national victimhood in international forums, much as in earlier phases of the Preah Vihear dispute.

    This is not to suggest that Phnom Penh “manufactured” the conflict single-handedly, but rather that the structural incentives of semi-authoritarian regimes make intermittent border tension politically useful — particularly when external patrons can be counted on to mitigate the most severe international consequences.

  5. Bangkok under Anutin: Sovereignty Rhetoric and the Question of Responsibility

    On the Thai side, Prime Minister Anutin Charnvirakul framed the F-16 strikes as a legitimate act of self-defence, insisting that Thailand could not tolerate repeated violations of its territory or threats to civilian populations near the border.[6] He also emphasised that Thailand would not allow outside powers to dictate its security choices, invoking sovereignty to justify decisions taken in defiance of international pressure.

    Yet, once Thailand had explicitly tied its earlier acceptance of a ceasefire to negotiations over tariffs and market access with the United States, the decision to escalate militarily raised serious questions about the government’s sense of responsibility toward those economic commitments. To the extent that future U.S. responses involve tariffs or other forms of economic coercion, it will be ordinary Thai citizens — rather than political elites — who bear the cost.

    An analytically neutral perspective must therefore ask not whether Thai leaders felt “provoked,” but whether they weighed the full spectrum of consequences: strategic, economic, and human.

  6. Scam Economies and the Ben Smith Network: Crime as Structural Context

    Almost in parallel with the border escalation, Thai authorities announced the seizure of more than 300 million U.S. dollars in assets allegedly connected to large-scale transnational scam operations. Investigative reports identified Benjamin “Ben Smith” Mauerberger as a central figure in financial networks that moved funds through real-estate firms, private aviation companies, and a constellation of service businesses across Southeast Asia.[7][8][9]

    While details remain under investigation, reports in Thai and foreign media described overlapping shareholding structures, shared addresses for multiple firms, and patterns of money transfers linking Thailand, Cambodia, and other regional hubs. Fieldwork by journalists and law-enforcement agencies depicted segments of the border region as an “economic frontier” where scam compounds, casinos, and informal logistics networks coexist with impoverished communities and weak state oversight.

    The key analytical point is that such scam economies are not marginal. They rely on the active protection or willful blindness of state officials, and they generate rents that can be reinvested in politics. The Thai–Cambodian border thus becomes, simultaneously, a site of military confrontation and a corridor of criminalised capitalism.

  7. Where Politics Meets Crime: Allegations of Elite Ties across the Border

    In early December 2025, the “Ben Smith” case erupted into parliamentary debate and public controversy. Images circulated of Smith in social settings with prominent political and business figures from both Thailand and Cambodia. Opposition politicians questioned whether Thai authorities had been slow to act because of high-level protection; others asked whether Cambodian facilitation of scam compounds reflected similar entanglements.[10][11][12]

    Prime Minister Anutin acknowledged having met Ben Smith but described him merely as an acquaintance introduced by friends, denying any close relationship and pledging to support investigations wherever they might lead.[10][11] From an analytical distance, the immediate truth of such claims is less important than the structural question they raise: how could a network moving hundreds of millions of dollars operate in and around the Thai–Cambodian frontier without intersecting with political and bureaucratic elites?

    The timing of the military escalation — coming as scrutiny of scam networks intensified — led some observers to speculate that the war, intentionally or not, helped to divert media and public attention. At present this remains a hypothesis, not a proven fact, but it is a hypothesis worth investigating through careful empirical research rather than dismissing as mere conspiracy thinking.

  8. China as Strategic Patron: Weapons, Naval Bases, and Infrastructure

    In the background of the border war stands China, whose security and economic footprint in mainland Southeast Asia has grown dramatically over the past decade. In Cambodia, Chinese support has been crucial for the modernisation of the Ream Naval Base and the expansion of coastal defence capabilities, raising concerns in Washington and among some ASEAN states about a potential Chinese military foothold in the Gulf of Thailand.[13][14] Reports of Chinese-supplied PHL-03 rockets in Cambodian arsenals further illustrate the depth of this security partnership.[5]

    Thailand, though formally allied with the United States, has also deepened its economic and infrastructural ties with China. High-speed rail projects linking China, Laos, and Thailand are emblematic of a broader entanglement under the Belt and Road Initiative (BRI), which provides financing and connectivity but also increases Thai dependence on Chinese capital and markets.[15][16][17]

    When viewed through the lens of asymmetric interdependence, both Thailand and Cambodia thus possess a form of diplomatic insurance: confidence that Beijing will shield them, to some extent, from the harshest Western responses. This may embolden local leaders to take risks — whether military or political — that would be unthinkable in a purely U.S.-dominated regional order.

  9. The Cost of Defiance: Why Challenging U.S. Tariff Threats Is Unlikely to Pay Off

    From a strictly economic perspective, neither Thailand nor Cambodia stands to gain from provoking U.S. displeasure. The United States remains a key export market and a source of investment, technology, and international legitimacy for both countries. Should Washington choose to respond to ceasefire violations with punitive tariffs or other economic measures, the impact on ordinary citizens in terms of employment, prices, and growth could be severe.[3][4]

    Cambodia, while more heavily dependent on China, still relies on Western markets and multilateral institutions. A reputation for disregarding international commitments — whether on ceasefires or on the regulation of scam operations — could expose Phnom Penh to sanctions, reduced aid, or stricter conditions on loans and trade preferences.

    It is therefore difficult to argue that defying U.S. expectations over the border conflict is “rational” from the standpoint of long-term national welfare. It may, however, be rational from the viewpoint of political elites who prioritise short-term regime stability, clientelist networks, and the protection of illicit revenue streams over broader societal interests.

  10. Structural Lessons for Southeast Asia and for U.S. Policy

    For Thai and Cambodian Societies

    The 2025 border war underscores how quickly ambiguous boundaries can be weaponised when democratic oversight is weak and institutions of accountability are fragile. In such settings, frontier zones are more than sites of military confrontation; they are arenas where the interests of political patrons, business conglomerates, and criminal networks intersect.

    Citizens in both countries face a hard question: when governments resort to force, are they defending the lives and dignity of their populations, or the privileges of those who benefit from opaque cross-border economies? The answer will vary from episode to episode, but the question itself should remain central.

    For the United States and the Wider International Community

    For U.S. policymakers, the Thai–Cambodian case offers a cautionary tale about the limits of tying ceasefire agreements narrowly to trade negotiations and tariff incentives. Such linkages can be effective in the short term, but they do not in themselves transform the underlying political economies that make conflict attractive to local elites.

    A more sustainable approach would combine calibrated economic leverage with deeper engagement on issues such as institutional reform, anti-corruption, and the governance of transnational crime. This does not mean imposing external blueprints, but rather supporting local actors who seek to strengthen the rule of law and reduce the permeability between state structures and criminal enterprises.

    More broadly, the 2025 border war illustrates a world in which the line separating state, capital, and criminality has grown increasingly blurred. Great powers compete not only for bases and trade routes, but also for influence over shadow economies that reach from online scam compounds to metropolitan financial centres. Any serious strategy for regional stability must therefore look beyond troop deployments and tariff schedules, and reckon with the dense, often hidden networks that bind borderlands, capitals, and global markets together.

