Wednesday, March 25, 2015

May 23, 2010 มติชนออนไลน์สัมภาษณ์คนเสื้อแดงที่หนีตาย เข้าไปหลบในเขตอภัยทานวัดปทุมวนาราม

Edit



บันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้ สี่วันหลังการสังหารโหดในวัดฯ
May 23, 2010  มติชนออนไลน์สัมภาษณ์คนเสื้อแดงที่หนีตาย เข้าไปหลบในเขตอภัยทานวัดปทุมวนาราม
 

บันทึกไว้ในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ตอนปลาย


วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:58:00 น. มติชนออนไลน์



"เสื้อแดง"ขอพูดบ้างจะเอาไป "ฆ่า-ประหาร"ก็เชิญ

โดย ชฎา ไอยคุปต์
คลิกชมคลิปวิดีโอภาพและเสียงชาวบ้านได้ที่รูปกล้องเหนือพาดหัวข่าว)

ภาย หลังแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศให้ผู้ชุมนุมกลับบ้านและยุติการชุมนุมแทนที่ เดินทางกลับบ้าน ชาวบ้านกลับวิ่งหนีตายเข้าไปขอซุกตัวภายในวัดปทุมวนารามเป็นเขตอภัยทาน กับโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อหลบซ่อนตัวไม่ยอมออกมาจากพื้นที่วัดตั้งแต่ตลอดเวลาช่วงบ่ายจนถึงเช้า ของวันใหม่


ทั้งที่รัฐบาลประกาศเตรียมจัดรถคอยอำนวยความสะดวกให้ เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัยแต่ก็ไม่มีใครยอมออกมาและเวลานั้นก็ไม่มีมีใคร รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นภายในพื้นที่การชุมนุม หลังจากที่มีการประกาศเคอร์ฟิวผู้สื่อข่าวถอนออกจากพื้นที่ ขณะที่ผู้ชุมุนุมเดินออกจากพื้นที่ชุมนุมกลับภูมิลำเนาแค่ประมาณ 400 คนเท่านั้น แล้วอีกหลายพันคนหายเงียบ เข้าไปซุกตัวอยู่ในวัด


ตลอด คืนที่แสนจะยาวนานในความรู้สึกของชาวบ้านท่ามกลางความไม่สงบแสงเพลิงที่ลุก ไหม้ตึกอาคารรอบพื้นที่ มีเสียงปืนเสียงระเบิดดังตลอดทั้งคืนแต่ที่เลวยิ่งกว่า คือ การนอนร่วมกับศพเพื่อนร่วมรบ นี่คือคำบอกเล่าของกลุ่มผู้ชุมนุมที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยังผวาไม่เลิก"


แทบจะไม่มีใครได้หลับได้นอนกระทั่งรุ่งสาง แสงอาทิตย์ส่องสว่างมองเห็นสิ่งรอบข้างได้ชัดเจน ชาวบ้านเริ่มทยอยเดินทางออกมาตามเสียงเรียกของมือปราบหูดำ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ใช้เครื่องขยายเสียงเรียกผู้ชุมนุมออกมาเพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่ชาวบ้านยังคงมีอาการหวาดผวา เมื่อเดินออกมาเจอเจ้าหน้าที่ทหารยืนลาดตระเวนบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หดกลับเข้าไปใหม่และไม่ยอมออกมา จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตั้งแถวเป็นทางยาวเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะ ไม่มีใครมาทำร้ายได้ โดยที่ตำรวจจะยืนเป็นเกราะกำบังให้ ชาวบ้านจึงยอมเดินทางออกมาจากวัดเพื่อเดินทางกลับบ้าน


ใบหน้าที่ มันเยิ้มเปื้อนฝ้า สีผิวที่กรำแดดปรากฏริ้วรอยความหมองคล้ำ เคลือบไปด้วยความอิดโรย ตาแดงกร่ำ เสื้อผ้าที่เปื้อนฝุ่น กลิ่นตัวที่หมักหมมขาดน้ำชำระล้างมานาน แต่ยังไม่เด็ดชัด สัมผัสได้เท่ากับ ความเครียด ความกังวล ที่แสดงออกมาทาง สีหน้า แววตา ไร้อารมณ์ความรู้สึก เหม่อลอย และหวาดกลัว แต่ซ่อนความมุ่งมั่นในแววตา


ชาวบ้านทยอย เดินทางลงจากรถเมล์มาต่อรถโดยสารที่สถานีขนส่งหมอชิต หอบหิ้วเสื่อ หมอน พัดลม ข้าวของเครื่องใช้พะรุงพะรัง ขณะที่บางคนมีแค่เสื้อผ้าชุดเดียวห่อหุ้มร่างกายไว้เท่านั้น นี่คือ ภาพของผู้ชมุนุมคนไทยที่ดูไม่ต่างจากพวกอพยพลี้ภัยจากสมรภูมิรบในชายแดน เข้าแถวลงทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทยก่อนจะแวะไปรับเงินจากกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์รายละ 200 บาท เป็นการเยียวยาค่าเดินทางต่อรถกลับภูมิลำเนาหลังจากมีรถฟรีไปส่งถึงตัว จังหวัด ส่วนใหญ่เข้าไปรับเงินแต่บางคนก็ไม่ยอมรับและบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าคนเสื้อ แดงไม่รับเงิน ส่วนบางคนก็ประชดด้วยการบอกว่ามาร่วม 2 เดือนได้เงินกลับบ้าน 200 บาท


พูดแล้วจะเอาออกจริงหรือ ? คำตอบที่ชาวบ้านถามกลับกับคนที่หิ้วกล้องพร้อมปากกาและกระดาษมาขอสัมภาษณ์ แต่สุดท้าย นางชวนพร ชัยมงคล อายุ 55 ปี จ.เชียงใหม่ ก็ยอมเล่าถึงนาทีหนีตายเข้าไปอาศัยในวัดปทุมวนาราม ท่ามกลางวงล้อมของหมอกควันและเพลิงและกระสุนปืนที่ดังอย่างต่อเนื่องพร้อม กับผู้ชุมนุมหลายพันคนและอีก 6 ศพถูกยิงเสียชีวิตห่อด้วยเสื่อเรียงอยู่ในวัด ว่า จะออกมาก็ออกไม่ได้เพราะว่าหลายคนที่ออกมาเพราะห่วงข้าวของเครื่องใช้ก็ถูก ยิง มันไม่เหมือนประเทศไทย ที่มีการเอื้อเฟื้อกัน ทุกคนเสียใจมากไม่น่าจะเป็นแบบนี้ เราเรียกร้องแค่ให้ยุบสภาเท่านั้นเองทำไมต้องมายิงเราด้วย (พร้อมกับสะอื้น) ทุกวันนี้ไม่มีความยุติธรรมสำหรับคนจนเลย คนจนไม่มีค่า ไม่มีราคา คนจนอย่างเราไม่ได้ขออะไรมากมาย ขอให้มันถูกต้อง อะไรที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้มันจะสงบ จึงขอให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตลอด จะเป็นใครก็ได้ที่มาจากการเลือกตั้งอย่างยุติธรรม


