Wednesday, March 16, 2016

ผลพวงที่อำมาตย์ทหาร ได้เกาะกินประเทศมาอย่างยาวนาน

โจทย์ของประเทศในวันนี้ 

-
อันเป็นผลพวงจากอดีต ที่อำมาตย์ทหารได้เกาะกินประเทศมาอย่างยาวนาน

-
(1) ด้านเศรษฐกิจที่มีโครงสร้างไม่รองรับการพัฒนาของโลกพึ่งพาปัจจัยภายนอกประเทศ และประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตรโดยปราศจากการเสริมสร้างความเข้มแข็ง 

-
- แม้ รัฐบาลทรราช คสช. ก็ปล่อยให้ชาวนา ต้องเผชิญชะตากรรมด้วยตัวเอง และกันน้ำไว้ให้ ธุรกิจ ของ นายทุนอำมาตย์สามาลย์ ทั้งอาบอบนวด สนามกอล์ฟ และ โรงแรม อีกทั้งธุรกิจน้ำเมา

-
(2) ด้านสังคมที่มีแต่ความเหลื่อมล้ำในทุก ๆ ด้าน 

-
- หากเรามอง ค่าแรงของคนปกติทั่วประเทศ ได้ค่าแรงวันละ 300 แต่กลับ อำมาตย์ทรราช คสช. ได้เบี้ยประชุมวันละ 9 พันบาทต่อวัน ความเหลื่อมล้ำ ที่พอสรูปได้ มีความแตกต่างกัน กว่า 70 เท่าโดยมวลรวม

-
(3) ด้านการเมืองที่มอมเมาและลวงตาประชาชน ทั้ง "ตาบอดสี" ไม่เห็นสีอื่น เห็นแต่สีตนทั้ง ๆ ที่ทุกคนเป็นสี "ธงไตรรงค์" เหมือนกัน กลับสาดสี แบ่งแยกแบบผิด ๆ อีกทั้ง "สายตาสั้น" มองความสุขเพียงอายุรัฐบาล ถูกกล่อมขายฝัน รอกลับมาเป็นรัฐบาลใหม่ ไม่ยั่งยืน "ยื่นปลา ไม่ยื่นเบ็ด ไม่สอนวิธีหาปลา"

-
- รัฐบาล ทรราช คสช.ไม่ใช่แค่ไม่สอนวิธีหาปลา แต่กลับ หักเบ็ด ที่ เพื่อไทยได้ให้ไว้ ทั้งใช่ความ อยุติธรรม แบ่งสี หากเป็นฝั่งสีเหลือง หรือ แมงสาป และ กปปส. ทำอะไรไม่เคยถูก ดำเนินคดี ทั้ง การยึด สนามบิน ยึด สถานที่ราชการ ขัดขวางการเลือกตั้ง และ ยิงประชาชน ตายกว่า 99 ศพ ในราชประสงค์ 

-
ผู้นำ ทรราช คสช. บ่นปัญหาเวลานี้คือ ประชาชนไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ทรราช คสช . สาเหตุเพราะ 

-
หาก แนวทางประชารัฐที่รัฐบาลทรราช คสช.นำเสนอ จะเป็นการปฏิรูป ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมทั้งส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น

-
"ประชาชนไม่ได้เป็นศูนย์กลาง" แม้ว่าประชาชนจะเป็นเจ้าของประเทศ 

-
รัฐบาลทรราช คสช. ยัดเยียด "ความ อยุติธรรมจากภายใน" และอาศัยอำนาจ ม.44 ตัดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ด้วยเทคนิค ด้วยการเอาปืนจี้ 

-
"ความรู้ รัก สามัคคี" ของคนในสังคม ตั้งแต่ระดับฐานราก แบ่งแยก สี อย่างชัดเจน
เพราะ รัฐบาล ทรราช คสช. ไม่เคยฟังเสียงของประชาชน เลย ตลอดระยะเวลาที่ยึดครองอำนาจ 
-

การกระทำของ รัฐบาล ทรราช คสช. ไม่ใช่แค่ไม่ฟังเสียงของประชาชนเท่านั้น หากแต่ ประชาชน คนใหน ออกมาพูด ถึงความ อยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม หรือ พูดถึงความ ล้มเหลวของ รัฐบาล ทรราช คสช. ก็จะถูก ปรับทัศนคติ จนประชาชน บางคนถูก ปรับทัศนคติ ซ้ำๆ กว่า 4 - 5 ครั้ง 

-
" ผมเชื่ออย่าง บริสุทธ์ใจว่า งาช้างไม่เคยงอกออกจากปากสุนัขฉันใด ประชาธิปไตยก็ไม่เคยได้จากการปกครองของ ทรราช ฉันนั้น "

-
เสรีชน


ฮูโก ชาเวส โดย อ. ใจ อึ๊งภากรณ์

ฮูโก ชาเวส

ใจ อึ๊งภากรณ์

ฮูโก ชาเวส ซึ่งพึ่งเสียชีวิตไป ประกาศตัวเป็น "นักสังคมนิยม" แต่เราต้องประเมินว่าเขาสร้างพรรค และสามารถปลุกระดมให้ประชาชนยึดอำนาจ เพื่อปกครองตนเองและเป็นใหญ่ในแผ่นดินแค่ไหน อย่างไรก็ตามเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นผู้นำที่ให้ความหวังมากมายกับคนจนในลาตินอเมริกาและที่อื่น

ต้นกำเนิดของรัฐบาล ฮูโก ชาเวส

     เวเนสเวลา เป็นประเทศในลาตินอเมริกาที่ร่ำรวยเพราะมีน้ำมัน แต่ในอดีตผลประโยชน์ตกอยู่กับอำมาตย์อภิสิทธิ์ชนไม่กี่คน โดยมีการเอาใจกรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจน้ำมัน ซึ่งได้ส่วนแบ่งบ้าง รัฐวิสาหกิจน้ำมันนี้เดิมเสมือน "รัฐอิสระ" ที่ให้ประโยชน์กับคนส่วนน้อย โดยเกือบจะไม่จ่ายเงินเข้าคลังของรัฐเลย นอกจากนี้มีการ "จัดการ" ระบบเลือกตั้งให้พรรคของพวกอภิสิทธิ์ชนชนะเสมอ และสื่อทั้งหมดอยู่ในมือของกลุ่มนายทุนผู้มีอำนาจอีกด้วย ผลคือประชาชนที่เหลือยากจนและอาศัยอยู่ในสลัม 

     พอถึงปี ค.ศ.1989 ประชาชนทนไม่ไหว มีการลุกฮือครั้งใหญ่ในเมืองหลวง คาราคัส เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งเหตุการณ์นี้เรียกว่า "การลุกฮือ คาราคาโซ (Caracazo)" ปรากฏว่ารัฐบาลอำมาตย์ฆ่าประชาชนตาย 2000 คนเพื่อปราบปรามอย่างเลือดเย็น

     ฮูโก ชาเวส เป็นสมาชิกกลุ่มนายทหารหนุ่มที่ไม่พอใจกับระบบการปกครองของอำมาตย์ พวกเขาต้องการพัฒนาสังคมและการนำรายได้จากน้ำมันมาสร้างความเป็นธรรม เขามองด้วยว่าจักรวรรดินิยมสหรัฐมีอิทธิพลในประเทศเขามากเกินไป ในปี1992 ชาเวส จึงพยายามทำรัฐประหารล้มรัฐบาล แต่ไม่สำเร็จ เลยติดคุกสองปี แต่ประชาชนที่เจ็บปวดจากการปราบปรามของรัฐบาลในปี 1989 หันมาสนใจ ชาเวส