Selected References

  1. Ratcliffe, R. “Why are Thailand and Cambodia engaged in a border conflict?” The Guardian, 24 July 2025.
  2. Ciorciari, J. D. “Thailand and Cambodia: The Battle for Preah Vihear.” Stanford University, 2009.
  3. “Trump’s call broke deadlock in Thailand–Cambodia border crisis.” Reuters, 31 July 2025.
  4. “US pressures Thailand to recommit to Cambodia ceasefire with threat of tariffs.” The Guardian, 15 November 2025.
  5. “China-made rocket among triggers for Thai airstrikes into Cambodia.” Reuters, 8 December 2025.
  6. “Thailand launches airstrikes along disputed border with Cambodia as tensions flare.” The Guardian, 8 December 2025.
  7. “Thailand the new eye of Southeast Asia’s scam centre storm.” Asia Times, December 2025.
  8. “Thailand Seizes $300M in Assets as Scam Crackdown Deepens.” The Diplomat, December 2025.
  9. “Thailand Seizes Over $300M from Transnational Scam Ring.” Khaosod English, 3 December 2025.
  10. “PM admits having merely met Ben Smith as ‘acquaintance’.” Thai Newsroom, 4 December 2025.
  11. “Anutin admits knowing but not being close to ‘Ben Smith’.” Nation Thailand, December 2025.
  12. “Thai PM, Finance Minister Address Photos With Alleged Scam Figure Ben Smith.” Khaosod English, 4 December 2025.
  13. Lowy Institute. “Partnership of Convenience? Ream Naval Base and the Cambodia–China Convergence.” Report, 2024.
  14. CSIS AMTI. “A Tale of Two Reams: Questions Remain at Cambodia’s Growing Naval Base.” Report, 2025.
  15. “Thailand adds last piece in China rail link as bilateral ties get back on track.” South China Morning Post, 6 February 2025.
  16. “China and Thailand to be linked via high-speed rail.” Newsweek, 29 January 2025.
  17. Carnegie Endowment for International Peace. “How Has China’s Belt and Road Initiative Impacted Southeast Asian Countries?” Analytical brief, 2023.
  18. “Thailand and Cambodia reaffirm ceasefire after China-brokered talks.” AP News, 30 July 2025.

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025:

เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

บทวิเคราะห์เชิงโครงสร้างสำหรับสาธารณชนไทย–กัมพูชา และผู้กำหนดนโยบายระดับนานาชาติ

ฉบับวิเคราะห์กึ่งวิชาการในแนว “คันฉ่องส่องไทย” – เขียนสำหรับผู้อ่านทั่วไปที่ต้องการเข้าใจเกมลึกหลังแนวรบแบบสั้น ๆ ง่าย ๆ

บทคัดย่อ

การปะทุของความรุนแรงชายแดนไทย–กัมพูชาในเดือนธันวาคม 2025 พร้อมการโจมตีทางอากาศของไทยด้วยเครื่องบินรบ F-16 ต่อเป้าหมายฝ่ายกัมพูชา สะท้อนความล้มเหลวของข้อตกลงหยุดยิงที่อยู่ภายใต้แรงผลักดันของสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และจีน ขณะเดียวกันก็เกิดขึ้นท่ามกลางการปราบปรามเครือข่ายสแกมข้ามชาติ ที่โยงถึงบุคคลซึ่งใช้ชื่อว่า Benjamin “Ben Smith” Mauerberger และพันธมิตรทางการเมืองในไทยและกัมพูชา บทความนี้เสนอการ “ชำแหละ” สถานการณ์ออกเป็น 10 ประเด็นหลัก ตั้งแต่โครงสร้างข้อพิพาทชายแดน บทบาทของทรัมพ์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ อาวุธจีน บทบาทตระกูลฮุน และความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ต่อด้วยข้อเสนอเชิงโครงสร้างสำหรับสหรัฐฯ และอาเซียน

  1. โครงสร้างข้อพิพาทชายแดน: จากแผนที่อาณานิคมสู่สงครามปี 2025

    ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ได้เริ่มต้นในปี 2025 แต่ย้อนกลับไปอย่างน้อยถึงสนธิสัญญาฝรั่งเศส–สยามต้นศตวรรษที่ 20 ที่กำหนดแนวเขตแดนบนสันเขาพนมดงเร็ก แต่การปักปันจริงกลับคลาดเคลื่อน ทำให้พื้นที่รอบวัดพระวิหารและเขตใกล้เคียงกลายเป็น “พื้นที่ซ้อนทับ” ที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีแผนที่อ้างสิทธิ์ของตนเอง[1]

    หลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสินในปี 1962 ให้ตัวปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนกัมพูชา ปัญหาไม่จบลง เพราะพื้นที่รอบปราสาทและแนวเขตที่เหลือไม่ถูก demarcate อย่างชัดเจน เมื่อรวมกับการเมืองชาตินิยมในไทยหลังปี 2008 และการเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชา ข้อพิพาทจึงกลายเป็น “วัตถุไวไฟ” ที่พร้อมปะทุเสมอ[2]

    เหตุปะทะในปี 2025 จึงควรมองว่าเป็น “คลื่นลูกใหญ่ล่าสุด” ของข้อพิพาทเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยวไร้บริบท

  2. ข้อตกลงหยุดยิงภายใต้เงาทรัมพ์–อนวาร์–จีน: สันติภาพแบบมีเงื่อนไขทางภาษี

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 การสู้รบที่ปะทุขึ้นตามแนวชายแดนได้ขยายตัวจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ความพยายามของผู้นำมาเลเซียและจีนมีบทบาท แต่สิ่งที่ “ปลดล็อก” ให้ไทยยอมเจรจาคือ โทรศัพท์จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ที่ผูก ceasefire เข้ากับการเจรจาภาษีกับไทยอีกครั้ง[3].

    สหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าจะผูกสถานะหยุดยิงกับสิทธิในการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ของไทย นี่ทำให้ ceasefire ไม่ใช่เพียงเรื่องความมั่นคง แต่เป็น “สินค้าทางเศรษฐกิจ” ที่มีราคาชัดเจน[4].

    ดังนั้น การละเมิด ceasefire ในปลายปี 2025 เป็นสัญญาณว่าผู้นำทั้งสองประเทศยอมเสี่ยงต่อการลงโทษจากสหรัฐฯ เพื่อวาระอื่นที่สำคัญกว่าในมุมของพวกเขา

  3. การโจมตีทางอากาศของไทย: F-16 กับข้อกล่าวหาเรื่องอาวุธจีน

    การใช้ F-16 ในการโจมตีฐานทหารกัมพูชาเป็นการยกระดับความขัดแย้งไปสู่สงครามเชิงอากาศโดยสมบูรณ์ โดยไทยอ้างว่าเป้าหมายคือจุดยิงของ ระบบจรวด PHL-03 ของจีน และ BM-21 ของรัสเซีย ซึ่งมีพิสัยยิงถึงชุมชนไทย[5].

    หลังทหารไทยเสียชีวิตจากเหตุระเบิด ไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงถอนอาวุธหนักตาม ceasefire[6]. กัมพูชาตอบโต้ว่ามีพลเรือนเสียชีวิต และเรียกร้องประชาคมโลกประณามไทย

    นี่ไม่ใช่แค่การตอบโต้ทางยุทธวิธี แต่เป็นการส่งสัญญาณสู่จีน สหรัฐฯ และภูมิภาคอาเซียนพร้อมกัน

  4. กัมพูชาภายใต้ตระกูลฮุน: ใช้ความขัดแย้งเสริมความชอบธรรม?