"ทุกคนกลับ บ้านด้วยความเจ็บใจเพราะว่าญาติพี่น้องร่วมรบถูกยิง ถูกลากศพไปต่อหน้าต่อตา ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมาเจอแบบนี้ อยากให้บ้านเมืองได้ความยุติธรรมคืนมา มีความถูกต้อง มีกฎหมายเท่าเทียมกัน ไม่ใช่แบ่งพรรคแบ่งพวก คนรวย คนจน มีค่าเท่าเทียมกัน ต้องให้สิทธิการเป็นมนุษย์เหมือนกัน เป็นมนุษย์ขี้เหม็นเหมือนกัน แต่ถ้าขี้หอมก็ยกให้อีกระดับหนึ่ง ฉะนั้นต้องคิดว่าคุณคือมนุษย์เหมือนกัน


เราไม่ได้กลับบ้านมือ เปล่าทุกคนรู้ที่แกนนำต้องเลิกเพื่อรักษาชีวิตผู้ชุมนุมไว้ วันนี้เราได้เพื่อนที่ไม่เข้าใจเราได้เข้าใจเรามากขึ้น แต่ที่ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจเพราะฟังข่าวด้านเดียว เห็นแต่เสื้อแดงไปทำทหาร แต่ทหารทำร้ายคนเสื้อแดงไม่มีออกทีวีเลย ไม่ว่าอะไรหรอกคนที่เป็นนายกฯขอแค่คืนความยุติธรรมให้กับสังคมเท่านั้น หากยังแบ่งแยกกันอยู่อย่างนี้มันจะแตกแยกกัน" นางชวนพรกล่าว


สาว ใหญ่เมืองเชียงใหม่ยังบอกอีกว่า ขณะที่พวกเราหนีเขาวัดแล้วไปนั่งไหว้พระอยู่คิดว่าถ้าจะมายิงกันตอนไหว้พระ ก็ไม่เป็นไร ที่ตรงนั้นมีแต่เด็ก ผู้หญิง เต็มไปหมด


"ถ้าต่อสู้ ซึ่งหน้าเราต้านไหว แต่เขาเอาเปรียบเรา ไปซุ่มยิงจากข้างบน แบบนี้มันหมารอบกัด ต้องลงมาแล้วสู้กันซึ่งหน้าตัวต่อตัวเราจับมัดจับมัดดีดหำได้สบาย แต่เราไม่ฆ่าเพราะคนไทยด้วยกัน แต่เขามาตั้งใจฆ่าเรา ถ้าใครที่รับฟังมาจากที่ไหนก็ให้รู้ว่าเราคนไทยด้วยกัน ไม่ใช่ว่าเสื้อแดงต้องไปฆ่าเขา แค่จับเปลื้องผ้าก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว แต่นี้มาฆ่าเราต้องนึกบ้าง ทำได้อย่างไรกับคนไม่มีทางสู้


คำว่า ผู้ก่อการร้าย รัฐบาลคิดได้ไง ชาวบ้านดีดี แม่ค้าขายกล้วยทอดเป็นผู้ก่อการร้ายได้ไง เราต้องการความยุติธรรมคืนไม่น่าจะเป็นแบบนี้แค่ยุบสภาเขาก็ทำกันทั้งโลก หากคิดว่าหาเสียงเก่งก็หาวิธีการไปสิ ไม่เห็นต้องมาฆ่าเราเลย" สาวใหญ่เสื้อแดงคนเดิมระบุ


นางชวนพรเล่าต่อว่า ภายในวัดแทบจะไม่มีที่ให้เดินเพราะมีคนเข้าไปหลับนอนกันเรียงเป็นแถว ลูกก็เป็นห่วงโทรบอกให้ออกมาจากวัดซึ่งเขาไม่รู้ว่าเราออกไปไม่ได้ ถ้าออกมาตายแน่ ขนาดตอนเช้าที่ออกมาตำรวจต้องตั้งแถวเรียงกันเป็นแผงช่วยให้เราออกจากวัด เพราะข้างบนรางรถไฟยังมีทหารอีกเพียบ พร้อมกับชูภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลให้ดูรูปเจ้าหน้าที่ทหารยืนประจำการบนราง รถไฟ


"วันนี้ไม่มีความยุติธรรมกับเราคนจนเลย คนจนอย่างเราใช่ว่าจะมาขออะไรมากมายขอแค่ให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ คุณได้เป็นนายกฯไปเราไม่ว่าให้มันถูกต้องอะไรที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ได้มันจะสงบ ทุกคนกลับบ้านด้วยความเจ็บใจ เพราะว่าญาติพี่น้องที่ร่วมรบกันเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา ช่วยเหลืออะไรกันไม่ได้เลย การกลับบ้านครั้งนี้ถือว่าเสร็จแล้ว เรามาแสดงอุดมการณ์ของเราที่ไม่ชอบความไม่ยุติธรรมไม่ใช่ว่าเข้าข้างกัน ผิดก็คือผิด" นางชวนพร กล่าว


นายอนุชา ยะอนันต์ อายุ 45 ปี นปช.ลำพูน ชายร่างใหญ่หนวดเฟิ้มเล่านาทีชีวิตเป็นตายเท่ากันขณะที่เข้าไปหลบซ่อนในวัด ปทุมวนาราม ว่า "อยู่ในวัดไล่ยิงคนเหมือนหมา ออกไปนอกวัดก็ไม่ได้ มีทหารอยู่บนรางรถไฟเห็นๆกันอยู่ จะไม่เห็นได้ไงไล่ยิงกันรอบวัดเลย ลึกๆในใจใครทำอะไรก็รับไปให้รู้กันเองไม่เป็นไร"


นปช.ลำพูนกล่าว อีกว่า มองดูรัฐบาลตอนนี้ไม่เหมือนกับรัฐบาลทั่วโลก ขนาดเขาทำผิดนิดเดียวก็เริ่มรู้ตัวต้องออกไปแล้ว แต่ตอนนี้ประเทศเราไม่ใช่ประชาธิปไตย รัฐบาลถูกต่อต้านไปไหนไม่ได้ต้องมีทหารคอยคุ้มครองไปกันแต่ละครั้งขนตำรวจ ทหารไปล้อม 3-4 พันคน เข้าใจว่าความเกลียดชังคนเสื้อแดง ที่เกิดในใจหลายคน คิดว่าเกิดจากข้อมูลที่เขารับฟังข้างเดียว เราไม่ได้มองว่าเขาเป็นศัตรู แต่ถ้าวันหนึ่งเขาได้รับรู้ว่าความจริง คืออะไร เขาจะเสียใจมากยิ่งกว่าพวกเราเสียใจอีก รัฐบาลควรแสดงความจริงใจว่าส่วนใดที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงต้องเอามาพูด กัน