     ในปี1998 ชาเวสลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และชนะด้วย 58% ของคะแนนทั้งหมด หนึ่งปีหลังจากนั้น เขาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มีกลไกตรวจสอบนักการเมือง มีการเพิ่มงบประมาณรัฐให้โรงเรียนและลดบทบาทสถาบันศาสนาคริสต์ที่เคยสนับสนุนอำมาตย์ สตรีมีสิทธิเลือกทำแท้ง มีมาตราเพื่อปฏิรูปสื่อและปฏิรูปอุตสาหกรรมน้ำมัน ปรากฏว่า 71% ของประชาชนสนับสนุนรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับนี้

     ต่อมาในปี 2000 ชาเวส ชนะการเลือกตั้งอีกรอบด้วยคะแนน 59% คราวนี้มีการออกกฎหมายเพื่อบังคับเพิ่มเงินที่บริษัทน้ำมันต้องจ่ายให้รัฐ และมีการนำเงินนี้มาเพิ่มงบประมาณการศึกษาและสาธารณสุขสำหรับประชาชน  มีการปฏิรูปที่ดินด้วย

     อย่างไรก็ตาม ในปี 2002 ทหารฝ่ายขวาทำรัฐประหาร โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ และ ชาเวส ถูกจับเข้าคุก ไม่มีใครในกองทัพช่วยแม้แต่เพื่อนเก่าก็ไม่ทำอะไร แต่เมื่อประชาชนคนจนออกมาต่อต้านเผด็จการบนท้องถนนเป็นแสน รัฐประหารฝ่ายขวาก็ล้มเหลวและ ชาเวส ถูกปล่อยตัว จึงกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง เราจะเห็นได้ชัดว่าพลังมวลชนเป็นเรื่องชี้ขาด

     ในปี 2004 ชาเวส จัดให้มีประชามติเพื่อดูว่าประชาชนอยากให้เขาดำรงตำแหน่งต่อจนครบวาระหรือไม่ ตามกติกาใหม่ที่เขาเคยเสนอเพื่อให้ประธานาธิบดีต้องฟังเสียงประชาชน ชาเวส ชนะด้วยเสียง 58.3% และในการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2006 ก็ชนะอีกด้วยเสียง 62% ล่าสุดชาเวสชนะการเลือกตั้งในปี 2012 ด้วยคะแนน 55%

ปัญหาของรัฐ

     ปัญหาใหญ่สำหรับ ชาเวส และประชาชน เวเนสเวลา คือถึงแม้ว่า ชาเวส จะได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ในประเทศซึ่งเป็นคนจน และมวลชนพร้อมจะออกมาปกป้องเขา แต่โครงสร้างรัฐอำมาตย์เก่ายังอยู่ และพยายามทุกวิธีที่จะคัดค้านนโยบายรัฐบาล นอกจากนี้นายทุนฝ่ายค้านก็คุมสื่อส่วนใหญ่ นอกจากสื่อของรัฐบาลเอง และมีการประโคมข่าวเท็จด่ารัฐบาลอย่างต่อเนื่อง

     ในระดับหนึ่ง ชาเวส พยายามสร้างรัฐใหม่คู่ขนานกับรัฐเก่า เช่น มีการสร้างสภาชุมชนที่ประกอบไปด้วยคนรากหญ้า มีธนาคารชุมชนเพื่อเน้นการลงทุนสำหรับคนจน มีการตั้งสหภาพแรงงานใหม่ที่ไม่สนับสนุนอำมาตย์ และในบางสถานที่มีการทดลองให้กรรมกรคุมการผลิตเอง ทั้งหมดนี้เพื่อจะลดการพึ่งพาอาศัยข้าราชการและกลุ่มอำนาจเก่า แต่ในขณะเดียวกันไม่ได้รื้อถอนรัฐเก่าอย่างเป็นระบบเลย

     ยิ่งกว่านั้น ชาเวส มองว่าเผด็จการ "คอมมิวนิสต์" ของ คิวบา เป็นแม่แบบในการสร้างสังคมใหม่ ซึ่งในรูปธรรมหมายความว่า ชาเวส จะเน้นการนำพรรคพวกของเขาเข้าไปเป็นข้าราชการในโครงสร้างรัฐเก่า แทนที่จะเน้นพลังมวลชนในการรื้อถอนทำลายรัฐเก่าและสร้างรัฐใหม่ และข้าราชการหลายคนของชาเวส กลายเป็นคนโกงกินที่ประชาชนตรวจสอบไม่ได้ ช่วงนี้ ชาเวส สร้างพรรคสังคมนิยมของตนเองขึ้นมา และกลายเป็นพรรคมวลชน แต่คำถามสำคัญคือ ชาเวส สร้างพรรคนี้เพื่อผลักดันการปฏิวัติมวลชน หรือเพื่อควบคุมมวลชนกันแน่?

     การทำการปฏิวัติสังคมแค่ครึ่งทาง โดยไม่ทำลายรัฐเก่า และไม่ยึดปัจจัยการผลิตทั้งหมดจากนายทุนเพื่อให้ประชาชนบริหารเอง มีปัญหามากและอันตราย  เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่มีอำนาจเต็มที่ ในการบริหารประเทศ และไม่สามารถพัฒนาสภาพชีวิตของคนจนได้ตามความต้องการของประชาชน นอกจากนี้การแปรรูปสถานประกอบการต่างๆ เพื่อให้มีการบริหารเองโดยคนงาน ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ผ่านการออกกฏหมายอย่างเดียว ต้องมีการปลุกระดมมวลชนให้กระตือรือร้น และต้องมีการยึดสถานที่ทำงานโดยมวลชนกรรมาชีพเอง ผลของการทำการปฏิวัติครึ่งทางคือ เริ่มมีคนจนที่ผิดหวังกับผลงานของ ชาเวส และในเดือนธันวาคม 2007ชาเวสแพ้ประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ก้าวหน้ามากขึ้น อันนี้น่าจะเป็นสัญญาณเตือนภัย

     ชาเวส ประกาศว่าตนเองเป็นผู้นำที่ต่อต้านจักรวรรดินิยมตะวันตก ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่ในการต่อต้านจักรวรรดินิยม เขาไปจับมือกับเผด็จการใน คิวบา และ อิหร่าน ซึ่งเกลียดสหรัฐ และเคยชม กาดาฟี่ ในลิบเบีย อีกด้วย แต่ถ้าจะมีการปลดแอกประชาชนภายใน เวนเนสเวลา ก็ต้องสนับสนุนประชาชนที่กำลังสู้กับเผด็จการทั่วโลก

     ฝ่ายซ้ายหลายกลุ่มใน เวเนสเวลา เช่นกลุ่ม "ต่อสู้ชนชั้น" และกลุ่ม Por Nuestras Luchas (กลุ่ม "โดยการต่อสู้ของเราเอง") เสนอว่าต้องมีการปลุกระดมมวลชนชั้นล่าง กรรมกร เกษตรกร และคนพื้นเมือง เพื่อปฏิวัติอย่างถาวร และเขามองว่าต้องปฏิวัติภายในกระแสที่สนับสนุน ชาเวส

     หลังจากที่ ชาเวส จากโลกนี้ไป เครื่องชี้วัดว่าเขาเปลี่ยนสังคมเวนเนสเวลาได้อย่างจริงจังหรือไม่ คือความสามารถของมวลชนและพรรคสังคมนิยมที่จะนำการเมืองต่อไป และสร้างสังคมใหม่ โดยไม่พึ่งพาวีรบุรุษคนเดียว


-- 
ใจ อึ๊งภากรณ์
+44(0)7817034432
http://redthaisocialist.com/ 

กษัตริย์ไทยไม่เคยยิ้ม ตอน 29 เราสู้กับใคร???