    ฮุน มาเนต ต้องการสร้างฐานอำนาจใหม่ท่ามกลางแรงกดดันด้านสิทธิมนุษยชนและเศรษฐกิจ ความขัดแย้งชายแดนจึงเป็นโอกาสสร้างเอกภาพและดึงความสนใจออกจากปัญหาในประเทศ

    การสูญเสียพลเรือนสามารถถูกใช้เป็น “หลักฐาน” หากจะนำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาขององค์กรระหว่างประเทศ

  5. รัฐบาลไทยภายใตอนุทิน: วาทกรรมชาติ–ความสงสัยเรื่องวาระกลบข่าว

    อนุทินยืนยันว่าปฏิบัติการ F-16 คือ “การป้องกันตัว” แต่เมื่อไทยเคยรับเงื่อนไขหยุดยิงที่เชื่อมกับภาษีสหรัฐฯ การใช้กำลังทางทหารย่อมถูกตั้งคำถามเชิงความรับผิดชอบทางการทูต[6].

    ในแนว “คันฉ่องส่องไทย” วาทกรรมแข็งกร้าวของรัฐบาลต้องถูกตรวจสอบคู่กับคดีคอร์รัปชัน และข้อสงสัยเรื่องความเชื่อมโยงของนักการเมืองกับเครือข่ายอาชญากรรม

  6. เครือข่ายสแกมข้ามชาติและบทบาทของ Benjamin “Ben Smith” Mauerberger

    ไทยยึดทรัพย์กว่า 300 ล้านดอลลาร์จากเครือข่ายสแกมข้ามชาติที่โยงกับ Ben Smith ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นศูนย์กลางของระบบฟอกเงิน และมีสัมพันธ์ซับซ้อนกับกลุ่มทุนในไทย–กัมพูชา[7][8][9].

    ธุรกิจบังหน้า เช่น อสังหาริมทรัพย์ และสายการบินเอกชนถูกใช้หมุนเงินจากการหลอกลวงระหว่างประเทศ และมีร่องรอยโยงกับผู้มีอิทธิพลชายแดนทั้งสองฝั่ง

  7. พรมแดนอาชญากรรม–การเมือง: ข้อกล่าวหาเรื่องสายสัมพันธ์นักการเมืองไทย–กัมพูชา

    ภาพถ่ายและคำกล่าวอ้างเชื่อมโยง Ben Smith กับนักการเมืองในไทยและกัมพูชากลายเป็นประเด็นสาธารณะ[10][11][12][21]. อนุทินยอมรับว่าเคยพบ Ben Smith แต่ยืนยันว่าไม่สนิท[10][11].

    เมื่อปฏิบัติการทหารเกิดใกล้ช่วงที่คดีนี้ถูกจับตามากที่สุด จึงเกิดคำถามว่า สงครามถูกใช้กลบข่าวหรือไม่ — แม้ยังเป็นสมมติฐาน แต่ควรถูกตรวจสอบอย่างโปร่งใส

  8. จีนในฐานะผู้อุปถัมภ์ใหม่: อาวุธ–ฐานทัพ–Belt and Road

    จีนมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในกัมพูชา โดยเฉพาะการพัฒนาฐานทัพเรือเรียมและการจัดหาอาวุธหนัก[13][14]. อาวุธจีนปรากฏในหลายรายงานเกี่ยวกับการสู้รบปี 2025[5].

    ไทยเองก็ผูกพันกับจีนในโครงการรถไฟความเร็วสูงและ BRI ซึ่งเพิ่มอิทธิพลของจีนในระดับยุทธศาสตร์[15][16][17].

    ทั้งสองประเทศจึงมี “กันชนทางการทูต” จากจีน ทำให้ผู้นำรู้สึกว่าตนสามารถยืนต่อแรงกดดันสหรัฐฯ ได้มากขึ้น

  9. ทำไมการท้าทายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ “ไม่คุ้ม” สำหรับประชาชน

    สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับต้นของไทยและมีบทบาทถ่วงดุลจีนในภูมิภาค การเสี่ยงถูกตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีอาจทำให้เศรษฐกิจไทยเสียหายอย่างรุนแรง[3][4].

    กัมพูชาก็พึ่งพาตลาดตะวันตกเช่นกัน การถูกมองว่าไม่ยึดมั่นข้อตกลงระหว่างประเทศย่อมกระทบความน่าเชื่อถือ

    ผู้ที่ได้ประโยชน์จากความเสี่ยงนี้คือกลุ่มผู้นำทางการเมือง—not ประชาชน

  10. บทเรียนเชิงโครงสร้าง: สำหรับไทย–กัมพูชา และผู้กำหนดนโยบายสหรัฐฯ

    สำหรับประชาชนไทย–กัมพูชา

    เมื่อสถาบันรัฐอ่อนแอและประชาธิปไตยเปราะบาง “ชายแดน” กลายเป็นทั้งสนามรบทางทหารและทางการเมือง

    คำถามสำคัญคือ: “รัฐบาลใช้กำลังเพื่อปกป้องชาติ หรือเพื่อปกป้องตัวเอง?”

    สำหรับสหรัฐฯ และประชาคมโลก

    การผูก ceasefire เข้ากับเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากไม่แตะโครงสร้างที่เปิดทางให้อาชญากรรมข้ามชาติและทุนผูกขาดแทรกซึมรัฐ

    โลกกำลังอยู่ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างรัฐ–ทุน–อาชญากรรมเลือนรางลงเรื่อย ๆ หากประชาชนไม่ตรวจสอบอำนาจรัฐ พวกเขาอาจถูกใช้เป็น “ตัวประกันทางยุทธศาสตร์” โดยไม่รู้ตัว

บรรณานุกรม (คัดเลือก)

  1. Ratcliffe, R. “Why are Thailand and Cambodia engaged in a border conflict?” The Guardian, 24 July 2025.
  2. Ciorciari, J.D. “Thailand and Cambodia: The Battle for Preah Vihear.” Stanford University, 2009.
  3. “Trump’s call broke deadlock in Thailand-Cambodia border crisis.” Reuters, 31 July 2025.
  4. “US pressures Thailand to recommit to Cambodia ceasefire with threat of tariffs.” The Guardian, 15 Nov 2025.
  5. “China-made rocket among triggers for Thai airstrikes into Cambodia.” Reuters, 8 Dec 2025.
  6. “Thailand launches airstrikes along disputed border…” The Guardian, 8 Dec 2025.
  7. “Thailand the new eye of SE Asia’s scam storm.” Asia Times, 2025.
  8. “Thailand Seizes $300M in Assets…” The Diplomat, 2025.
  9. Khaosod English reports on scam network, Dec 2025.
  10. Thai Newsroom reports on PM’s comments on Ben Smith, Dec 2025.
  11. Nation Thailand reports on political links to Ben Smith, Dec 2025.
  12. Khaosod reports on photos with Ben Smith, Dec 2025.
  13. Lowy Institute, “Ream Naval Base Report,” 2024.
  14. CSIS AMTI, “Two Reams Report,” 2025.
  15. SCMP reports on China–Thailand rail, Feb 2025.
  16. Newsweek report on Sino–Thai HSR, Jan 2025.
  17. Carnegie Endowment report on BRI, 2023.
  18. AP News on China-brokered ceasefire, 30 July 2025.