"ความจริงของเรื่องนี้ คือ รัฐบาลเอาทหารออกมาแล้วปิดกั้นไม่ให้พวกที่เข้าไปชุมนุมได้ชุมนุมกันอย่าง สันติวิธี พวกเราไม่มีอาวุธมีแต่ไม้เหลาแหลมแต่ทหารอาวุธครบมือ วันหนึ่งถ้าเป็นญาติของเขาบ้างจะรู้สึกอย่างไร รัฐบาลไม่น่าทำขนาดนี้ ผมอายชาวโลก ชาวโลกรับรู้ข่าวหมด แต่ช่องทีวีของไทยยังปิดหูปิดตา มีข่าวทางอินเตอร์เน็ตที่รายงานข่าวเราบ้าง ประเทศไทยยังมัวแต่ปิดกั้นอยู่อย่างนี้เราไปไม่รอดแน่"นายอนุชากล่าวทิ้ง ท้ายก่อนเดินไปขึ้นรถกลับลำพูน


ขณะที่นายนางชฎาทาน ธันวาภักดี ชาวจ.นนทบุรี อายุ 55 ปี อาชีพค้าขาย กำลังหอบหิ้วสัมภาระที่ขนกลับมาจากราชประสงค์เพื่อเดินทางกลับบ้าน กล่าวว่า เมื่อก่อนเคยสนับสนุนการปฏิวัติว่ามันดีแต่พอเห็นการยึดทำเนียบจึงได้รู้ว่า มันไม่ดีแล้ว เมื่อก่อนเราเหมือนกบในกะลาเมื่อมีคนมาเตะกะลาให้เราต้องออกมาเราต้องวิ่ง ออกมาจนได้เห็นความไม่ยุติธรรม ฉะนั้นเรายอมตายเพื่อความถูกต้องดังนั้นเราต้องช่วยกัน


"เขา ใจร้ายมาก ฆ่าเราเหมือนหมูเหมือนหมา เหมือนเราไม่ใช่คน ยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้ามีคนตาย 6 ศพ นอนอยู่ในวัดยังไม่ได้ฉีดยาให้ศพ น่า อนาถใจมาก ไม่คิดเลยว่าจะยิงเรา นัดเดียวคาที่หมด เห็นคนเชียงรายมากัน 8 ตาย 5 กระสุนเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา" นางชฎาทานบอกเล่าสิ่งที่ได้พบเจอ


นปช.นนทบุรี กล่าวต่อว่า "ตอนนี้เราต้องหยุดก่อนแต่เราไม่ถอย เราไม่ได้ทำอะไรเขาเลยเขามายิงเราทำไมเราแค่มาเรียกร้องประชาธิปไตยขอความ เป็นธรรมมายิงเราทำไม พอใจยิงก็ยิง ก่อนหน้านี้เราไม่เคยแตะต้องอะไรเลย แต่ตอนนั้นระเบิดลงหน้าเวทีคุณฆ่าเราแล้ว พวกเราก็ระงับอารมณ์ทุกคนไม่ได้แล้ว พวกเราก็พากันหนีตายเข้าไปในวัดบ้าง หลบอยู่ใต้รางรถไฟฟ้าบ้าง เขาก็ยิงลงมาอย่างต่อเนื่องเก็บข้าวของกันแทบไม่ทัน เขายืนอยู่บนหัวเรา ตอนนั้นประมาณ 6 โมงเย็น พอเราออกมาตอนเช้ายังเห็นทหารยืนอยู่เต็มรางรถไฟฟ้า"


"สิ่งที่ พวกเราเจอยิ่งกว่าสงคราม เกิดมาไม่เคยเจอ ไม่คิดว่าประเทศเราจะเป็นขนาดนี้ ใจร้ายมากเขาเหยียบย่ำหัวใจเรามาก รอดตายมาทุกวันนี้เพราะตำรวจแท้ๆ และขอย้ำบอกกับพวกที่หาว่าเรามาแล้วได้เงินไม่จริงเลย มีแต่เสียเงินเองทุกบาททุกสตางค์ ไม่มีใครเอามาให้เลย เราสู้กันตั้งแต่พันธมิตรยึดทำเนียบจนกระทั่งวันนี้ที่พวกเราถูกไล่ยิง" นางชฎาทานกล่าว



ทางด้านนายชัยวัฒน์ แสงเดช เจริญชัย อายุ 47 ปี ชาว จ.อุดรธานี ที่กำลังรอขึ้นรถกลับภูมิลำเนาหลังจากที่ลาสิกขาบทเพื่อมาร่วมชุมนุมบอกว่า ตอนนั้นได้ดูข่าวเห็นแล้วทนไม่ไหวจึงสึกออกมาเพราะเห็นความไม่ถูกต้อง ขอเงินพี่ชาย 4 พันบาท เข้ากรุงเทพฯตั้งแต่หัวโล้นจนตอนนี้ผมขึ้นขนาดนี้แล้ว(ชี้ไปที่ผม) มาร่วมชุมนุมเกือบ 2 เดือนเงินที่นำมาก็หมดแล้ว แต่ข้างในคนเสื้อแดงรักกันมากแบ่งบันกันกิน พวกเขาไม่มีอาวุธมีแต่หนังสติ๊ก ไม้ไผ่ กับบั้งไฟที่จุดไล่เฮลิคอปเตอร์ ส่วนพวกผู้หญิงน่าสงสารมากช่วงที่ทหารบุกยิงทั้งแก๊สน้ำตา ยิงปืนใส่


"พวก ผู้หญิงที่อยู่ในพื้นที่ทนเห็นคนถูกยิงไม่ได้ไปช่วยกันเอาน้ำยาล้างส้วมเท ใส่ถุงแล้วเอาไปเฟวี้ยง(ขว้าง)ทหารเห็นแล้วน้ำตาไหล ถ้าใครเข้าไปสัมผัสข้างไหนแล้วจะรู้ เมื่อกี้เดินออกมาตามถนนหนทางชาวบ้านร้องห่มร้องไห้มาตลอดทาง ตำรวจดีมากเลยที่เข้าไปช่วยพวกเราไม่งั้นทหารไม่ปล่อยออกมาแน่ ถ้าออกมาโดนยิงหมด" นายชัยวัฒน์ กล่าวย้ำสิ่งที่ผู้ชุมนุมคนอื่นบอกไว้ในเรื่องเดียวกัน