กษัตริย์ไทยไม่เคยยิ้ม ตอน 29 เราสู้กับใคร???

https://youtu.be/bUzaxbwR-Ws

หรือ

https://youtu.be/z8RC-eMpEFo

หรือ

https://youtu.be/rSjuX50YJ8s

----------------------

อย่าลืมกด Subscribe เพื่อติดตามคลิปใหม่ ๆ ด้วยนะครับ

 

สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน

ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้

http://tinyurl.com/o2rzao8

หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

Tuesday, March 15, 2016

เขาได้อะไร .... ?

ร่วมมือกันขับไล่ทรราช คสช.

ศาลเป็นของใคร ?

ศาลเป็นของใคร ? ( แทนของเดิมที่ถูกปิด)
อ.หวาน คุยกับลุงสนามหลวง เรื่องความเป็นมาของตุลาการไทย
ที่กลายมาเป็นตุลาการโจรของระบอบภูมิพล

ไอ้ทรราช ประยุทธ์ นี้ไง กูงัดมาให้มึงเห็น เรื่องที่ ทหารทรราช โกงแผ่นดิน

ไอ้ทรราช  ประยุทธ์ นี้ไง กูงัดมาให้มึงเห็น เรื่องที่ ทหารทรราช โกงแผ่นดิน

----------------------

อำมาตย์ ทรราช เกลียดคนโกงจริงหรือ?))))))

ทหารทรราช โกงกินเงินงบประมาณตลอดมี จนถึงปัจจุบัน 

กลิ่นเหม็นรถถัง "ยูเครน" ... คำถามใหญ่ที่กองทัพต้องตอบ



  "ประพันธ์ คูณมี"แฉ! รถถังยูเครน7,200 ล้านใช้เครื่องยนต์เรือ ท้าผบ.ทบ.ถ้าดีจริงโปรดเอามาวิ่งโชว์ - 



ข่าว ผบ ทบ  ประยุทธ์ จันทรโอชา  GT200 ใช้งานได้........หากเชื่อมั่น...(ถุย)




CNN แฉ GT200 ที่ทหารทรราช คสช.ไทยใช้ ลวงโลก



สัสเสธ.ไก่อู .สรรเสริญ  เหี้ยกำเนิด  ยืนยัน GT200 ใช้งานได้จริง "ไอ้สัส กูฮา"




2010 02 16 CH3 GT200ผลสอบ หมอพรทิพย์หน้าแหก ยันใช้ต่อแม้ไม่เป็นวิทยาศาสตร์



อย่างฮากับความเห็นโ่ง่ๆ เรื่องGT200  ของ99 ศพ   ฆาตกรอภิสิทธิ์



------------------------------------



ไล่ลำดับเหตุการณ์ เรือเหาะ..

       10 มี.ค.52 - คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบอนุมัติงบประมาณจำนวน 350 ล้านบาท จัดหาระบบเรือเหาะตรวจการณ์ เพื่อใช้ในงภารกิจตรวจการณ์ทางอากาศของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) หนึ่งในยุทธการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ งบประมาณ 350 ล้านบาท แบ่งออกเป็นตัวเรือบอลลูนจำนวน 260 ล้านบาท, กล้องส่องกลางวันและกลางคืน จำนวน 70 ล้านบาท และอุปกรณ์สื่อสารภาคพื้นดินอีก 20 ล้านบาท ทั้งหมดรวมเป็นระบบเรือเหาะ 1 ชุด
-
       
       ในเดือนเดียวกัน หลังถูกหลายฝ่ายวิจารณ์การจัดซื้ออย่างหนัก ทั้งเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานและความปลอดภัยซึ่งอาจถูกยิงตกได้ ด้านโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็ออกมาชี้แจงต่อสาธารณะถึงความจำเป็นในการจัดซื้อระบบเรือเหาะตรวจการณ์ พร้อมกล่าวยืนยันว่าเรือเหาะบินได้สูงกว่าระยะยิงภาคพื้นดิน
       
-
       เม.ษ. 52 - กองทัพบก ดำเนินการทำสัญญาจัดซื้อเรือเหาะจาก บริษัทเอเรีย อินเตอร์เนชันแนล คูเปอเรชัน
       
-
        ธ.ค. 52 - เรือเหาะ ถูกส่งเข้าประจำการ ภายในโรงจอดหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี กองพลทหารราบที่ 15 อย่างเป็นทางการ ครั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
    
-   
       ม.ค. 53 - ฤกษ์งามยามดี กองทัพกำหนดให้เป็นวันเริ่มแรกของการนำเรือเหาะขึ้นปฏิบัติการ แต่กลับประสบปัญหาทางเทคนิคส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ ในส่วนของการลงนามรับมอบสินค้าจากบริษัทผู้ผลิตก็เลื่อนออกไป
    
-   
        มี.ค. 53 - ทางคณะกรรมการตรวจรับเรือเหาะ กองทัพบก จัดการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานเรือเหาะเป็นการภายใน โดยไม่อนุญาติให้สื่อมวลชนเข้าทำข่าว ในส่วนผลการทดสอบพบปัญหาหลายประการ ทั้งกล้องและตัวบอลลูน อย่างคุณสมบัติที่ระบุเอาไว้ว่าบินได้สูง3,000 เมตร การทดสอบกลับทำได้เพียง 1,000 เมตร เท่านั้น แน่นอนว่าไม่พ้นระยะยิงจากพื้นดิน
    
-   
       เดือนเดียวกัน ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงษ์ ลงพื้นที่เพื่อร่วมตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบเรือเหาะอีกครั้ง หลังประสบปัญหามากมาย แต่ก็ยืนยันว่าระบบรวมยังใช้งานได้ดี
  
-     
        มิ.ย. 53 - รองเจ้ากรมส่งกำลังบำรุงทหารบก แถลงข่าวชี้แจ้งกรณีโครงการจัดซื้อระบบเรือเหาะตรวจการณ์ในทุกประเด็น อย่างเรื่อง ที่เพดานบินที่ทำได้สูง เพียง 1,000 เมตร จากสเปก 3,000 เมตร ก็ได้อธิบายว่าความสูงที่ 3,000 เมตรจะเป็นเฉพาะเรือเหาะเปล่าๆ ที่นี้เมื่อติดกล้อง และมีเจ้าหน้าขึ้นไปเลยบินต่ำลงเป็นเรื่องธรรมดา
      
        ก.ค. 53 - ระบบเรือเหาะทั้งระบบ ถูกลงนามรับมอบโดย คณะกรรมการตรวจรับฯ เป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางคำถามที่ยังคาใจหลายฝ่าย
 
-      
        ส.ค. 53 - เป็นประเด็นร้อนในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2554 ส.ส. ฝ่ายค้านอภิปรายโจมตีการจัดซื้อระบบเรือเหาะตรวจการณ์ ทั้งทำสัญญาโดยไม่ผ่านการพิจารณาของสำนักอัยการสูงสุด ทั้งยังเบิกงบฯ ครบตามจำนวนโดยไม่มีการขอให้บริษัทคู่สัญญานำสินค้าตัวอย่างมาให้ทดลองใช้งาน ท้ายที่สุดระบบเรือเหาะก็ไร้ประสิทธิภาพไม่สามารถใช้งานได้
   
