TV24 17-03-58 News Room 18.30 - ป้าสังเวียน เผาตัวกลางศูนย์ร้องทุกข์ เสียชีวิตแล้ว
__________________________________________________
“Natthida Miwangpa’s arrest and secret detention by the Thai military should set off flashing red lights,” said Brad Adams, Asia director at Human Rights Watch. “Holding a witness to alleged military crimes incommunicado for six days is a profoundly disturbing abuse of authority that has become commonplace under martial law.”Published on Mar 17, 2015กรณีที่ น.ส.ณัฐธิดา มีวังปลา หรือ น้องแหวน พยานปากสำคัญในคดี 6 ศพที่วัดปทุมฯ เหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ปี 53 ได้ถูกทหารจับตัวไปอย่างเงียบๆ เมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา โดยไม่มีการแจ้งให้ญาติๆ ทราบ จนมีกระแสข่าวกดดันจากสังคม ล่าสุด ทหารได้ออกมายอมรับว่า มีการจับกุมตัวน้องแหวนไปจริง พร้อมทั้งตั้งข้อกล่าวหา ร่วมวางแผนก่อเหตุระเบิดที่ศาลอาญา รัชดา เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา โดยศาลทหารไม่อนุญาติให้ประกันตัว พร้อมทั้งได้นำตัวไปฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน นั้บตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของน้องแหวน ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia ว่า ขณะที่น้องแหวนถูกจับกุมไปนั้นถูกปิดตา และถูกข่มขู่ด้วยวาจา แต่ไม่พบการทารุณแต่อย่างใด และขณะทีทหารนำตัวน้องแหวนมาศาลทหารกรุงเทพฯ ก็ถูกกีดกันไม่ให้ผู้ต้องหาได้รับความเป็น ธรรม โดยไม่ให้ทนายที่ ผู้ต้องหาพึงประสงค์ ร่วมฟังการพิจารณาคดีก่อนการฝากขังด้วย ทำให้เป็นห่วงว่ากระบวนการพิจารณาคดีโดยศา ลทหารอาจจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และอาจจะโยงไปถึงการที่ น้องแหวน เป็นพยานปากสำคัญในคดี 6 ศพที่วัดปทุมฯ เมื่อปี 53 ด้วย
-----------------
17 มีนาคม 2558 เรียน ดร.เพียงดิน ที่นับถือ
นี่เป็นความเห็นทางกฏหมายของผมเกี่ยวกับเรื่องปาระเบิดศาลอาญา " ว่าด้วยเรื่องระเบิดศาลอาญาการสอบสวนปากคำพยานในคดีนี้ตั้งแต่คนแรก มาจนถึงคุณพยาบาล จะตรงกับหลักในทางกฏหมายอาญาในคดี Escobido v Illinois, 378 U.S. 478 (1964) ตามเอกสารที่ส่งมาให้ดู คำพยานจากปากคำของผู้ต้องหาทั้งหมดในคดี ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหารสอบปากคำ หรือตำรวจ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน สอบปากคำ หรือพลเรือน (ผู้พิพากษา) สอบปากคำ แล้วลงโทษเขา ล้วนนำมาใช้เพื่ออ้างยันจำเลย หรือผู้ต้องหาไม่ได้ เพราะ
๑. เป็นการสอบผู้ต้องหา หรือ จำเลย โดยไม่มีทนายคอยให้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำปรึกษา ในระหว่างที่เขาถูกสอบปากคำ
๒.ไม่มีการเตือนจำเลย หรือผู้ต้องหาว่า คุณมีสิทธิที่จะไม่ตอบ ไม่พูด (the right to remain silent) แต่ก็ไม่ทำกันในคดีนี้
๓. การกระทำความผิดในคดีนี้ เป็นการกระทำผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฏหมายหลายบทหลายมาตรา เมื่อคุณไปลงโทษเขาในฐานความผิด ละเมิดอำนาจศาล โดยการจำคุก ๕ เดือน ก็จะเกิดผล
๔. คือการลงโทษ หรือฟ้องลงโทษเขาในการกระทำผิดครั้งเดียว ฟ้องได้หลายครั้งเพื่อลงโทษ เป็น Double Jeopardy อย่างแน่ชัด
๕.หลักกฏหมายนี้ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของไทยในปีพ.ศ.๒๕๔๐ ว่าด้วยเรื่องห้ามจำเลยให้การปรักปรำตัวเอง จนต้องคดีอาญา เมื่อเป็นเช่นนี้ คดีเรื่องปาระเบิดศาลอาญา ต้องห้ามโดย Norms ของรัฐธรรมนูญ จึงฟ้องลงโทษจำเลยไม่ได้สักคนเดียว Escobedo v_ Illinois 378 U_S_ 478 (1964) Justia US Supreme Court Center.htm Miranda v. Arizona - 384 U.S. 436 (1966) Justia US Supreme Court Center.htm
ระลึกถึงเสมอ.....