"ตอน ทหารยิงผมอยู่ตรงศาลาแดง วิ่งหลบกระสุนทั้งวัน ทั้งคืน ทหารใช้ปืนสไนเปอร์ยิง โดนหัว โดนลำตัว ต่างคนต่างวิ่ง หมอบไปด้วยวิ่งไปเลาะตามเต็นท์ วิ่งโล่งๆไม่ได้ ตอนนั้นผมวิ่งไม่ถึงวัด จึงเข้าไปหลบในโรงพยาบาลตำรวจแทน พวกเรานอนเกลื่อนกับพื้นเต็มไปหมด ออกไปไหนก็ไม่ได้ คนในวัดก็ออกไม่ได้ ออกมาก็ถูกยิง ตรงศาลาแดง ดุเดือดมาก ไปซุ่มอยู่บนตึกยิงลงมา " นายชัยวัฒน์กล่าวถึงนาทีหนีตาย


นาย ชัยวัฒน์ เล่าถึงการเดินทางมาร่วมชุมนุมว่า มาคนเดียวได้แต่ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เห็นแล้วน้ำตาไหลออกมาเองแบบไม่รู้สึกตัว พวกมวลชนไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำไมต้องยิงเขาด้วย ผู้หญิง เด็ก ยิงหมด หากออกไปจากที่ชุมนุมเจอด่านทหารจะตรวจค้นมีอะไรแดงๆจะโดนหมดเลย เถื่อนมากเหมือนไม่ใช่ประเทศไทย มันจะไม่ใช่สยามเมืองยิ้มอีกต่อไปแล้ว


"คน เฒ่าคนแก่บางคนบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาจนแก่ไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนจะโหดขนาดนี้แม้แต่ตัวผมเอง" เสียงสะท้อนจากผู้ชุมนุมที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะได้พบเจอ


นาง คำสอน สมพงษ์ อายุ 57 ปี ชาวจ.หนองคาย นั่งรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อน 3 คน รอเดินทางกลับบ้านที่สถานีขนส่งหมอชิต บอกเล่าเหตุการณ์ในวันที่ราชประสงค์มืดมิดพร้อมกับท่าทางที่ตื่นกลัว ว่า ลูกระเบิดลงมา พากันวิ่งเข้าวัดปทุมวนาราม เจ้าอาวาสดีมากให้พวกเราพักพิง


"ขณะ ที่นางพยายามกำลังปั้มหัวใจช่วยคนเจ็บอยู่ก็ถูกยิงเสียชีวิต การ์ดก็ตาย โหดมาก พวกเราไม่ได้กินข้าวกินน้ำกันเลยตี 5 ตั้งแต่ทหารเริ่มปฎิบัติิการ พวกเขามากล่าวหาว่าพวกเราเป็นผู้ก่อการร้าย เราไม่มีอะไรเลย มีแต่พัด แล้วมากล่าวหาว่าเราเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นผู้ก่อการร้าย ถ้ามีปืนจริงคิดว่าจะเหลือหรือไงก็ยิงออกไปสิ บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป สั่งฆ่าใครฆ่าให้หมดจับใครได้ก็ฆ่าให้หมด" ยายคำสอนกล่าว


"กลัว ก็กลัวแต่สู้ ช่วยๆกัน ระเบิดโยนมาไม่ถูกพวกเราก็ถูกคนอื่น ลูกปืนยิงมาไม่ถูกเราก็ถูกคนอื่น การ์ดผู้ชายรับปืนรับระเบิดแทนผู้หญิงหมด แต่ผู้หญิงตายเยอะหนีไม่ทันทั้งคนแก่และเด็ก แล้วยังยิงฝรั่งที่มาทำข่าวอยู่กินกับพวกเรา แล้วยังจะมาหาว่าเป็นพวกผู้ก่อการร้ายยิงอีก มันโหดร้ายแค่ไหนรัฐบาลนี้จะเอาเราไปประหารก็เชิญเพราะพูดความจริงเลย เพราะรัฐบาลทำได้ทุกอย่าง" ยายชาวหนองคายพูดอย่างไม่กลัวความผิดและภัยถึงตัว


"เราไม่ใช่คน มีความรู้แต่เป็นชาวนาเต็มตัวจะบอกว่า แม้แต่เด็กยังไม่ไว้ชีวิต คนแก่คลานไปร้องขอชีวิตยังโยนทิ้ง ไม่ตายก็โยนเข้ากองไฟ เอาศพไปทิ้งไม่ให้เห็นศพ" ยายคำสอนกล่าวย้ำอีกครั้งก่อนจะบอกว่าได้เข้าไปหลบอยู่ในวัดปทุมวนารามหลวง ปู่ก็เทศนาให้ฟังแก๊สน้ำตาก็ยิงเข้ามาในวัดใจสั่นไปด้วยนั่งพนมมือไปด้วย ไม่ตายก็เหมือนตาย เราผ่านสนามรบมาแล้วไม่เห็นต้องกลัวอะไรอีกต่อไป


ขณะ ที่นายสุชาติ พรั่งพรหม นปช.จันทบุรี กล่าวย้ำถึงภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยิน ว่า "เห็นทหารยิงประชาชนตอนนั้นพักอยู่ที่วัดปทุมวนารามเห็นศพอยู่ในวัด 6 ศพ บาดเจ็บอีกประมาณ 10 คน ยิงพยาบาล(อาสาสมัคร)ในวัดที่กำลังทำแผลให้กับคนเจ็บก่อนยิงยังด่าพยาบาลอีก ว่าอีเสื้อแดงมึงเก่งนักหรอแล้วก็ยิงเลย เป็นทหารแก่แล้วมีผมหงอก "


เสียง ส่งท้ายของคนเสื้อแดงก่อนอำลาเมืองกรุง กลับบ้านพร้อมกับบาดแผลในใจ ความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิตบนเส้นทางการเรียกร้องประชาธิปไตยได้รับบทเรียน ที่แสนล้ำค่าที่สุดในชีวิตของมวลชนคนธรรมดาที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาตกอยู่ใน สมรภูมิรบท่ามกลางสงคราม "คนไทยฆ่ากันเอง" จนแทบเอาชีวิตไม่รอด

 
Edit

นายกอำมหิต อภิสิทธิ์ร้อยศพ (บทความที่เผด็จการบีบไม่ให้ตีพิมพ์) โดย เทิดไท ประชาธรรม