-    
        ก.ย. 53 - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นผบ.ทบ. หลัง พล.อ. อนุพงษ์ เกษียณอายุราชการ
    
-   
        ก.พ. 54 - หลังมีกระแสข่าวการเปลี่ยนผ้าใบที่รั่วซึมจากบริษัทผู้ผลิต ทางกองทัพบกทดลองนำเรือเหาะขึ้นบินเพื่อทดสอบอีกครั้ง
   
-    
       มี.ค. 54 - ตรวจความพร้อมเรือเหาะก่อนใช้งานจริง ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประยุทธ์
   
-    
       ก.ค. 54 - กองทัพบกใช้งบประมาณกว่า 25 ล้านบาท เติมก๊าซฮีเลี่ยมเพื่อให้เรือเหาะไม่เสื่อมสภาพไปกว่าเดิม
    
-   
        ก.พ. 55 - มีการนำเรือเหาะลอยขึ้นทดสอบระบบสัญญาณ หลังปรับแก้ไขอุปกรณ์บางส่วนเสร็จสิ้น ลอยสูงประมาณ 500 เมตร ใช้เวลา 2 ชั่วโมง
       
       ก.ย. 55 - พล.อ.ประยุทธ์ ผลักดันให้เรือเหาะใช้งานได้จริงเสียที ด้านกองทัพบกทำสัญญาว่าจ้าง บริษัท เวิลด์วาย แอร์โรว์ คอร์ป และ บริษัท เอ็มแลนดาร์ช จำกัด เพื่อให้ซ่อมแซมแก้ไขให้เรือเหาะลำนี้ใช้งานได้ ใช้งบประมาณจ้างรวมกว่า 50 ล้าน
      
       ล่วงเวลาไปกว่า 4 ปี ก็ไม่รู้ว่าการดำเนินการแก้ไขในครั้งนี้จะลุล่วงไปด้วยดีหรือไม่
       
-
       350 ล้านบาท(++) ซื้อยุทโธปกรณ์เพื่อใคร?
-
       อย่างที่แจงแจงไว้ข้างต้น ครั้นถึงเวลาทดสอบการปฏิบัติการครั้งแรกเรือเหาะก็พบปัญหาทางเทคนิค ต่อมาก็ไม่สามารถเหินขึ้นท้องฟ้าได้ดังคุณสมบัติที่ระบุเอาไว้ บินได้สูงเพียง 1,000 เมตร จากสเปก 3,000 เมตร จนเกิดการวิจารณ์ว่าแบบนี้ถ้าเอาไปใช้งานในพื้นที่ชายแดนใต้คงตกเป็นเป้านิ่งแน่นอน งานนี้เลยจอดแน่นิ่งที่ โรงเก็บ จ.ปัตตานี แถมผลาญค่าก๊าซฮีเลี่ยมอีกเดือนละ 2-3 แสนบาท เพื่อคงสภาพกันรั่วเอาไว้
       
-
       พอเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สมัย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้บัญชาการทหารบก เมื่อปลายปี 2553 ก็มีการเทงบประมาณจัดซ่อมเรือเหาะตรวจการณ์อย่างเรื่อยมา ล่าสุด กองทัพบก ก็ได้ทำสัญญาว่าจ้าง บริษัทต่างชาติเข้ามาซ่อมแซมแก้ไขให้เรือเหาะลำนี้ใช้งานได้ มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท
       
-
       ซึ่งก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันออกมาอีกเพราะเรือเหาะมีอาการไม่ปกติตั้งแต่การส่งมอบของบริษัทเอเรีย อินเตอร์เนชันแนลฯ แล้ว อีกทั้งตอนเสียหายก็ยังอยู่ในประกัน ทำไมไม่เรียกร้องให้ทางบริษัทเป็นผู้รับผิดชอบ
       
-
       จากการค้นข้อมูลเก่าปรากฏชัดถึงข้อถกเถียงในหลายกรณีสำหรับการนำระบบเรือเหาะเข้ามาใช้ในการทหารชายแดนใต้ตั้งแต่ก่อน ครม. จะอนุมัติโครงการ บ้างให้เหตุผลว่าเรือเหาะตรวจการณ์ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่มั่นใจว่าประสิทธิภาพของมันจะควบคุมหรือเหมาะสมกับสถานการณ์ในชายแดนใต้ได้หรือไม่
     
-
  
       หรือในเรื่องการตั้งข้อสังเกตในเรื่องราคาจัดซื้อ 360 ล้านที่แพงหูฉี่ ถูกเปรียบเทียบกับเรือเหาะของบริษัทแอร์ชิป เอเซีย เฉพาะตัวบอลลูน ราคาเพียง 30-35 ล้านบาท ทั้งๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงกับเรือเหาะ สกาย ดรากอน แต่ราคาสูงถึง 260 ล้านบาท



            ~~~~~~~~~~~~


ฟ้องครม.-บิ๊กป้อม-ป๊อกเอี่ยวรถหุ้มเกราะฯฉาว

ASTVผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553          ASTVผู้จัดการรายวัน - ฟ้องกราวรูด ครม.กลาโหม-บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก ปลัดกลาโหม เจ้ากรมสรรพาวุธทัพบก พัวพันโครงการจัดซื้อรถหุ้มเกราะยูเครนฉาว ร้องเพิกถอนข้อสัญญาผูกพันและคำสั่งอนุมัติแผนจัดซื้อ
-

          ในที่สุดโครงการจัดซื้อรถหุ้มเกราะจากประเทศยูเครนของกองทัพบกที่มีปัญหายืดเยื้อเรื้อรัง ก็ถูกนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อหาข้อยุติโดยกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ผู้ฟ้องคดี ได้มอบอำนาจให้ ว่าที่ ร.ต.เจษฎากรณ์ คุณคำเท็ญเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่6 ก.ย. 2553 และยื่นคำฟ้องเพิ่มเติมในวันที่ 9 ก.ย. 2553 โดยมีผู้ถูกฟ้องคดีรวม 11 ราย ประกอบด้วย 1) คณะรัฐมนตรี 2) กระทรวงกลาโหม 3)รมว.กระทรวงกลาโหม 4) กองทัพบก 5)ผู้บัญชาการทหารบก 6) คณะทำงานคัดเลือกแบบยานเกราะล้อยาง (จำนวน 16 คน) 7) คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์กองทัพบก(จำนวน 19 คน) 8) กรมสรรพาวุธทหารบก 9)เจ้ากรมสรรพาวุธ 10) ปลัดกระทรวงกลาโหม11) สำนักงบประมาณกระทรวงกลาโหม

-
          คดีนี้ ผู้ฟ้องกล่าวหาผู้ถูกฟ้องว่าเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายและละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ กระทำการไม่สุจริต ขัดต่อกฎหมายกฎ คำสั่ง ระเบียบ เกี่ยวกับการจัดซื้อยานเกราะล้อยางเข้าประจำการในกองทัพบก โดยคณะกรรมการคณะทำงานคัดเลือกแบบยานเกราะล้อยางได้เอื้อประโยชน์ให้บริษัทUKRSPETSEXPORT จำกัด และบริษัท เอ็นจีวีเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้ประสานงานตัวแทนประเทศยูเครน เข้าเสนอข้อมูลภายหลังกำหนดการปิดรับตามประกาศเชิญชวนคัดเลือกแบบยานเกราะฯ และได้รับคัดเลือกเป็นผู้ชนะการประกวดราคาโดยผิดเงื่อนไขทั้งการไม่มายื่นเอกสารข้อมูลตามวันเวลาที่กำหนด และยานเกราะของยูเครน ไม่ผ่านคุณลักษณะทั่วไป