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025:

เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

บทวิเคราะห์เชิงโครงสร้างสำหรับสาธารณชนไทย–กัมพูชา และผู้กำหนดนโยบายระดับนานาชาติ

ฉบับวิเคราะห์กึ่งวิชาการในแนว “คันฉ่องส่องไทย” – เขียนสำหรับผู้อ่านทั่วไปที่ต้องการเข้าใจเกมลึกหลังแนวรบ

บทคัดย่อ

การปะทุของความรุนแรงชายแดนไทย–กัมพูชาในเดือนธันวาคม 2025 พร้อมการโจมตีทางอากาศของไทยด้วยเครื่องบินรบ F-16 ต่อเป้าหมายฝ่ายกัมพูชา สะท้อนความล้มเหลวของข้อตกลงหยุดยิงที่อยู่ภายใต้แรงผลักดันของสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และจีน ขณะเดียวกันก็เกิดขึ้นท่ามกลางการปราบปรามเครือข่ายสแกมข้ามชาติ ที่โยงถึงบุคคลซึ่งใช้ชื่อว่า Benjamin “Ben Smith” Mauerberger และพันธมิตรทางการเมืองในไทยและกัมพูชา บทความนี้เสนอการ “ชำแหละ” สถานการณ์ออกเป็น 10 ประเด็นหลัก ตั้งแต่โครงสร้างข้อพิพาทชายแดน บทบาทของทรัมพ์และมาตรการภาษี การเมืองภายในของทั้งสองประเทศ เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ไปจนถึงบทบาทของจีนในฐานะผู้อุปถัมภ์ใหม่ พร้อมตั้งคำถามเชิงจริยธรรมทางการเมืองว่า การท้าทายคำมั่นสัญญาต่อสหรัฐฯ และการเสี่ยงชีวิตประชาชนจำนวนมากนั้น “คุ้ม” กับผลประโยชน์ของผู้นำและเครือข่ายอำนาจหรือไม่

  1. 1. โครงสร้างข้อพิพาทชายแดน: จากแผนที่อาณานิคมสู่สงครามปี 2025

    ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ได้เริ่มต้นในปี 2025 แต่ย้อนกลับไปอย่างน้อยถึงสนธิสัญญาฝรั่งเศส–สยามต้นศตวรรษที่ 20 ที่กำหนดแนวเขตแดนบนสันเขาพนมดงเร็ก แต่การปักปันจริงกลับคลาดเคลื่อน ทำให้พื้นที่รอบวัดพระวิหารและเขตใกล้เคียงกลายเป็น “พื้นที่ซ้อนทับ” ที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีแผนที่อ้างสิทธิ์ของตนเอง[1]

    หลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสินในปี 1962 ให้ตัวปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนกัมพูชา ปัญหาไม่ได้จบลง เพราะพื้นที่รอบปราสาทและแนวเขตที่เหลือยังไม่ถูก demarcate อย่างชัดเจน เมื่อรวมกับการเมืองชาตินิยมในไทยหลังปี 2008 และการเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกของเขมร ข้อพิพาทจึงกลายเป็น “วัตถุไวไฟ” ทางการเมืองและการทหารที่พร้อมปะทุซ้ำได้ตลอดเวลา[2]

    เหตุปะทะในปี 2025 จึงควรมองว่าเป็น “คลื่นลูกใหญ่ล่าสุด” ของข้อพิพาทเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยวที่เกิดขึ้นโดยไร้ฉากหลังทางประวัติศาสตร์และการเมือง

  2. 2. ข้อตกลงหยุดยิงภายใต้เงาทรัมพ์–อนวาร์–จีน: สันติภาพแบบมีเงื่อนไขทางภาษี

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 การสู้รบที่ปะทุขึ้นตามแนวชายแดนได้ขยายตัวจนมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนและประชาชนต้องอพยพหลายแสนคน ความพยายามของผู้นำมาเลเซียและจีนในการกดดันให้หยุดยิงมีบทบาทสำคัญ แต่สิ่งที่ปลดล็อกให้ไทยยอมเข้าร่วมการเจรจาอย่างจริงจังคือ โทรศัพท์จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ที่ผูกเรื่อง ceasefire เข้ากับการกลับมาเจรจาภาษีกับไทยอีกครั้ง[3]

    ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2025 สหรัฐฯ ยังได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะผูกความคืบหน้าของข้อตกลงหยุดยิงกับท่าทีของไทยในโต๊ะการค้า และขู่กลาย ๆ ว่าการไม่ร่วมมืออาจกระทบการเจรจาภาษีและการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ของไทย[4] นั่นหมายความว่า ข้อตกลงหยุดยิงไทย–กัมพูชาไม่ได้เป็นเพียง “เรื่องความมั่นคงชายแดน” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขเชิงเศรษฐกิจ” ที่ผูกไทยเข้ากับระบบการค้าสหรัฐฯ อย่างแน่นแฟ้น

    การที่ทั้งไทยและกัมพูชากล้าละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในปลายปี 2025 จึงเท่ากับการส่งสัญญาณว่า ผู้นำทั้งสองประเทศพร้อมจะเสี่ยง ต่อแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐฯ เพื่อแลกกับเป้าหมายบางอย่าง ทั้งในทางการเมืองภายในและในทางยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ

  3. 3. การโจมตีทางอากาศของไทย: จาก F-16 ถึงข้อกล่าวหาเรื่องอาวุธจีน

    การตัดสินใจใช้เครื่องบินรบ F-16 ของกองทัพอากาศไทยในการโจมตีเป้าหมายฝั่งกัมพูชา ถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งจากการยิงปะทะภาคพื้นดิน ไปสู่ สงครามเชิงอากาศ (air war) อย่างชัดเจน โดยฝ่ายไทยอ้างว่าเป้าหมายคือฐานอาวุธหนักและจุดสนับสนุนไฟของเขมร ซึ่งรวมถึงระบบจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 ที่ผลิตในจีนและ BM-21 จากยุคโซเวียต ที่เชื่อว่าสามารถยิงถึงสนามบินและโรงพยาบาลในฝั่งไทย[5]

    รายงานจากสื่อต่างประเทศระบุตรงกันว่า การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากทหารไทยคนหนึ่งเสียชีวิตจากเหตุปะทะหรือเหตุระเบิด และฝ่ายไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาละเมิดเงื่อนไขการถอนอาวุธหนักตามข้อตกลงหยุดยิง โดยนำปืนใหญ่และจรวดระยะไกลกลับเข้าพื้นที่พิพาท[6]

    แม้ไทยจะยืนยันว่ามุ่งโจมตีเป้าหมายทางทหาร แต่ฝ่ายกัมพูชาระบุว่ามีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน และเรียกร้องให้ประชาคมโลกประณามพฤติกรรมของไทย ขณะที่อดีตผู้นำอย่างฮุน เซน ออกมาเตือนมิให้ตอบโต้เกินกว่าเหตุ ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า “การใช้ F-16 ไม่ใช่เพียงการตอบโต้เชิงยุทธวิธี แต่เป็นการส่งสารเชิงการเมืองทั้งต่อเพื่อนบ้านและต่อชาติมหาอำนาจ”

  4. 4. กัมพูชาภายใต้ตระกูลฮุน: ใช้ความขัดแย้งสร้างเอกภาพและคะแนนนิยม?