(ขอสงวนนามท่านไว้ ด้วยความเคารพรัก)
วิเคราะห์เรื่องนี้ตามทฤษฎีวิภาษวิธี (Dialectics)
หัวใจของ วิภาษวิธี พอสรุปได้ 3 ข้อ คือ
1. วิภาษวิธี พูดถึง “ความเปลี่ยนแปลง” สิ่งต่าง ๆ ย่อมเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง (เป็นพลวัต-dynamic) ดังนั้นคนที่พูดว่า อะไรๆมีมานานแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง ก็ไม่จริง เช่น รูปแบบสังคม ความเชื่อ ภาษา แม้แต่สถาบันต่าง ๆ เป็นต้น
2. วิภาษวิธี พูดถึง “ความขัดแย้ง” สิ่งต่าง ๆ เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคล ชนชั้น แม้แต่ความคิดของเราเอง หรือแม้แต่ความขัดแย้งที่อยู่ในธรรมชาติ เช่น ทะเลและชายหาดที่สวยงามยังมีหายนะจากคลื่นซินามิ เป็นต้น
3. วิภาษวิธีให้ความสนใจกับ “ความสัมพันธ์” สิ่งต่าง ๆ ในโลกไม่ใช่ “สิ่ง” หรือ thing เฉยๆ แต่ “สรรพสิ่ง” ในตัวมันเองเป็นความสัมพันธ์ชุดหนึ่ง และสรรพสิ่งอยู่ท่ามกลางความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆด้วยพร้อมๆกัน ดังนั้นเราจะเข้าใจโลก สังคม รวมทั้งความคิดในหัวเรา โดยไม่มองว่ามันเป็นความสัมพันธ์ไม่ได้
ตัวอย่างเช่น สถาบันต่าง ๆ ย่อมมีความเปลี่ยนแปลง ไม่อาจดำรงอยู่อย่างเดิมได้ ดูได้จากหลาย ๆ ประเทศเป็นตัวอย่างให้เห็นมากกว่า 100 ประเทศ
สถาบันต่าง ๆ มีความขัดแย้งในตัวของสถาบันเอง เช่น ความสับสนในตัวเอง ความขัดแย้งระหว่างบุคคลในสถาบัน ระหว่างบทบาทหน้าที่ ระหว่างสถาบันกับองค์กรและบุคคลภายนอก ฯลฯ
สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้เกิดขึ้น ดำรงอยู่ หรือเปลี่ยนแปลงไปโดยตนเองเพียงลำพัง แต่สะท้อนถึงความสัมพันธ์กับบุคคล องค์กร และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง เช่น สถาบันศักดินาเกิดจากการรวมตัวของชนชั้นสูง ที่สามารถช่วงชิงการนำในสังคม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์กับคนที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้าไพร่ ทหาร ทาส ฯลฯ ที่ศักดินาใช้ในการเสริมสร้าง ปกป้องคุ้มครองตนเอง อันเป็นความสัมพันธ์ระดับบุคคล และท้ายที่สุดสะท้อนถึงระบบความเชื่อ ระบบการปกครอง ระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ ที่ศักดินาใช้ในการขับเคลื่อนสังคมที่ชนขั้นศักดินาเป็นผู้นำ
วิภาษ วิธี ยังกล่าวต่อไปว่าเมื่อเกิดสิ่งใดขึ้น จะดำรงอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ในขณะเดียวกันความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็ขยายตัวขึ้น จนเกิดความเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ สิ่งใหม่ที่ดีกว่านี้ดำรงอยู่ระยะหนึ่งก็จะเกิดความขัดแย้งจนถูกเปลี่ยนแปลง ไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่าอีก เป็นสภาวะที่หมุนเวียนไปแบบนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ดังนั้น การฝืนให้คงสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้โดยไม่ยอมรับการปรับตัว การเปลี่ยนแปลง "ความขัดแย้ง" จะเกิดรุนแรง การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นโดยสงบสันติ เกล้ากระผมจึงขอเตือนพวกที่ภักดีแบบอนุรักษ์ได้ศึกษาทฤษฎีวิภาษวิธีอย่างใจ เป็นธรรม ปราศจากอคติ และลองนึกถึงแบบอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ ว่าสามารถอธิบายโดยทฤษฎีนี้ได้อย่างเฉียบคมเพียงใด จึงควรยอมรับว่า "ต้องมีการปรับตัว" อย่าฝืน ดีกว่าจะปล่อยให้สิ่งแวดล้อมบีบอัดมากขึ้น ๆ แล้วโอกาสของการปรับตัวจะถูกปิดและพัฒนาไปสู่การปฏิวัติสังคม