-
          นอกจากนั้น การเสนอราคาของบริษัทในขั้นตอนคัดเลือกแบบแตกต่างราคาที่ตกลงซื้อขายกันจริงโดยมีราคาแพงขึ้น อีกทั้งประเทศไทยและประเทศยูเครนไม่มีข้อตกลงความร่วมมือทางด้านการทหารกับกองทัพบกไทยจึงไม่สามารถจัดซื้อยุทโธปกรณ์จากยูเครนได้

-
          ยานเกราะล้อยางที่ยูเครนนำมาเสนอขายยังเป็นรถเก่าที่รัสเซียเคยมอบไว้ให้ยูเครนหลังแยกออกมาตั้งประเทศใหม่ แล้วยูเครนนำรถรัสเซียมาดัดแปลงขาย การดัดแปลงรถยังทำให้เกิดข้อเสียเพราะวัตถุประสงค์ของยานเกราะหุ้มล้อยางเพื่อไปใช้นำพลรบออกจากที่รวมพลไปยังแนวตีหรือลาดตระเวนคุ้มครองเส้นทาง ไม่ได้ออกแบบมาเป็นรถพร้อมรบทำให้อำนาจการป้องกันตัวต่ำกว่าหรือด้อยกว่ารถถังขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ที่ใช้กันทั่วโลกจะเป็นภยันตรายต่อกองกำลังพล เป็นการดำเนินการที่ไม่โปร่งใส ไม่เป็นไปตามหลักเสมอภาคการกระทำของผู้ถูกฟ้องจึงขัดต่อกฎหมาย เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ความรับผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542

-
          กรณีนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ได้ตรวจสอบและท้วงติงในหลายประเด็นและขอให้ทบทวนกระบวนการจัดซื้อของผู้ถูกฟ้องคดี อีกทั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและส่งเสริมการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมแก่นักการเมืองข้าราชการและประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยังได้ตรวจสอบและมีมติว่าการจัดซื้อยานเกราะล้อยางจากยูเครนเป็นการจัดซื้อที่ไม่โปร่งใส ผิดไปจากขั้นตอนการดำเนินการที่ทางราชการกำหนดและขัดต่อหลักธรรมาภิบาลซึ่งเป็นหลักที่ใช้ใน

-
          การบริหารงานราชการ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีกลับมิได้ฟังคำท้วงติงแต่อย่างใด
          ต่อมา เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในฐานะ รมว.กระทรวงกลาโหม ลงนามอนุมัติจัดซื้อโดยให้สตง.เข้าร่วมตรวจรับเพื่อ ความโปร่งใสด้วย  แต่การลงนามซื้อขายแบบ G TO G ระหว่างกองทัพบกโดยกรมสรรพาวุธทหารบกกับประเทศยูเครน ซึ่งทางยูเครนเบิกเงินล่วงหน้าไปแล้ว 15% ของมูลค่าสัญญาประมาณ 3,800 ล้านบาท ทาง สตง.ไม่ได้เข้าร่วมเป็นกรรมการตรวจรับแต่อย่างใด

-
          ภายหลังจากนั้นทางยูเครนยังมีปัญหาในการผลิตเครื่องยนต์ เพราะผู้ผลิตเครื่องยนต์ยี่ห้อ DEUTZ BF 6 M 1015 ของเยอรมนีไม่ยอมจำหน่ายเครื่องยนต์ดังกล่าวตามยูเครนเสนอไว้ในขั้นตอนการคัดเลือกแบบ และเสนอขอเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นยี่ห้อ MTU ของเยอรมนีแทน ซึ่งถือว่าขาดคุณสมบัติในการนำเสนอข้อมูลในการคัดเลือกแบบยานหุ้มเกราะ
-
          ถือว่าสอบตกและต้องถูกตัดสิทธิดังกรณีประเทศจีน
-
          อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ครม.ได้มีมติอนุมัติการเปลี่ยนเครื่องยนต์ดังกล่าว ซึ่งการกระทำของคณะรัฐมนตรีถือว่าเป็นการแก้ไขสาระสำคัญของสัญญา ซึ่งตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 มาตรา 190 บัญญัติว่า หนังสือสัญญาใดที่มีบทเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือผลผูกพันทางการค้า การลงทุน... จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา...ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์และระบบเกียร์ถือเป็นสาระสำคัญของสัญญา

-
          การกระทำของผู้ถูกฟ้อง เป็นการดำเนินการที่ไม่โปร่งใส ไม่เที่ยงธรรม เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท UKRSPETSEXPORT จำกัดประเทศยูเครน ทำให้ประเทศชาติเสียหายสูญเสียงบประมาณแผ่นดินจากโครงการจัดซื้อยานเกราะล้อยางจากยูเครน โครงการที่ 1 จำนวน 96 คัน วงเงินประมาณ 4,000 ล้านบาทและโครงการที่ 2 จำนวน 121 คัน วงเงินประมาณ5,000 ล้านบาท ทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสได้รับยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยและเป็นของใหม่สูญเสียอำนาจในการป้องกันประเทศด้านความมั่นคงและด้านการทหาร

-
          ในท้ายคำฟ้อง ผู้ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับการชำระเงินตามสัญญา และห้ามผู้ถูกฟ้องคดีเข้าทำสัญญาหรือข้อผูกพันใดๆ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลปกครองรับคำฟ้องและพิเคราะห์คำขอไต่สวนฉุกเฉินเมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมาแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องไต่สวนฉุกเฉิน แต่ศาลจะได้ตรวจสอบข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงเพื่อมีคำสั่งในคดีนี้โดยเร็วต่อไป



ทำไมทรราช คสช.ถึงติดนิสัย ชี้ หน้าประชาชน

คำถามเด็ด...ทำไมนายทหารใหญ่ๆหลายคน
ถึงเออ ติดนิสัยชี้หน้าประชาชน หรือนักข่าว?


Cr. thaienews.