Edit

นายกอำมหิต อภิสิทธิ์ร้อยศพ









Thai E-News: บทความ: นายกอำมหิต อภิสิทธิ์ร้อยศพ

บทความ: นายกอำมหิต อภิสิทธิ์ร้อยศพ
โดย เทิดไท ประชาธรรม
23 พฤษภาคม 2553

นับจากเหตุการณ์ "ขอพื้นที่คืน" ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เรื่อยมาถึงเหตุการณ์ "กระชับพื้นที่" ที่ราชประสงค์ ระหว่างวันที่ 13 – 19 พฤษภาคม 2553 ด้วยคำพูดที่สวยหรูจาก ศอฉ.และรัฐบาล แต่ความหมายมันก็คือ "การเข้าสลาย และปราบปราม" นั้นเอง

เป็นเหตุให้ มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทั้งชาย หญิง เด็ก คนชรา แม้แต่สตรีมีครรภ์ ตลอดถึงนายพลของกองทัพ คนเก็บขยะ เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือคนเจ็บ และเจ้าหน้าที่พยาบาลอาสา ได้สังเวยความ "อำมหิต" ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กว่าหนึ่งร้อยศพ (ตัวเลขทางการคือ 88 ศพ) และมีผู้บาดเจ็บอีกเกือบสองพันคน

นี่ ยังไม่นับรวมกับศพที่สูญหายจำนวนมาก โดยมีข่าวลือว่า ถูกนำไปฝังรวมกันที่ค่ายทหารราบแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และยังไม่นับรวมถึงกับศพที่มีข่าวลือจากข้อสงสัยของผู้คนว่า "มีอีกหลายร้อยชีวิตที่เป็นสตรี และคนชรา" ณ เวทีราชประสงค์ ที่ไม่ยอมสลาย และคอยจนนาทีสุดท้ายให้ทหารเข้ามาถึง จนถูกทหารกราดยิง เพราะไม่มีสื่อมวลชนเข้าไปด้วยแม้แต่คนเดียว และถูกนำศพไปเผารวมกัน ณ เซ็นทรัลเวิลด์ "เมรุเผาศพที่ใหญ่ที่สุดในโลก" แล้วปล่อยให้ไฟเผานานกว่า 12 ชม. โดยเจ้าหน้าที่ไม่สนใจที่จะดับเพลิง แต่อย่างใด !!!???

"หนึ่งร้อยศพ" ไม่น่าจะน้อยกว่านี้ คือผลงานและวิธีแก้ปัญหา "แบบเลือดทาแผ่นดิน" ของอภิสิทธิ์

"แผน ปรองดอง" หรือ โรดแม็ป 5 ข้อ ของอภิสิทธิ์ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ มีหลายคนรวมทั้งผู้เขียน เคยวิพากษ์วิจารณ์ว่า "เป็นแค่แผนหลอกล่อให้คนเสื้อแดงกลับบ้าน หรือหลอกให้คนที่เวทีราชประสงค์ลดน้อยลง เพื่อจะได้ง่ายต่อการเข้าสลายและล้อมปราบ ไม่ได้มีความจริงใจที่จะปรองดองอะไรเลย"

และแล้วคำวิพากษ์วิจารณ์ เหล่านั้นก็เป็นจริง เห็นชัด ๆ ว่า ในหัวสมองของอภิสิทธิ์นั้น ไม่มีคำว่า "ปรองดอง" แต่อย่างใด สิ่งเดียวที่มีในหัวสมองของอภิสิทธิ์คือ "ต้องเอาเลือดไพร่ทาบนแผ่นดินให้จงได้" ตามคำบัญชาของมหาอำมาตย์อำมหิต "ตายสิบตายแสน ไม่ต้องใส่ใจ" คนไทยหกสิบกว่าล้านคน ตายแค่นี่ถือว่าน้อยไป และเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูว่า "ต่อไปพวกไพร่อย่าริฮือ"

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพ "สัญญาณอำมหิต" เพื่อปลิดชีวิตไพร่กว่าร้อยศพ ได้ถูกส่งสัญญาณแล้วตั้งแต่มีข่าวว่า "ผู้หญิงคนหนึ่ง" โทรหา "อนุพงษ์" ว่า "ให้จัดการปราบไพร่ได้เลยไม่ต้องปรานีปราศรัย"

สัญญาณต่อมา คือ เมื่อพวกพันธมิตร โดยมหาจอมปลอม และกลุ่มเสื้อหลากสีของหมอไร้จรรยาบรรณ และเหล่าลูกสมุนอำมาตย์ ออกมาประสานเสียง ให้รัฐบาลจัดการกับคนเสื้อแดงโดยเด็ดขาด ถ้าไม่จัดการแล้วพวกพันธมารจะจัดการเอง

ต่อมาก็มี เอ็ม.79 มี "สไนเปอร์" ออกมาเก็บ "คนเสื้อแดง" ทีละศพ ๆ จนมาถึงคิวของ "เสธ.แดง" พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แหล่ะนี่คือ "ซิกสุดท้าย" ที่เป็นสัญญาณว่า "ร้อยศพ" นั้น น้อยมาก ที่คนกระหายเลือดอย่างอภิสิทธิ์ ทาสรับใช้อำมาตยา จะทำการเข่นฆ่า

แกนนำ นปช.ชะล่าใจ หรือแม้แต่ใคร ๆ ก็คิดไม่ถึงว่า พวกมหาอำมาตยาสามานย์ จะมีใจที่ "อำมหิต" สั่งเข่นฆ่าประชาชนของตนเองได้ถึงเพียงนี้ ร้อยศพ ที่ตัวเลขเป็นทางการ และอีกหลายร้อยศพที่สาบสูญ ไม่มีใครทราบว่าอยู่ที่ไหน จึงได้เกิดขึ้น ณ ใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย

แม้จะเป็นร้อยศพ ที่แลกกับคำว่าประชาธิปไตยอันว่างเปล่า แต่ก็เป็นร้อยศพที่ได้เผยธาตุแท้ของ "ระบอบอำมาตยาธิปไตย" ได้อย่างหมดใส้หมดพุง

นักวิชาการด้าน รัฐศาสตร์อย่าง รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ถึงกับกล่าวว่า "ในฐานะของนักรัฐศาสตร์ ผมบอกตรง ๆ ว่า ผมยังงงกับรัฐบาล และตัวนายกรัฐมนตรี ว่า ทำไมถึงได้มั่นใจว่าความรุนแรงจะเป็นทางยุติปัญหาทั้งหมดได้..."