    รัฐบาลกัมพูชายุคหลังการเปลี่ยนผ่านจากฮุน เซน สู่ฮุน มาเนต ต้องเผชิญโจทย์สำคัญสองด้านพร้อมกัน คือ การรักษาฐานอำนาจของตระกูลทางการเมือง และการจัดการกับแรงกดดันเรื่องสิทธิมนุษยชน เศรษฐกิจ และการพึ่งพาจีนในระดับสูง ในบริบทเช่นนี้ ความขัดแย้งชายแดนกับไทยกลายเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ที่สามารถใช้เพื่อสร้างเอกภาพภายใน และวาดภาพรัฐบาลว่าเป็นผู้คุ้มครองอธิปไตยและศักดิ์ศรีชาติ

    การเรียกระดม “ความเป็นปึกแผ่นของชาติ” หลังการโจมตีของไทย และการย้ำภาพลักษณ์ว่าเขมรถูกกระทำ ช่วยเบี่ยงความสนใจจากคำถามยาก ๆ ภายใน เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การผูกขาดทุน และการถูกวิจารณ์เรื่องการกวาดล้างฝ่ายค้าน จึงเป็นไปได้ว่า การปล่อยให้สถานการณ์ชายแดนยืดเยื้อหรือร้อนแรงเป็นระยะ ๆ นั้น มีฟังก์ชันทางการเมืองภายในที่สำคัญ ไม่ใช่เพียงความผิดพลาดของระบบเตือนภัยทางทหาร

    นอกจากนี้ การปะทะที่มีพลเรือนเสียชีวิตยังอาจถูกใช้เป็น “หลักฐานเชิงการเมือง” ในเวทีระหว่างประเทศ หากกัมพูชาตัดสินใจนำคดีไปสู่กลไกระหว่างประเทศในอนาคต คล้ายกับที่เคยทำในกรณีวัดพระวิหาร

  5. 5. รัฐบาลไทยภายใตอนุทิน: วาทกรรม “ปกป้องอธิปไตย” กับคำถามเรื่องความรับผิดชอบ

    ฝ่ายไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่าการโจมตีทางอากาศเป็น “การป้องกันตนเอง” เพื่อตอบโต้การละเมิดหยุดยิงของกัมพูชา และเพื่อปกป้องชีวิตพลเรือนในจังหวัดชายแดน พร้อมทั้งปฏิเสธการแทรกแซงจากต่างชาติ โดยระบุในทำนองว่า “ไทยจะตัดสินใจบนฐานของอธิปไตยของตนเอง”[6]

    อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าไทยเคยยอมรับข้อตกลงหยุดยิงที่ผูกโยงกับการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ รวมทั้งได้รับแรงสนับสนุนจากมาเลเซียและจีน การกลับมาใช้กำลังทางทหารในระดับที่เสี่ยงต่อการขยายวงความขัดแย้ง ย่อมทำให้เกิดคำถามด้านความรับผิดชอบต่อพันธะสัญญาระหว่างประเทศ และต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะตกกับประชาชนไทยในระยะกลางและระยะยาว

    ในเชิง “คันฉ่องส่องไทย” จุดยืนแข็งกร้าวของรัฐบาลไทยในเวทีสาธารณะจึงต้องถูกตรวจสอบคู่กับ วาระภายในประเทศ ทั้งในด้านคดีคอร์รัปชัน เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความพยายามกลบกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อผู้นำทางการเมือง

  6. 6. เครือข่ายสแกมข้ามชาติและบทบาทของ Benjamin “Ben Smith” Mauerberger

    ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการปะทุของความขัดแย้งชายแดน ทางการไทยได้ประกาศการยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเครือข่ายสแกมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์ การฟอกเงิน และธุรกิจอำพรางหลายประเภท โดยรายงานสืบสวนของผู้สื่อข่าวและสื่อระหว่างประเทศระบุว่า บุคคลที่ใช้ชื่อว่า Benjamin “Ben Smith” Mauerberger มีบทบาทเป็น “จุดศูนย์กลาง” ของเครือข่ายทางการเงินที่เชื่อมโยงไปยังนักการเมืองและกลุ่มทุนในไทยและกัมพูชา[7][8][9]

    จากรายงานเชิงสืบสวนและคำแถลงของหน่วยงานปราบปรามการฟอกเงินในไทย เครือข่ายนี้ใช้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ สายการบินเอกชน และธุรกิจบริการต่าง ๆ เป็นช่องทางในการหมุนเงินจากการหลอกลวงเหยื่อจำนวนมากทั่วโลก โดยมีร่องรอยของการถือหุ้นไขว้ การจดทะเบียนบริษัทที่อยู่เดียวกัน และการโยกย้ายเงินผ่านหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    สิ่งสำคัญคือ รายงานบางส่วนระบุถึงความเชื่อมโยงของเครือข่ายสแกมกับ “นักการเมืองและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ชายแดน” ซึ่งทำให้พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชากลายเป็นทั้งสมรภูมิทางทหารและ “สมรภูมิของอาชญากรรมข้ามชาติ” ในเวลาเดียวกัน แม้รายละเอียดหลายประเด็นยังอยู่ในกระบวนการสอบสวน แต่แนวโน้มรวมชี้ให้เห็นว่า เครือข่ายสแกมไม่ได้ดำรงอยู่ได้ หากปราศจากการปกป้องหรือการเพิกเฉยจากผู้มีอำนาจทั้งสองฝั่งพรมแดน

  7. 7. พรมแดนอาชญากรรม–การเมือง: ข้อกล่าวหาเรื่องสายสัมพันธ์นักการเมืองไทย–กัมพูชา

    กระแสข่าวและการอภิปรายในสภาไทยช่วงต้นเดือนธันวาคม 2025 ทำให้ชื่อ “Ben Smith” กลายเป็นประเด็นสาธารณะอย่างฉับพลัน เมื่อมีการกล่าวหาว่าเขามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบุคคลสำคัญทั้งในกัมพูชาและไทย รวมถึงถูกกล่าวพาดพิงถึงการมีสายสัมพันธ์กับผู้นำกัมพูชาบางคน และนักการเมืองไทยระดับสูงที่มีบทบาทด้านความมั่นคงและเกษตรกรรม[10][11][12][21]

    นายกรัฐมนตรีอนุทินเองออกมายอมรับในเวลาต่อมาว่าเคยพบ Ben Smith จริง แต่ยืนยันว่าเป็นเพียง “คนรู้จักผ่านเพื่อน” และไม่สนิทสนมเป็นการส่วนตัว พร้อมทั้งย้ำว่าจะไม่ลังเลในการดำเนินการกับอาชญากรรมข้ามชาติ หากมีหลักฐานชัดเจน[10][11][19]

    สำหรับมุมมองเชิงวิเคราะห์ สิ่งสำคัญไม่ใช่การสรุปโดยพลการว่า “ใครผิด–ใครถูก” ในทันที แต่คือการตั้งคำถามเชิงโครงสร้างว่า ทำไมเครือข่ายสแกมที่มีเงินหมุนเวียนระดับหลายร้อยล้านดอลลาร์ จึงสามารถเติบโตในภูมิภาคนี้ได้ยาวนาน และทำไมภาพถ่ายหรือความสัมพันธ์เชิงสังคมระหว่างนักการเมืองกับผู้ถูกกล่าวหา จึงเกิดขึ้นได้โดยไม่มีระบบตรวจสอบล่วงหน้าที่เข้มแข็งกว่านี้

    เมื่อเชื่อมโยงกับการตัดสินใจใช้กำลังทางทหารในช่วงเวลาที่คดีเครือข่ายสแกมถูกจับตาอย่างหนัก จึงไม่น่าแปลกใจที่สาธารณชนจำนวนหนึ่งตั้งคำถามว่า “ไฟสงครามถูกใช้เพื่อกลบไฟการสอบสวนหรือไม่” แม้คำถามนี้ยังเป็นเพียงสมมติฐาน แต่ก็เป็นสมมติฐานที่ควรได้รับการตรวจสอบอย่างโปร่งใสและเป็นระบบ