เอางี้ไหม ถ้ารับธรรมนูญฉบับโจร คสช.ไม่ผ่าน ก็ปิดประเทศไปเลย

ถึง พี่น้อง ประชาชน ทั่วทั้งประเทศ ...เอางี้ไหม ถ้ารับธรรมนูญฉบับโจร คสช.ไม่ผ่าน

ก็ปิดประเทศไปเลย ให้ประยุทธ์ และพ่อของมันอยู่ไป ชั่วกัลปาวสานเลยไหม..... สัส

------------------------------

จะร่าง รธน. หรือปิดประเทศ

Sat, 2015-10-31 07:11

ใบตองแห้ง
-

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฤชุพันธุ์ ยังเลื้อยอยู่ในเขาวงกต ยังชวนทะเลาะนักการเมืองตั้งแต่สูตรเลือกตั้ง ซึ่งทั้งประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ไม่เห็นด้วย

-
สูตรนี้ไม่รู้ขูดมาจากต้นกล้วยไหน ให้ประชาชนเลือก ส.ส.เขตอย่างเดียว ใครชนะได้ไป ใครแพ้ให้เอาคะแนน สอบตกมาคิดส.ส.บัญชีรายชื่อ ถามว่าระบบนี้มีที่ไหนในโลก ปรมาจารย์มีชัยบอกเคยมีคนคิด แต่ยังไม่มีใครทำ

-
อะไรที่ชาวโลกเขาไม่ทำนี่ดีนักแล คนไทยจะได้อ้าง Thailand Only ภูมิใจได้เกิดในประเทศนี้ ทั้งที่ไม่มีตรรกะไม่มีเหตุผล ด้นไปเรื่อย "ไม่ให้คะแนนเสียงตกน้ำ" ใช่เลย คะแนนคนแพ้ไม่ตกน้ำ แต่คะแนนคนชนะตกน้ำ สมแล้วที่มีคนตั้งชื่อ "สูตรเลือกตั้งเชิดชูผู้แพ้"

-
เขตเลือกตั้งที่ 1 คนเฮไปเลือกนาย ก. 8 หมื่นเสียง นาย ข. ค. ง. ได้คะแนนรวมกัน 2 หมื่นเสียง เขตเลือกตั้งที่ 2 คนเลือกนาย จ. 4 หมื่นเสียง นาย ฉ. ช. ฌ. ได้คะแนนรวมกัน 6 หมื่นเสียง แปลว่าคนยิ่งเลือกนาย ก. ท่วมท้นด้วยความนิยมสูง คะแนนบัญชีรายชื่อยิ่งตกน้ำเยอะ

-
ยังงี้แอบตั้งพรรคสาขา 2 ดีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ 2 ในภาคใต้ พรรคเพื่อไทย 2 ภาคเหนือภาคอีสาน เขตไหนคะแนนเหลือเฟือก็เผื่อแผ่ให้กัน

-
พอลองคำนวณผลการเลือกตั้ง 2548 จึงเพี้ยนไปใหญ่ จากที่ใช้คะแนนบัญชีรายชื่อ 31 ล้าน คำนวณ ส.ส. 100 คน ก็หันไปใช้คะแนน "สอบตก" 11 ล้านมาคิดแทน ไทยรักไทยแพ้น้อย จึงได้ส.ส.บัญชีรายชื่อลดฮวบจาก 67 คนเหลือ 20 คน ปชป.แพ้มากได้เพิ่มจาก 26 เป็น 37 คน ชาติไทย 7 เป็น 21 คน พรรคมหาชนของไอ้หนุ่มซินตึ๊งซึ่งได้ 0 (เพราะตามรัฐธรรมนูญ 2540 ถ้าได้ต่ำกว่า 5% ให้ตัดทิ้ง) ก็กลายเป็นได้ 19 คน

-
พูดอย่างนี้อยากให้ไทยรักไทยได้ท่วมท้น 375 เสียงอยู่เรอะ เปล่าเลย เพราะถ้าต้องการให้ผลการเลือกตั้งสะท้อนเจตจำนงประชาชน พรรคไทยรักไทยคงได้น้อยกว่า 375 อยู่ดี เช่นถ้าใช้สูตรเยอรมันแบบบวรศักดิ์ พรรคไทยรักไทยยิ่งได้น้อยไปอีกนะครับ คือได้ 19 ล้านเสียงจาก 31 ล้านเสียง ก็จะได้ส.ส.ทั้งประเทศ 306 คน เมื่อได้ส.ส.เขตไปแล้ว 308 คนก็แปลว่าไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มเลย!

-
แต่สูตรเยอรมันมีเหตุผลอธิบายได้ ถึงเจตจำนงประชาชน คุณได้ 19 ล้านจาก 31 ล้าน คิดเป็น 61% คุณก็ควรได้ส.ส. 305-306 จาก 500 คน ต่างกับสูตร "เชิดชูสอบตก" ที่เอาเฉพาะเจตจำนงคนเลือกส.ส.สอบตก ซ้ำยังไพล่ไปเอาคะแนนตัวบุคคลมาเป็นคะแนนพรรค เพราะการเลือก ส.ส.เขตบางครั้งเราก็เลือกเพราะรัก เพราะเป็นเพื่อน เป็นญาติ โดยอาจไม่ชอบพรรคก็ได้ จริงไหมครับ

-
อ้าวถ้าเห็นด้วยกับบวรศักดิ์ ตอนนั้นค้านทำไม ข้อแรก สูตรเยอรมันแท้ไม่เหมือนบวรศักดิ์ เพราะเขาตัดพรรคที่ได้ต่ำกว่า 5% ไม่ให้มีพรรคเบี้ยหัวแตกมากไป ข้อสอง บวรศักดิ์ดันเติม Open List ให้คนในพรรคแข่งกันเอง

-
คำถามคือในเมื่อระบบเลือกตั้งฉบับบวร ศักดิ์ ผ่านการถกเถียงจนตกผลึกแล้วว่าตรงไหนสังคมยอมรับไม่ยอมรับ ทำไมมีชัยจึงต้องคิดใหม่ให้พิลึกพิลั่น "ไม่เอาอย่างใคร" แถมยังต่อเติมอะไรประหลาดๆ เช่น แพ้ Vote No ไม่ให้สมัครใหม่ ทั้งที่เป็นอำนาจตัดสินใจของประชาชน คนเขาไม่เลือก ถ้ามันอยากสมัครอีก ก็เรื่องของมันสิครับ ทำไมต้องร่างรัฐธรรมนูญคุณพ่อรู้ดีไปบังคับเขา

-
ร่างรัฐธรรมนูญมีชัยยัง "วาง" อีกหลายอย่างน่าจับตา เช่นกำหนด "หน้าที่" ให้รัฐบาลต้องทำ ถ้าไม่ทำอาจมี "สมาคมโลกแข็ง" ฟ้องศาลล้มรัฐบาลได้ ยังไม่นับ คปป. และ "ทุจริตตัดสิทธิตลอดชีวิต" ที่จะเป็นประเด็นใหญ่ ว่า "ทุจริต" ตัดสินโดยกระบวนการยุติธรรมหรืออำนาจแต่งตั้งอำพราง

-
อยากถามจังนี่ท่านจะร่างรัฐธรรมนูญหาจุดร่วมหรือร่างให้ทะเลาะกัน จนกลายเป็น "ไม่ปรองดองไม่ต้องเลือกตั้ง" อยากรู้จัง วิษณุ เครืองาม จะแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวอย่างไร ถ้าประชามติไม่ผ่าน

-
เอางี้ไหม ถ้าไม่ผ่านก็ปิดประเทศไปเลย ให้ลุงตู่อยู่ ชั่วกัลปาวสาน ไม่มีเลือกตั้งไม่ตายหรอก ฮิฮิ


Monday, March 14, 2016

คดีผู้หญิงยิง ฮอ ปี 53 ที่เราควรจดจำ ถึงความระยำของศาลไทย

คดีผู้หญิงยิง ฮอ ปี 53 ที่เราควรจดจำ ถึงความระยำของศาลไทย

-------------------- 

14 มี.ค.2559 ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ศาลได้อ่านคำสั่งของศาลฎีกา คดียิงเฮลิคอปเตอร์ทหารในวันที่ 10 เมษายน 2553 หมายเลขดำ อ.2702/2553 พนักงานอัยการจังหวัดพระโขนงเป็นโจทก์ ฟ้อง นางนฤมล หรือ จ๋า วรุณรุ่งโรจน์ อายุ 56 ปี นายสุรชัย หรือ ปลา นิลโสภา (เสียชีวิตแล้ว) และนายชาตรี หรือหมู ศรีจินดา อายุ 30 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานกระทำผิด พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด พ.ศ.2490 มาตรา 7, 55, 72, 78 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 265, 268 โดยจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม

-
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งไม่ได้ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

-
นายอาคม รัตนพจนารถ ทนายความของจำเลย 3 คนในคดีที่ถูกฟ้องว่านำปืนไปยิงเฮลิคอปเตอร์ทหารในวันที่ 10 เมษายน 2553 ให้สัมภาษณ์ว่า ศาลฏีกาได้อ่านคำสั่งในวันนี้ว่าไม่รับฎีกาของอัยการโจทก์ในคดีนี้ เป็นผลให้คดีนี้ถึงที่สุด หลังจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องไปก่อนหน้านี้แล้ว

-
อาคม กล่าวอีกว่า เหตุผลเบื้องต้นคือการที่อัยการได้ยื่นคำร้องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อขอฏีกาในคดีดังกล่าวและอัยการสูงสุดอนุมัติ แต่ปราฏกว่าในฏีกาฟ้องนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ เป็นจำเลยเพียงคนเดียว ทางทนายจำเลยจึงได้ต่อสู้ในข้อกฎหมายว่านับเป็นการที่โจทก์เสนอคำฟ้องใหม่ ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากคดีนี้ยื่นฟ้องจำเลย 3 คนทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลฎีกาไม่รับฎีกาในวันนี้จึงถือว่าคดีนี้สิ้นสุดแล้ว จำเลยถือเป็นผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม ทนายแจ้งว่าสัปดาห์หน้าจึงได้จะได้สำเนาคำสั่งศาลฎีกาซึ่งมีรายละเอียดที่สมบูรณ์

-
ส่วนเหตุการณ์ในกวันเกิดเหตุนั้น สื่อมวลชนรายงานว่า ระหว่างปฏิบัติการขอคืนพื้นที่จากการชุมนุมคนเสื้อแดงบริเวณถนนราชนำเนินนอกต่อเนื่องไปถึงถนนราชดำเนินกลาง เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงเฮลิคอปเตอร์บริเวณจุดปะทะการชุมนุม เป็นเหตุให้ พ.อ.มานะ ปริญญาศิริ ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่อาคม ทนายในคดีนี้ระบุว่า การยิงเฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่มีปฏิบัติการโปรยแก๊สน้ำตาที่ถนนราชดำเนิน

-
เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า คดีนี้อัยการฟ้องว่าเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2553 เวลากลางวัน ขณะที่เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มแนวร่วม นปช.กับเจ้าหน้าที่รัฐ จำเลยทั้งสามร่วมกันครอบครองอาวุธปืนกลเล็ก (เอเค 47) จำนวน 5 กระบอก ปืน เอ็ม 16 อีก 1 กระบอก ปืนคาร์บิน จำนวน 1 กระบอก ซองกระสุนปืน 17 อัน ลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารจำนวน 8 ลูก ระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 4 นัด ระเบิดแก๊สน้ำตาจำนวน 3 ลูก พร้อมเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก ระเบิดแสวงเครื่องประกอบเอง 10 ลูก ขวดเครื่องดื่มชูกำลังบรรจุน้ำมันเบนซินประกอบเป็นระเบิดเพลิง 102 ขวด นอกจากนี้ ในวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยที่ 2 ได้ปลอมและใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถปลอม ต่อมาเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมจำเลยทั้งสามได้พร้อมของกลางที่ บ้านเลขที่ 231 ซอยอ่อนนุช 17 แยก 3 แขวงและเขตสวนหลวง กทม. จำเลยให้การปฏิเสธ

-
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ส.ค.2554 พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า แม้เจ้าพนักงานชุดจับกุมจะพบของกลางในบ้านที่เกิดเหตุก็ตาม แต่กลับไม่ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงเรื่องการจับกุมดังกล่าวรายงานกลับไปยังกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อีกทั้งหมายคำสั่งค้นก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดว่า ยึดสิ่งของใด อีกทั้งขณะตรวจค้นมีการถ่ายภาพปืนกลเล็กที่ซ่อนไว้ในถุงกอล์ฟ ที่ตรวจพบจากท่อระบายน้ำไว้กว่า 20 ภาพ แต่กลับไม่มีภาพดังกล่าวส่งให้พนักงานสอบสวน และไม่มีถุงกอล์ฟหรือถุงดำ ซึ่งเป็นพยานหลักฐานสำคัญ จึงให้สงสัยว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่ไม่ส่งหลักฐานดังกล่าวให้พนักงานสอบสวนใช้ประกอบคดี อันเป็นข้อพิรุธ ทั้งจำเลยทั้งสาม ให้การปฏิเสธมาตลอด มีเหตุสงสัยตามสมควร ส่วนที่โจทก์มีพยานอ้างว่า เห็นจำเลยทั้งสาม ใช้อาวุธสงครามยิงใส่เฮลิคอปเตอร์ของเจ้าหน้าที่ระหว่างการชุมนุมนั้น แต่โจทก์กลับไม่มีหลักฐานว่า จำเลยทั้งสามครอบครองอาวุธปืนมา แสดง พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อพิรุธสงสัยว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลยทั้งสาม พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้ยกฟ้องพวกจำเลย

-
จำเลยทั้งสามถูกคุมขังอยู่ระหว่างต่อสู้คดีนาน 1 ปี 4 เดือนเศษ จึงได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ หลังศาลชั้นต้นพิพากษยกฟ้องแล้ว จากนั้นไม่นานสุรชัยเสียชีวิต ขณะที่ชาตรีอยู่ในเรือนจำในคดีอื่น ส่วนนฤมล หรือ จ๋า ได้รับอิสรภาพและเพียงไม่นานเธอถูกคุมขังอีกครั้งในคดีตีทหารจนศีรษะแตกเหตุเกิดในวันที่ 25 ก.พ.2552 ระหว่างที่นปช.มีการชุมนุม ศาลพิพากษาจำคุก 1 ปีเธอถูกคุมขั้งตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.2555 จนครบกำหนดโทษ

-
ชีวิตอดีตจำเลยหลังติดคุก 2 รอบ
ด้านนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ อดีตจำเลยในคดีนี้ ให้สัมภาษณ์ภายหลังทราบผลว่าคดีนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วในวันนี้ว่า รู้สึกดีใจที่ยังมีความเป็นธรรม ความยุติธรรมให้เธอและจำเลยคนอื่นในคดีนี้ แม้ต้องติดคุกอยู่นานปีเศษ ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำประสบความยากลำบากเนื่องจากขาดญาติมิตรเยี่ยมและถูกบังคับให้รับประทานยาจากสถาบันกัลยาราชนครินทร์เนื่องจากเจ้าหน้าที่เห็นว่ามีอาการเครียดหนัก แต่เธอปฏิเสธ จนกระทั่งได้ออกจากเรือนจำก็ต้องใช้ชีวิตระหกระเหินอยู่นาน และขาดการติดต่อกับแฟนชาวญี่ปุ่นที่เคยส่งเงินบางส่วนให้ใช้จ่าย