ปานนี้ เมื่อรู้ว่า นายกได้สั่งฆ่าประชาชนไปแล้วกว่าร้อยศพ ไม่ทราบว่า รศ.ดร.สุขุม จะหายงงหรือยัง หรือว่าจะยิ่งงง หรือจะแกล้งทำเป็นงงต่อไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มหัวอกว่า "ที่นายอภิสิทธิ์โหดได้แบบสุด ๆ นั้น เพราะใครบัญชาการอยู่เบื้องหลัง"

ความอำมหิต ของอภิสิทธิ์ผู้นำรัฐบาลนอมิอำมาตยาสามานย์ กับ "ยุทธการฆ่าไม่เลือกหน้า" ถูกนำมาใช้กับทุกคนที่เดินอยู่ในพื้นที่ชุมนุม ทั้งนี้เพราะมีมหาอำมาตย์สามานย์บัญชาการอยู่เบื้องหลัง จน "อนุพงษ์" ต้องสงบเสงียมเจียมตัว และหยุดคำพูดของตัวเองที่ว่า "การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง" ลงในทันที

"สงคราม" ที่รัฐใช้อาวุธร้าย "เอ็ม. 16 เอ็ม. 79 และสไนเปอร์" ณ "สมรภูมิราชประสงค์" ได้ยุติลง ด้วยชัยชนะของ "อภิสิทธิ์ และอำมาตย์" พร้อมกับการจากไปด้วยความ "พ่ายแพ้และ ความตายของชาวไพร่" ผู้มีอาวุธร้าย คือ "บั้งไฟ หนังสติ๊ก และไม้ไผ่"

สงครามระยะสั้นได้จบลงแล้ว

อภิสิทธิ์ และอำมาตย์ ชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ณ สมรภูมิที่ราชประสงค์ เหล่าลูกสมุนต่างสะใจ ไชโย โฮ่ร้อง ทั้งเหลือง เขียว น้ำเงิน ชมพู ฟ้า กับ ความพ่ายแพ้ของนักรบเสื้อแดง ที่เป็น "หญิงแก่ ๆ" และ "ชายชรา" หน้าตาชนบท ๆ อายุแต่ละคนกว่าเจ็ดสิบปี ที่ต้องเดินร้องไห้ออกจากสมรภูมิรบ "ที่อาวุธไม่เท่าเทียม" ด้วยความ "เจ็บแค้น และคราบน้ำตา"

สงครามระยะยาวยังไม่จบ !!!


"บั้งไฟ หนังสติ๊ก ไม้ไผ่" สู้กับอาวุธร้าย "สไนเปอร์ รถถัง เอ็ม.16 และ เอ็ม.79" ความตาย น้ำตา ความแค้น "ขอนแก่น อุดร อุบล โมเดล" เชียงใหม่ เชียงราย กระจ่ายไปทั่ว ทั้งกรุงทเพฯ และปริมณฑล

แม้ว่าแดงจะเผา หรือเหลืองจะใส่ร้าย หรือว่าน้ำเงินจะผสมโรงป้ายสี อะไรก็ตามเถอะ นั้นแสดงว่า "สงครามยังไม่จบ"

"ขอนแก่น อุดร อุบล โมเดล" ผู้ก่อเหตุถูกยิงถูกจับ "ตายและบาดเจ็บหลายสิบ" ถูกจับเกือบร้อย ยังพอยุติการความวุ่นวายลงได้ในเร็ววัน แต่ถ้าเป็น "สามจังหวัดชายแดนภาคใต้โมเดล" คงไม่ต้องอธิบายว่า "วิธีการคืออย่างไร" มาเกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน แล้วประเทศไทยจะอยู่กันอย่างไร ?

"ประเทศไทยโชคดีที่มีอภิสิทธิ์เป็นนายก"

ขออวยพรให้โชคดีไปตลอดเถอะนะมหาอำมาตย์ และขอให้อภิสิทธิ์ของพวกคุณ ได้เป็นนายกของประเทศไทยตลอดไปชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

นายแน่มากอภิสิทธิ์!!! @

หมายเหตุ ปกติบทความนี้จะถูกตีพิมพ์ใน คอลัมม์ "สถานีไพร่" ทางนสพ.ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 51 ประจำวันศุกร์ที่ 28 พ.ค.-3 มิ.ย.53 แต่ปรากฎตามที่เป็นข่าวแล้วว่า ไทยเรดนิวส์ ได้ถูก ศอฉ.สั่งปิดแล้ว เจ้าของบทความ (คุณเทิดไท ประชาธรรม) จึงได้ฝากมาให้กับทางกลุ่ม ได้ช่วยกระจ่ายให้กับแฟน ๆ ได้อ่านทั่วกัน ด้วยครับ 




Edit

พวกเจ้าจักอยู่อย่างไร ไม่ตายล้ม?

Edit



เกิดมาสองมือมีไม่สี่สาม 
สองตีนตามแต่น้อยไม่พลอยเพิ่ม
มีหนึ่งหัวตัวไหล่ไม่มีเติม
คนจึงเริ่มแรกร่างอย่างเดียวกัน

อันรวยจนคนสร้างบนทางแต่ง
ก่อกำแพงแบ่งชนบนเขตขั้น
คนจึงก่อต่อยศประโยชน์พัน
มีกีดกันหยันเหยียดเกียรติคนรอง 



อันอำนาจวาดใฝ่อยากได้ทั่ว
เห็นแก่ตัวต่อปล้นชนทั้งผอง
สร้างระบบกลบเกลื่อนเบือนครรลอง
ทำให้มองการเมืองเรื่องเหนือชน

ทำประชาชนทั่วให้กลัวย่อ
สร้างคำยอยกย่องตนผ่องผล
ยกตนเหนือหัวหล้าประชาชน
แล้วเวียนวนวิ่งหาตัณหามัว

จนนานวันลืมว่าค่าอำนาจ
เป็นสิทธิขาดของชนทุกคนทั่ว
ยึดเอาว่าข้าดีมีคนกลัว
จึงลืมตัวแต่งตั้งตนนั่งครอง

ทำระบบกลบภาพฉาบทาสี
ยกตนดีเหนือค่าประชาพร่อง
ยึดอำนาจวาดเมืองเป็นเครื่องครอง
พอประชาชนร้องจ้องทำลาย

ลืมว่ามือตีนหัวตัวเหมือนเขา
ลืมว่าจนรวยเราล้วนดับหาย
ลืมว่าทรัพย์นับล้านวารสุดวาย
ล้วนมลายจากอกเคยพกเอา
ตอนคนโง่โซซานไม่อ่านเขียน
กลจึงเวียนว่ายใช้ได้ผลเหมา
ภาพบัดนี้ที่เปลี่ยนคนเรียนเงา
เห็นตัวเข้าจึงขับเพลงจับกล

เจ้าทั้งหลายชายหญิงหลงหยิ่งศักดิ์
จงตระหนักใจแน่รีบแปลผล
จงรู้ว่าค่าคนเท่าทุกคน
ประชาชนชูให้จึงใหญ่แท้

หากจะคิดการใหญ่หวังได้ผล
ประชาชนคือทางช่วยถางแก้
หากทำเพื่อผองเขาใจเจ้าแล
ย่อมของแน่ชนเนื่องช่วยเปลื้องงาน