  8. 8. จีนในฐานะผู้อุปถัมภ์ใหม่: อาวุธ โครงสร้างพื้นฐาน และกันชนทางการทูต

    ความสัมพันธ์กัมพูชา–จีนด้านความมั่นคงเติบโตอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่การปรับปรุงฐานทัพเรือเรียม (Ream Naval Base) ด้วยเงินทุนและเทคโนโลยีจากจีน ไปจนถึงการวางระบบป้องกันภัยทางอากาศและเรดาร์ในพื้นที่สำคัญ[13][14] การที่มีรายงานว่าอาวุธบางส่วนที่กัมพูชาใช้ หรือถูกกล่าวหาว่าสะสมไว้ตามแนวชายแดน เป็นระบบจรวดที่ผลิตในจีน จึงสะท้อนว่า จีนไม่ได้เป็นเพียง “ผู้เล่นทางเศรษฐกิจ” แต่เป็น “ผู้เล่นทางการทหาร” ในภูมิภาคอย่างเด่นชัด[5]

    ในเวลาเดียวกัน ไทยเองก็เร่งกระชับความสัมพันธ์กับจีน ผ่านโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีน–ลาว–ไทย และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในกรอบ Belt and Road Initiative ซึ่งถูกนำเสนอในฐานะ “การยกระดับความเชื่อมโยงของภูมิภาค” แต่ก็สร้างภาวะพึ่งพิงต่อเงินทุนและตลาดของจีนในระดับสูงด้วย[1][4][6][15][16][17]

    ผลรวมคือ ทั้งไทยและกัมพูชามี “กันชนทางการทูตและเศรษฐกิจ” จากจีนในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ผู้นำทั้งสองประเทศ “รู้สึกกล้าขึ้น” ในการยืนระยะต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ทั้งในเรื่องหยุดยิงชายแดนและในเรื่องปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่พัวพันกับกลุ่มทุนระดับภูมิภาค

  9. 9. ทำไมการท้าทายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ “ไม่คุ้ม” สำหรับประชาชนสองประเทศ

    สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในคู่ค้าและแหล่งการลงทุนสำคัญของไทย และมีบทบาทต่อเสถียรภาพของภูมิภาคในฐานะ “ตราชั่ง” ถ่วงดุลจีน เมื่อทรัมพ์ส่งสัญญาณว่าจะเชื่อมโยงการเจรจาภาษีและข้อตกลงการค้ากับท่าทีของไทยในกรณีชายแดน เท่ากับว่า การกลับมาใช้กำลังทางทหารของไทยและการละเมิดหยุดยิงย่อมมีต้นทุนเชิงเศรษฐกิจที่จับต้องได้ ตั้งแต่ความเสี่ยงต่อมาตรการภาษี ไปจนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว[3][4][11][14]

    สำหรับกัมพูชา แม้จะพึ่งพาจีนอย่างหนัก แต่ก็ยังต้องการการเข้าถึงตลาดตะวันตกและความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินนานาชาติ การปล่อยให้ตนเองถูกมองว่าเป็น “รัฐที่พร้อมละเมิดข้อตกลงหยุดยิง” ย่อมลดอำนาจต่อรองในเวทีนานาชาติ และเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีเสถียรภาพต่ำ

    เมื่อชั่งน้ำหนักในมุมมองผลประโยชน์สาธารณะ การท้าทายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และการเล่นกับไฟสงครามชายแดนในเวลาที่เศรษฐกิจโลกเปราะบาง จึงแทบไม่อาจถือว่า “คุ้ม” สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งในไทยและกัมพูชา หากมีกลุ่มใดที่ “ได้ประโยชน์” จากความเสี่ยงนี้ ก็น่าจะเป็นกลุ่มผู้นำทางการเมืองและเครือข่ายผลประโยชน์ที่ต้องการใช้สงคราม เป็นฉากหลังปกป้องหรือเสริมสร้างอำนาจของตนเองมากกว่าจะเป็นประโยชน์ของชาติ

  10. 10. บทเรียนเชิงโครงสร้าง: สำหรับประชาชนไทย–กัมพูชา และผู้กำหนดนโยบายสหรัฐฯ

    10.1 สำหรับประชาชนไทยและกัมพูชา

    สงครามชายแดนปี 2025 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อรัฐมีความเปราะบางเชิงสถาบัน และประชาธิปไตยไม่สามารถตรวจสอบผู้นำได้อย่างแท้จริง “ชายแดน” จะถูกใช้เป็นทั้งสนามรบทางทหาร สนามรบทางการเมือง และสนามรบของอาชญากรรมข้ามชาติในเวลาเดียวกัน

    ประชาชนสองประเทศจึงต้องตั้งคำถามต่อไปอย่างไม่ลดละว่า “การตัดสินใจใช้กำลังของรัฐบาลครั้งใด ทำไปเพื่อปกป้องชีวิตและศักดิ์ศรีของประชาชนจริง ๆ หรือเพื่อปกป้องสถานะของผู้นำและเครือข่ายผลประโยชน์ของพวกเขา?”

    10.2 สำหรับผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐฯ และประชาคมโลก

    จากมุมมองของสหรัฐฯ และประชาคมโลก สถานการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนว่า การผูก ข้อตกลงหยุดยิง เข้ากับ มาตรการทางการค้า อาจสร้างแรงจูงใจให้ผู้นำประเทศคู่ขัดแย้ง “ยอมรับเงื่อนไขในรูปแบบเอกสาร” เพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมเชิงโครงสร้างของรัฐเหล่านั้นอย่างแท้จริง เมื่อมีปัจจัยอื่นเข้ามา เช่น ผลประโยชน์จากจีนหรือแรงกดดันจากการเปิดโปงเครือข่ายอาชญากรรม ข้อตกลงที่ยึดโยงด้วย “หลักประกันทางเศรษฐกิจ” เพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ

    หากประชาคมโลกต้องการสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้ จำเป็นต้องมองลึกกว่า “เส้นเขตแดน” ไปยังโครงสร้างของทุนผูกขาด เครือข่ายสแกมข้ามชาติ การผูกขาดอำนาจทางการเมือง และความเปราะบางทางประชาธิปไตยที่ทำให้ผู้นำสามารถใช้สงครามเป็นฉากหลังกลบปัญหาภายในได้อย่างแทบไม่ต้องรับผิด

    ในสายตา “คันฉ่องส่องไทย” สงครามนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของปืนใหญ่และ F-16 แต่คือการสะท้อนว่า โลกกำลังอยู่ในยุคที่ เส้นแบ่งระหว่างรัฐ ทุน และอาชญากรรม เลือนรางลงมากขึ้นเรื่อย ๆ และหากประชาชนไม่หวงแหนสิทธิในการตรวจสอบอำนาจรัฐอย่างจริงจัง ชีวิตของพวกเขาอาจถูกนำไปเดิมพันบนโต๊ะเจรจาที่พวกเขาไม่เคยได้มีที่นั่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว

บรรณานุกรม (คัดเลือก)