เอ้า พูดกันตรง ๆ อย่างนี้คงไม่โกรธกันนะ ถ้าไม่รักกันจริงจะไม่พูดตรง ๆ แบบนี้ ผมไม่ประจบสอพลอเพราะการประจบสอพลอนำความเสื่อมมาให้ แต่การพูดตรง ๆ นำไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า
ความกลัว และความน่ากลัว เกี่ยวเนื่องด้วยสถาบันกษัตริย์ไทย
ใครกลัวใครไม่ทราบได้
แต่ผมเห็นหน้าจอขึ้นแบบนี้ แล้วทำให้รู้สึกถึงความน่ากลัวที่ลึกลับ
มองไม่เห็น แต่เอาคนเข้าคุกได้ครับ
[รูปไม่ยอมขึ้นครับ]
คนที่คิดฉายา "มือที่มองไม่เห็น" นั้น เข้าใจคิดนะครับ
ไม่ว่าจะหมายถึงใครก็ตาม แต่คนที่ทำให้กระทู้หายไปนี่
ถือว่า คล้าย ๆ กับมือที่มองไม่เห็นจริง ๆ
ระบายเป้นกระทู้ส่งท้ายคืนนี้ครับ
==========
แวะมาเขียนต่อ เช้าวันเสาร์ (เวลาไทย)
ความกลัว น่าจะเป็น ตัวแปรหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องเกิดราวมากมาย
กลายเป็นเหมือนสิ่งที่นายกสมัคร พูดไว้ ว่า ความกลัวทำให้เสื่อม
ผมพยายามเน้นเสมอว่า ราชสำนัก อย่ากลัวประชาชน
รากที่ฝังลึกตามวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณี ของไทยมาหลายชั่วอายุคน
มันได้ทำให้คนไทย มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ โดยเฉพาะต่อผู้อ่อนด้อยและใจกตัญญูต่อผู้ใหญ่
ผิดพลาดอะไรไป หากมันไม่เกินไป คนไทยให้อภัยได้ แต่อย่าให้มันเลยเส้น
แต่ความกลัวนี่แหละ ทำให้คนเราทำอะไรแบบเกินงาม เกินควร และเกินเหตุ
ยิ่งไปบวกกับความโลภ โกรธ และหลง เข้าด้วยแล้ว ก็เรียกย้อนคืนยาก
ยิ่งยังยอมให้ความหลงในฐานะ ยศศักดิ์ และอำนาจด้วยแล้ว ยิ่งยุ่ง
ทั้งหมดนี้ ทุกฝ่ายที่กลัว ต้องเข้าใจว่า การเคารพประชาชน ในฐานะคนที่มีศักดิ์ศรีและสิทธิ
การเคารพกฎหมายบ้านเมืองและหลักการประชาธิปไตย
และการเคารพในหลักศีลธรรมอย่างแท้จริง (มิใช่แค่ปาก) นั้น ต้องมีก่อนสิ่งอื่น ๆ
ในเมื่อขาด ความโลภ โกรธ หลง มันก็พล่าน
ทำผิดแล้ว ก็จะผิดต่อ เพราะไม่สำนึกผิด และไม่ยอมปรับตัว ด้วยมองไม่เห็นความจริง
พอผิดมากเข้า ก็กลัวผลผิด ระแวงทุกฝ่ายที่ตนเคยเบียดบังรังแก ในที่สุด ความกลัว
ก็ทำให้เสื่อมจริง ๆ ทุกฝ้าย
แต่เสื่อมแล้ว ไม่ใช่ยอมพุ่งลงเหว หรือดื้อดึง
ควรกลับตัวกลับใจเสีย ประชาชนไทย พร้อมจะให้อภัยง
ตอนนี้เหมือนจะสายแล้ว แต่ผมเชื่อว่า การยอมรับและแก้ไข จะดีกว่าการดื้อดึงและฝืน
กระแสธรรมชาติ
แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2008-12-27 07:04:47
โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1488344 - โพสต์เมื่อ : 2008-12-26 23:55:04 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข
ช่วงที่ผมกลับจากอัฟกานิสถาน ไปเยี่ยมบ้าน
เป็นครั้งแรกที่ผมไม่รู้สึกปลอดภัยเมื่อก้าวลงสู่แผ่นดินบ้านเกิด
เพราะอะไรหรือครํบ ก็เพราะกลัวโดนจับขังคุกนะสิครับ
ผมไม่ใช่คนเด่นคนดังอะไร แต่พอถูกยึดสมาชิกภาพที่ราชดำเนิน
และข้อมูลที่เขียนไว้ที่บล็อกหายไปหมด ผมเริ่มรู้สึกสงสัยว่า ตัวเองพูดอะไร
ตรงเกินไปหรือไม่ เขาจะกวาดล้างตัวเราไปด้วยหรือไม่
ผมไม่เคยมีศัตรู ไม่เคยมีคนที่เกลียดชังกันขนาดต้องปองร้ายกัน
แต่ผมกลับมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะอำนาจที่แตะต้องไม่ได้
ก็รู้ตัวทีหลังว่า ตนเองไม่ได้มีความสำคัญขนาดจะมีใครมาจับตา หรือ
จับเข้าคุก แต่ก็อดที่จะกลัวไปเองไม่ได้
คุณดา ตอปิโด ถูกจับยัดคุก จนป่านนี้ ยังออกมาไม่ได้ ใครก็ช่วยไม่ได้
ผมเอง แม้เจตนาจะดียังไง แต่ดูเหมือนว่า สังคมไทยยังยอมรับไม่ได้
ไม่รู้จะต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่
แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2008-12-27 00:41:00
ภาษาไทย English บัญญัติ 10 ประการของอภิวัฒน์มดแดงล้มช้าง Ten Principles of th...