หากเจ้าอ้างทางเพื่อตนเถือแดก
จงอย่าแปลกใจปนเมื่อชนพล่าน
จงอย่าหวังดังเก่าแกล้งเมาพาล
แล้วระรานงานทั่วแก้ตัวเมา

เจ้าทำกรรมยำยีวิถีถูก
ดังเจ้าปลูกต้นเปรตในเขตเจ้า
มันจักหลอกปลอกลิ้นปลิ้นตาเอา
ตามเป็นเงาคอยกินเจ้าสิ้นร้าง

อ้างศีลธรรมนำทางวางแผนปล้น
ทางเดียวพ้นกรรมปั้นพันหัวหาง
คือเอาศีลปีนเกลียวเหลียวมองทาง
เอาธรรมวางเป็นแนวค่อยแจวคืน

เอาสิทธิประชาขาเจ้าควบ
เคยกินรวบรัดเมืองเปลื้องข่มขืน
มีทางเดียวเกลียวกลับเจ้าจับคืน
จึงจักยืนยังหัวบนตัวตาย

อันดอกฟ้าหญ้าไพรใดล้วนพึ่ง
รากหญ้าตรึงจึงช่อพอเชิดได้
หากเจ้าลืมรากหมายหวังย้ายไกล
เจ้าจักอยู่อย่างไร...ไม่ตายล้ม? 

แต่งโดยดร.เพียงดิน รักไทย    Sunday, May 30, 2010



Edit

วันใดขาดไพร่แล้ว พวกมึง จะรู้สึก

Edit




ข้าวที่หวานซ่านลิ้นเคยกินอิ่ม
ปลาที่ชิมเนื้อที่ซดปรากฎหอม
ผักที่สดมดที่นำยำจานทอง
ตึกที่สร้างทางที่ท่องต้องมือใคร

โต๊ะเก้าอี้มีใช้ที่ในบ้าน
เทพประทานให้ท่านซื้อหรือไฉน
เตียงที่นอนหมอนที่เห็นจากเอ็นใคร
ฝ้ายดอกไหนไม่ผ่านการใช้มือ

เสียภาษีมีเงินเกินหลายล้าน
กำไรท่านทำได้ไฉนหรือ
ฤามิใช่ได้ทุนต่ำคนทำมือ
ฤานั่นคือภาษีควายไร้หมายความ

น้ำพึ่งเรือเสื่อพึ่งป่าร่วมอาศัย
เป็นนายใครหากคนผอมไม่ยอมล่าม
จะนำใครไหนเล่าเขาไม่ตาม
เราถึงยามมองฉันเธอเสมอเทียม

มือปลูกข้าวเขาด้อยค่าน้อยหรือ
เปรียบมือถือปากกาทองที่ผ่องเอี่ยม
ลำแขนปูดเอ็นโป่งดำโก่งเกรียม
มีค่าเทียมกว่าแขนผ่องทองงามฤา?

จึงสมควรเห็นคนเป็นคนอย่าง
มิใช่ต่างอย่างควายคล้ายกระสือ
จึงควรรักคนไทยในฝีมือ
มิใช่ถือศักดิ์แบ่งแล้วแย่งครอง

ดร.เพียงดิน แต่งไว้เมื่อ
Thursday, June 10, 2010
Edit

"ประชาไท" ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ "Best Alternative Journalists Award" 2014

Edit






เว็บไซต์ประชาไท มีบทบาทเป็นสื่อออนไลน์แบบไม่แสวงกำไรมานานแล้ว มีชื่อเสียงในด้านรวบรวมนักคิดหัวก้าวหน้า ที่นำข้อมูลมาเผยแพร่และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างมีคุณภาพ เด่นชัดตั้งแต่หลังการรัฐประหาร จนเว็บบอร์ดของประชาไท ถูกบังคับให้ปิดตัวลงไม่นานหลังการรัฐประหาร  2549

แต่แรงกดดัน หาได้ทำให้ประชาไทหยุดทำหน้าที่ด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไม่ ประชาไท กลับขยายตัว มีข่าวด้านต่าง ๆ  ครอบคลุมประเด็นสำคัญ ๆ และยังได้เพิ่มข้อมูลข่าวภาคภาษาอังกฤษ เพื่อช่วยปิดช่องว่างเชิงข้อมูลข่าวสาร บนเวทีสากล เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนที่ถูกปิดกั้นด้วยนานาปัจจัย บทบาที่ชัดเจนที่สุดของประชาไท คือการเป็นปากเป็นเสียงให้กับเสียงที่ถูกปิดและสิทธิที่ถูกเหยียบย่ำในมุมที่ถูกซ่อนของสังคมไทย  นักโทษการเมือง นักโทษ 112 สิทธิชุมชน และข่าวเชิงสืบสวนทางการเมือง ฯลฯ ล้วนเป็นผลงานของทีมงานประชาไทที่เข้มข้นด้วยสาระ ความหลากหลาย และต่อเนื่อง และคุณภาพ ที่สามารถนำมาเป็นฐานการทำความเข้าใจปัญหาสังคมได้อย่างดี และสามารถนำไปใช้ต่อยอดสำหรับผู้ที่จริงจังกับการสืบค้นข้อมูลด้วย

ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ด้วยมติเอกฉันท์ จึงขอมอบรางวัล 2014 Best Alternative Journalists Award ให้กับทีมงานเว็บไซต์ ประชาไท ด้วยความชื่นชมและขอบคุณ และขอให้ทุกท่านที่เกี่ยวข้อง จงมีความสุขความเจริญ มีพลังกาย พลังใจ ในการทำหน้าที่ของท่านต่อไป

ในการนี้ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในยุครัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเลขาธิการองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ท่านจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เป็นผู้ให้เกียรติมอบรางวัล และคุณจอม เพชรประดับ เป็นตัวแทนประชาไท รับมอบประกาศเกียรติคุณครั้งนี้

ขอขอบคุณทุกท่านที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง มา ณ​ ที่นี้ด้วย

ประกาศ ณ​ วันที่  23 มีนาคม  2558

ดร.เพียงดิน รักไทย
ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง
ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน



Edit

เจ้าพ่อระดับสนธิ ลิ้มฯ เหมือนจะยอมรับสภาพ ว่าเคยอ้างว่ากู้ชาติสำเร็จนั้น วันนี้ ต้องกู้ตัวเองให้รอดซะแล้ว

Edit



 

เจ้าพ่อวงการสื่อและวงต่อรองอำนาจระดับสนธิ ลิ้มฯ เหมือนจะยอมรับสภาพ ว่าเคยอ้างว่ากู้ชาติสำเร็จนั้น วันนี้ ต้องกู้ตัวเองให้รอดซะแล้ว ดูน่าหดหู่อย่างยิ่ง  แต่กลับกลายเป็นดี เพราะลิ้มฯ ที่ตกมาเดินบนดินนั่นแหละ จะกัดดะ แฉแหลก และอาจจะได้สำนึกมาทำงานเพื่อกู้ชาติจริง ๆ ซะที  (แสดงว่า เดิมตอนออกมานำทัพไล่ดร.ทักษิณนั้น เป็นการทำลายชาติ ไม่ใช่กู้ชาติ)


Edit

พุทธอิสระ ท้าไปทั่ว รายล่าสุดพระมหาโช และธรรมกาย (แต่ที่อดีตพระเกษมท้าดวลธรรม ไม่ยักยอมสู้ ธ่อ...ไอ้ของเก๊...บ่?)