  1. Ratcliffe, R. “Why are Thailand and Cambodia engaged in a border conflict?” The Guardian, 24 กรกฎาคม 2025.
  2. Ciorciari, J.D. “Thailand and Cambodia: The Battle for Preah Vihear.” Stanford University, 2009.
  3. “Trump’s call broke deadlock in Thailand-Cambodia border crisis.” Reuters, 31 กรกฎาคม 2025.
  4. “US pressures Thailand to recommit to Cambodia ceasefire with threat of tariffs.” The Guardian, 15 พฤศจิกายน 2025.
  5. “China-made rocket among triggers for Thai airstrikes into Cambodia.” Reuters, 8 ธันวาคม 2025.
  6. “Thailand launches airstrikes along disputed border with Cambodia as tensions flare.” The Guardian, 8 ธันวาคม 2025.
  7. “Thailand the new eye of SE Asia’s scam center storm.” Asia Times, ธันวาคม 2025.
  8. “Thailand Seizes $300M in Assets as Scam Crackdown Deepens.” The Diplomat, ธันวาคม 2025.
  9. “Thailand Seizes Over $300M from Transnational Scam Ring.” Khaosod English, 3 ธันวาคม 2025.
  10. “PM admits having merely met Ben Smith as ‘acquaintance’.” Thai Newsroom, 4 ธันวาคม 2025.
  11. “Anutin admits knowing but not being close to ‘Ben Smith’.” Nation Thailand, ธันวาคม 2025.
  12. “Thai PM, Finance Minister Address Photos With Alleged Scam Figure Ben Smith.” Khaosod English, 4 ธันวาคม 2025.
  13. Lowy Institute. “Partnership of Convenience? Ream Naval Base and the Cambodia–China Convergence.” รายงาน, 2024.
  14. CSIS AMTI. “A Tale of Two Reams: Questions Remain at Cambodia’s Growing Naval Base.” รายงาน, 2025.
  15. “Thailand adds last piece in China rail link as bilateral ties get back on track.” South China Morning Post, 6 กุมภาพันธ์ 2025.
  16. “China and Thailand to be linked via high-speed rail.” Newsweek, 29 มกราคม 2025.
  17. Carnegie Endowment. “How Has China’s Belt and Road Initiative Impacted Southeast Asian Countries?” บทวิเคราะห์, 2023.
  18. “Thailand and Cambodia reaffirm ceasefire after China-brokered talks.” AP News, 30 กรกฎาคม 2025.

Sunday, December 7, 2025

การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเครื่องมือควบคุมจิตสำนึกปวงชน

คันฉ่องส่องไทย: แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย และความจริงอันขมขื่นว่า การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเครื่องมือควบคุมจิตสำนึกปวงชน

ในเวลาที่ผู้มีอำนาจประกาศว่า “การศึกษาเป็นสิ่งสูงค่าและจำเป็น” เราจำเป็นต้องหันมาถามกลับบ้างว่า การศึกษาที่รัฐออกแบบให้นั้น เป็นการศึกษาเพื่อปลดปล่อยประชาชน หรือเป็นเพียง เครื่องมือควบคุมจิตสำนึกตั้งแต่ลูกหลานของเรา ให้ยอมรับระบอบที่มีอยู่โดยไม่คิดตั้งคำถาม

บทความนี้ชวนเปิดแบบเรียนประวัติศาสตร์และสังคมศึกษาไทย เปรียบเทียบสามช่วงยุคสำคัญตั้งแต่ราวปี 2010–2023 เพื่อเห็นว่าเนื้อหาเกี่ยวกับ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร สถาบันกษัตริย์ และประชาธิปไตย ถูก “ตัดทอน” “บิดเบือน” และ “กลบรวม” อย่างเป็นระบบเพียงใด

ส่วนที่ 1: เทียบแบบเรียนสามยุค – ใครเล่าอะไร ใครถูกลบหาย

ยุคที่ 1: ก่อนรัฐประหาร 2557
ช่วงประมาณ: 2010–2013
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
แบบเรียนใช้คำกลาง ๆ ว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่ไม่ใช้คำว่า “ปฏิวัติ” หรือ “การล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์”
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกเล่าแบบแห้ง ๆ ว่าเป็น “กลุ่มนายทหารและพลเรือนบางส่วน” ที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง แทบไม่พูดถึงอุดมการณ์ เหตุผล และความเสี่ยงชีวิตของสมาชิกคณะราษฎร
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
มักมีประโยคว่า “พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงชนชาวไทย” ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าประชาธิปไตยเป็นของที่ มาจากเบื้องบน มากกว่ามาจากการต่อสู้ของประชาชน
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
เน้นเรื่อง “หน้าที่พลเมืองดี” คือเชื่อฟังกฎหมาย รักษาความสงบ เคารพผู้มีอำนาจ มากกว่าการพูดถึงสิทธิในการตรวจสอบรัฐ สิทธิในการประท้วง หรือสิทธิในการเลือกและปลดรัฐบาล
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
บทเกี่ยวกับ 2475 มักมีเพียง 1–2 หน้า ขณะที่บทเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์บางรัชกาล โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 และ 9 กินพื้นที่หลายหน้าเต็ม ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนจึงกลายเป็นเพียง “ตัวประกอบ” ในแบบเรียน
*ยุคนี้ยังไม่ใช้ถ้อยคำด่าทอ 2475 อย่าง露骨 แต่ “การลดทอนให้จืด” ก็แรงพอจะลบความทรงจำเชิงการเมืองได้แล้ว
ยุคที่ 2: ใต้เงา คสช. และราชาชาตินิยมเข้มข้น
ช่วงประมาณ: 2014–2018
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
ในแบบเรียน ม.ปลาย บางเล่มมีถ้อยคำว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นการ ชิงสุกก่อนห่าม เพราะประชาชนยังไม่พร้อม และยังไม่มีการศึกษาพอ” เป็นการวางกรอบให้ผู้อ่านรู้สึกว่า 2475 คือความรีบร้อนผิดจังหวะของคนกลุ่มหนึ่ง
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกเล่ามากขึ้นในมุมลบ ว่าเป็นผู้เร่งรัดการเปลี่ยนแปลง ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและอำนาจนิยมในเวลาต่อมา จุดนี้แทบไม่พูดถึงแรงต้านจากระบอบเก่าและชนชั้นนำ
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
แบบเรียนหลายเล่มเน้นว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจของชาติ และทรงเป็นหลักประกันความมั่นคงของประเทศ” พื้นที่จำนวนมากทุ่มให้โครงการพระราชดำริ และบทบาทกษัตริย์ในฐานะ “ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย”
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
ประชาธิปไตยในแบบเรียนยุคนี้ถูกทำให้หมายถึง “ความสามัคคี ความสงบเรียบร้อย การเคารพผู้นำ และการไม่สร้างความวุ่นวาย” แทบไม่พูดถึงสิทธิในการวิจารณ์รัฐ สิทธิในการคัดค้านรัฐประหาร หรือหลักการว่ารัฐบาลต้องมาจากเสียงประชาชนอย่างแท้จริง
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
บรรยากาศหลังรัฐประหาร 2557 ทำให้ผู้เขียนแบบเรียนจำนวนมาก “เซ็นเซอร์ตัวเอง” เนื้อหาที่แตะเรื่องกองทัพ รัฐประหาร และบทบาทของชนชั้นนำ แทบหายไปจากตำรา เหลือเพียงวาทกรรมเรื่อง “ความมั่นคงและความสงบ”
*นี่คือช่วงที่แบบเรียนไม่เพียง “ลบ” ประวัติศาสตร์บางส่วน แต่เริ่ม “บิดกรอบความคิด” ให้ 2475 กลายเป็นจำเลยของปัญหาการเมืองทั้งหมด
ยุคที่ 3: รัฐบาลเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560
ช่วงประมาณ: 2019–2023
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
ยังคงใช้ถ้อยคำกลาง ๆ ว่า “การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง” ไม่เน้นว่าคือการล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และไม่เล่าความไม่เป็นธรรมของระบอบเก่าอย่างจริงจัง
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกกล่าวถึงพอสมควรในแง่ “ชื่อบุคคล” เช่น ปรีดี พิบูลฯ พระยาพหลฯ แต่บริบทถูกย่นให้เหลือแค่ “ผู้มีบทบาททางการเมืองช่วงหนึ่ง” ไม่ถูกเสนอให้เป็น “ต้นธารของสิทธิประชาชน”
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
บทเรียนยังเน้นหนักว่าระบอบการปกครองของไทยคือ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่ไม่อธิบายชัดว่าพระมหากษัตริย์ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง และไม่พูดว่าประชาชนมีสิทธิจะวิจารณ์หรือกำหนดทิศทางรัฐ
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
แบบเรียนเน้น “หน้าที่” มากกว่า “สิทธิ” พูดถึงการไปเลือกตั้งแต่ไม่อธิบายการตรวจสอบการเลือกตั้ง ไม่สอนการป้องกันการโกง และไม่พูดถึงสิทธิในการต่อต้านรัฐประหาร สิทธิในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยแทบไม่ปรากฏ
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
แม้ในโลกแห่งความจริง คนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามต่อสถาบันกษัตริย์ รัฐธรรมนูญ และบทบาทของกองทัพอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่แบบเรียนยังคง “แช่แข็งเรื่องเล่าเก่า” ไว้ ทำให้โรงเรียนกลายเป็นพื้นที่ที่ถูกตัดขาดจากความจริงทางการเมืองของสังคม
*ในยุคที่เยาวชนออกถนนไปทวงอนาคต แบบเรียนยังทำตัวเหมือนโลกไม่เคยเปลี่ยน สิ่งนี้เองคือหลักฐานว่าการศึกษาถูกใช้เพื่อตรึงอำนาจ มากกว่าปลดปล่อยประชาชน