Edit
งานนี้ สงสัยเจอของจริงแล้วล่ะ พุทธอิสระ





พุทธอิสระ ท้าไปทั่ว รายล่าสุดพระมหาโช   (แต่ที่อดีตพระเกษมท้าดวลธรรม ไม่ยักยอมสู้ ธ่อ...ไอ้ของเก๊...บ่?)





Edit

เอาอีกแล้ว ประยุทธ์... ขู่ใช้อำนาจลุยสื่อ สงสัยกินยาคุมย้อนศร ม๊างงง...

Edit
"บิ๊กตู่" ฉุนควันออกหู ด่ากราดสื่อ "ลั่น" จากนี้จะเข้าตรวจสอบหากสื่อใดสร้างความแตกแยก



เอาอีกแล้ว ประยุทธ์... ขู่ใช้อำนาจลุยสื่อ  สงสัยกินยาคุมย้อนศร ม๊างงง...
https://www.youtube.com/watch?v=p9v6KY7DQ2g



Edit

ประเทศไหนมีรัฐบาล ที่ดีที่สุดในโลก?

Edit


จากข้อมูลของ World Bank เมื่อสามปีที่แล้ว ประเทศที่มีรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพที่สุด เป็นประเทศที่อยู่ในโลกพัฒนาแล้วแทบทั้งสิ้น และระดับบนสุด มีสิงค์โปร์ ซึ่งเพิ่งสูญเสียผุ้นำที่ยิ่งใหญ่ นายลี กวน ยู ไปไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ติดอันดับสองของโลก ตามหลังฟินแลนด์  ส่วนสหรัฐอเมริกา ติดอันดับ 19  สิ่งที่น่าสังเกตุ คือ ประเทศที่มีขนาดพลเมืองเล็กในยุดรป จะสามารถจัดการและสร้างประสิทธิภาพได้ดีกว่า และติดอันดับสูงกว่า (ดูจากสิบอันดับแรก) 

ส่วนพี่ไทยเรา ที่มีทรัพยากรล้นแผ่นดิน มีคนที่สามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้ดีมาก ๆ หากมีการพัฒนาและช่วยเหลือ และมีอะไรดี ๆ เป็นทุนอีกมากมาย แต่คุณภาพชีวิตกลับแย่ลงจนน่าใจหาย ทั้งนี้ก็น่าจะมาจากการที่รัฐบาลทำงานเต็มที่ไม่ได้ เพราะจะไปขัดใจมาเฟียประจำราชอาณาจักรเขาเข้านะสิ... อิ ๆ  เรื่องอันดับ คงไม่ต้องไปค้นกระมังครับ  โดยเฉพาะหากเอารัฐบาลประยุทธ์ในพระบรมราชูปถัมภ์  ..... เหอ ๆ  ๆ 









Edit

ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ (รีพับลิกัน) ดร. เบน คาร์สัน...???

Edit


ผมรู้จัก ดร.เบน คาร์สัน เมื่อสี่ห้าปีนี้เอง โดยเห็นประวัติของท่าน จากการค้นหาแรงจูงใจให้นักศึกษา แล้วไปพบบทสัมภาษณ์ท่านเกี่ยวกับหนังสือ ที่อธิบายชีวิตและผลงานของดร.ที่เป็นหมดผ่าตัดสมองที่เก่งมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ตอนเด็ก เรียนแย่ชนิดที่คนดูถูกทั้งโรงเรียน ครอบครัวก็แตกแยก  แต่สามารถค้นพบตัวเอง แล้วผันไปเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งระดับเทพ อายุแค่สามสิบกว่า ก็ได้เป็นผุ้อำนวยการแผนกในโรงพยาบาลมีชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกา

การพูดในคลิปข้างบน ตอนนั้น ดร.คาร์สันยังไม่ได้คิดจะเข้าการเมืองแบบเลือกข้าง คือปฏิเสธทั้งเดโมแครต และรีพับลิกัน  หลังเทศนาที่เล่นเอาประธานาธิบดีโอบาม่าหน้าชาไปหลายตอน  เขาก็ได้รับการทาบทามจากทางฝั่งรีพับลิกัน เพื่อให้เข้ามาแข่งกับฮิลารี่ (แต่อาจจะเป็นคนอื่นได้)  ดร.ท่านนี้ ฉลาด แหลมคม ตรงประเด็น และกล้าท้าทายสังคม  ผมไม่ได้เห็นด้วยกับแนวคิดหลายเรื่อง แต่ก็เห็นว่า เป็นคนที่ยังใส กล้าพูดเพราะยังไม่ถูกรังสีการเมืองกระทบมาก

อยากให้จับตาดูนายแพทย์ท่านนี้ แล้วศึกษาประวัติท่านดู ไม่ธรรมดาจริง ๆ ครับ
ไม่ธรรมดา เพราะมันเป็นภาพลักษณ์ที่นักการเมืองที่ช่ำชองและอยู่นานอย่างฮิลารี่ ซึ่งมีแผลเยอะ
ต้องกลัว เพราะมันเป็นสิ่งที่สังคมกำลังโหยหาซะด้วย แถมดร.ท่านนี้ พูดเก่งชนิดไม่ธรรมดาเลย

การเข้ามาของดร.ท่านนี้ จะทำให้ภาพอนุรักษ์นิยมของอเมริกันที่ชอบ รีพับลิกัน อ่อนลง soft ลง
และอาจจะทำให้คนกลาง ๆ หลายคนหันมาเลือกรีพับลิกัน

จับตาดูกันต่อไป จากนี้ไป คุณหมอท่านนี้ จะต้องอยู่ในสายตาของชาวโลก อย่างน้อยก็คงถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดี และหากเขาประคองตัวและทำได้ดี เราอาจจะได้เห็นประธานาธิบดีคนผิวสีสองคนติดต่อกัน แค่อยู่กันคนละฝั่งเท่านั้นเอง
ในเดือนพฤศจิกายน ปีหน้านี้




Edit

Bondi Beach, Antisemitism และโลกตะวันตกที่ยืนอยู่บนทางแยก

บทวิเคราะห์เชิงหลักการ • ...