ส่วนที่ 2: บทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย – เมื่อการลบในแบบเรียน = การลบสิทธิของประชาชน

“เมื่อหนังสือเรียนบอกเล่าประวัติศาสตร์อย่างที่ผู้มีอำนาจต้องการ เด็กทั้งรุ่นจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าตนเองเคยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และนั่นคือชัยชนะที่แท้จริงของระบอบที่ต้องการให้พลเมืองกลายเป็นเพียงราษฎรผู้เชื่อฟัง”

หากดูแบบผิวเผิน การที่บทเรียนเรื่อง 2475 มีเพียงไม่กี่หน้า หรือการที่ตำราไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องรัฐประหารและการต่อสู้ของประชาชน อาจถูกอธิบายได้ง่าย ๆ ว่า “เวลาไม่พอ” หรือ “ไม่ใช่สาระสำคัญของหลักสูตร” แต่เมื่อเราเอาแบบเรียนหลายยุคมาเทียบกัน เราจะเห็นชัดว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ หากแต่เป็น ยุทธศาสตร์การจัดระเบียบความทรงจำของชาติ

เมื่อแบบเรียนไม่เล่าว่า ก่อน 2475 ประชาชนไม่มีสิทธิใด ๆ ต่ออำนาจสูงสุดของรัฐ, ไม่เล่าว่าคณะราษฎรเคยประกาศให้ “อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย”, ไม่เล่าว่าคนรุ่นนั้นเสี่ยงคุกเสี่ยงตายเพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีสิทธิเลือกตั้งและตรวจสอบรัฐ เด็กที่โตมากับความเงียบและความจืดชืดทางประวัติศาสตร์ ก็จะยอมรับสภาพได้ง่ายว่า ตนเป็นเพียงผู้รับพระกรุณาและความเมตตาจากผู้ปกครอง มากกว่าจะเห็นตนเองเป็นเจ้าของประเทศ

การลบหรือบิดเบือน 2475 ในแบบเรียน จึงไม่ใช่แค่การลบชื่อ “คณะราษฎร” แต่คือการลบ “ความเป็นไปได้” ในหัวของประชาชนว่า เคยมีครั้งหนึ่งที่คนธรรมดาลุกขึ้นมาทวงอำนาจจากอภิสิทธิ์ชนได้สำเร็จ เมื่อเรื่องนี้ถูกลบไปจากหนังสือ คนรุ่นใหม่ก็จะไม่เห็นตัวเองเป็นทายาทของการต่อสู้ หากแต่เป็นเพียงตัวประกอบในเรื่องเล่าของชนชั้นนำ

ในขณะเดียวกัน แบบเรียนกลับใช้พื้นที่จำนวนมากเพื่อเล่าความดี ความเสียสละ และโครงการต่าง ๆ ของสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และชนชั้นนำ โดยแทบไม่พูดถึงสิทธิในการตรวจสอบอำนาจของประชาชน ไม่พูดถึงสิทธิในการต่อต้านความไม่เป็นธรรม และไม่พูดถึงว่าการรัฐประหารคือการทำลายสัญญาประชาคมระหว่างรัฐกับประชาชน

เมื่อ สิทธิ ไม่ถูกสอน แต่ ความจงรักภักดีและการเชื่อฟัง ถูกย้ำตั้งแต่ประถมจนจบมัธยม การศึกษาจึงไม่ใช่เครื่องมือปลดปล่อย แต่กลายเป็น เครื่องมือควบคุมจิตสำนึก ให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าการสงสัยอำนาจคือความผิด การตั้งคำถามคือความอกตัญญู และการลุกขึ้นทวงสิทธิของตนเองคือภัยต่อความสงบเรียบร้อย

ด้วยเหตุนี้ การลบ 2475 ออกจากแบบเรียน การทำให้คณะราษฎรกลายเป็นตัวละครเลือนลาง การทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นเพียงกระดาษศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครแตะต้องได้ จึงเท่ากับการลบสิทธิของประชาชนออกจากจินตนาการร่วมของชาติ เมื่อคนไทยไม่เคยถูกสอนให้คิดว่าตนมีสิทธิจะกำหนดทิศทางรัฐ ก็ย่อมไม่กล้าทวงสิทธิที่ถูกพรากไป

คันฉ่องส่องไทยจึงมิได้มีหน้าที่เพียงเล่าประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่ง หากแต่มีหน้าที่ช่วยให้คนไทยเห็นว่า ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวในตำรา หากเป็นหลักฐานว่าพวกเราควรยืนในฐานะ เจ้าของประเทศ ไม่ใช่เพียงราษฎรผู้เงียบงันที่รอรับคำสั่งจากเบื้องบน

วันที่เรากล้าหยิบแบบเรียนขึ้นมาเปิด เทียบกันทีละหน้า ตั้งคำถามกับทุกประโยคที่ทำให้ประชาชนตัวเล็ก ๆ กลายเป็นเพียงตัวประกอบของความยิ่งใหญ่ของชนชั้นนำ คือวันที่เรากำลังเริ่มทวงคืนทั้ง ประวัติศาสตร์ และ สิทธิของประชาชน กลับคืนมาอย่างเงียบ ๆ แต่ทรงพลัง ดั่งมดแดงนับล้านที่เริ่มรู้ว่าตนรวมกันแล้วมีพลังเพียงใด

คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น

ภาพประกอบชวนขำกลิ้ง คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น คลังคำไทยที่มักสะกดผิด ภาษาไทยน...