-
"สิ่งที่สร้างมาด้วยหยาดเหงื่อแทบไม่มีเหลือ ตอนที่ไปจับก็รื้อค้นเหมือนรื้อกองขยะ รูปถ่ายก็ทิ้งหมด ตอนนี้ไม่เหลือรูปถ่ายซักใบ แม้กระทั่งใบเกิด เอกสารต่างๆ ไปหมด เสื้อผ้าก็รื้อทิ้งเป็นขยะเลย ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่หมด พวกโทรศัพท์ ที่อยู่คนต่างๆ ก็ถูกยึดไปราบ 11 หมด" นฤมลกล่าว

-
"ติดคุกแล้วก็ไม่เหลืออะไรเลย เหลือแต่รอยแค้น รอวันที่ประชาชนเอาคืน เพราะคุณรังแกประชาชนไม่มีทางสู้ ประชาชนลืมไม่ลงหรอก รสชาตินี้" นฤมลกล่าว

-
หลังออกจากเรือนจำ เธอใช้ชีวิตระหกระเหินอยู่นานกว่าจะตั้งหลักได้ในปัจุบันด้วยการประกอบอาชีพรับจ้างนวดแก้อาการในเวลากลางวันและทำมะม่วงแช่อิ่มฝากขายที่ร้านกาแฟในเวลากลางคืน

-
" ออกจากเรือนจำ หาที่ซุกหัวนอนยังไม่ได้ ซมซานไม่รู้เขาจะอายัดตัวไหม ออกมาเช่าโรงแรมม่านรูดถูกๆ นอนเป็นเดือน มันหลอนเรา เพราะตั้งแต่ออกประตูคุกมาก็มีคนตาม โชคดีได้พี่น้องช่วยเหลือบ้าง แล้วเราก็เริ่มทำสละลอยแก้วขาย มีม็อบตรงไหนก็เอาไปขาย จนติดคุกอีกรอบพวกหม้อเม่อก็หายหมด"

-
"ตอนนี้ก็เริ่มยึดการนวดเป็นอาชีพ ทำไปก็อกๆ แก๊กๆ รายได้มันไม่แน่นอน แล้วแต่ เพราะเราแค่เอาเตียงไปตั้งหลังร้านเขา ร้านคุยกับอดิศรที่ชั้น 4 อิมพีเรียล ลาดพร้าว เราแบ่งเขา 30% ค่าเช่าที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ เพราะก็ต้องใช้แอร์เขา อย่างวันนี้ได้ชั่วโมงนึง เมื่อวานไม่มีลูกค้าเลย วันไหนดีหน่อยก็ได้นวดถึง 4 ชั่วโมง แล้วตอนนี้ก็ทำมะม่วงแช่อิ่มฝากขายที่ร้านกาแฟของ Peace TV ชั้น 5 อิมพีเรียล เก็บเงินได้จะเช่าบ้านทำสละลอยแก้วให้เป็นเรื่องเป็นราว เพราะอุปกรณ์มันหายไปตอนติดคุกรอบที่แล้ว แล้วมันก็ต้องเช่าบ้าน เพราะต้องใช้ตู้แช่กับเตาแก๊ส ห้องเช่าเขาไม่อนุญาต" นฤมลกล่าว

-
นฤมลยังกล่าวอีกว่า ขอขอบคุณทนายอาคมที่อาสาเข้ามาช่วยเหลือดำเนินคดีนี้โดยไม่ได้คิดค่าใช้จ่าย เพราะถึงคิดค่าใช้จ่ายเธอก็ไม่มีจ่าย

-
"ต้องขอบคุณทนาย ไม่ได้ทนายอาคมก็คงไม่มีโอกาส เพราะเราไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ให้เขาทั้งสิ้น อยากให้ผู้มีจิตศรัทธาหรือมวลชนที่มีโอกาสช่วยแกบ้างเป็นสินน้ำใจ เพราะแกช่วยเหลือคดีคนเสื้อแดงหลายคดี ขณะที่ตัวเองก็อายุเยอะ ป่วยหลายโรคและไม่ค่อยจะมีเงิน" นฤมลกล่าว 

แหล่งที่มา http://prachatai.org/journal/2016/03/64621


คำถาม ??? กองทัพบก กำลังจะซื้อรถถัง

Dhanatchai Chatchai

กองทัพบก กำลังจะซื้อรถถัง ข้ออ้างความโปร่งใส //////// --- ความโปร่งใสของกองทัพ คืออะไร มีตัวชี้วัดอะไรหรือแบบ ---สงสัยนะ ขอถามเพิ่มเติมน่ะ อยากทราบว่า ภัยคุกคามของประเทศ คืออะไร คือใคร ข้ออ้างประหยัด คุ้มค่า ///////ไหนที่สนับสนุน ข้ออ้างนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยหวังว่าจะไม่ใช้วาทกรรม "ความลับ"หรือ "ความมั่นคง" ---กองทัพบกเองก็ยังไม่เข้าใจของศัพท์คำว่า ประหยัด คุ้มค่า เลย เพราะ ประหยัดมันก็คือความคุ้มค่า ขอสรุปง่ายๆนะ ความคุ้มค่า เท่ากับ output/input (output หารด้วย input ) output ต้องมากกว่า input เสมอ จึงเรียกได้ว่าคุ้มค่า เมื่อเราแปลง output เป็น benefit (ผลประโยชน์ตอบแทนในรูปตัวเงิน) และแปลง input เป็น cost (ค่าใช้จ่ายในรูปตัวเงิน) ---การอ้างความคุ้มค่า ขอดูเอกสารการวิเคราะห์ cost---benefit หน่อยซิ ข้ออ้างการเลือกแบบรถถัง /////// ---ใช้หลักการหรือทฤษฎีอะไรมาเลือกแบบรถถังล่ะ ใช้ทฤษฎีการตัดสินใจ (decision theory) หรือใช้ทฤษฎี Analytic hierarchy process รู้จักกันในนาม AHP หรือใช้หลักการ SWOT analysis อันไหนบอกมา ---ในข้ออ้างนี้จะสนับสนุนคำตอบของกองทัพได้ว่าจะเขียนแผนการจัดซื้อจัดหารถ ถังแบบไหน ข้ออ้างในเรื่องงบประมาณ ////// ---กองทัพบกได้ดำเนินการวิเคราะห์ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ว่าด้วยเรื่อง ordinal utility theory ว่า งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้น จะให้ความสำคัญในด้านไหน เช่น วิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างรถถังกับอาหาร หรือ รถถังกับสาธารณสุข หรือ รถถังกับการศึกษา ฯลฯ เป็นต้น ---กองทัพทุกกองทัพทั่วโลก มิได้รับการบรรจุลงในระบบบัญชีรายได้ประชาชาติของประเทศ เนื่องมาจากกองทัพไม่ได้เป็นหน่วยการสร้างรายได้ให้กับประเทศโดยแต่อย่างไร แต่กลับทำให้รายได้ประชาชาติของประเทศลดลง (พูดง่ายๆคือรูรั่วของระบบเศรษฐกิจ) ---กองทัพเคยคำนึงถึงเรื่องปัญหางบประมาณขาดดุลหรือไม่ มีความรู้เรื่องฐานะการคลังของประเทศบ้างหรือเปล่า แล้วมันจะส่งผลไปยังดุลชำระเงินระหว่างประเทศ เชื่อมโยงไปยังบัญชีเดินสะพัด ซึ่งหากมันติดลบแล้วมันจะก่อให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง ---กองทัพเคยดำเนินการศึกษาวิเคราะห์ทำ smart buyer และ smart user หรือไม่ (ถามเหอะรู้เรื่องที่ว่านี้หรือเปล่า) คำแปลกับความหมายคนละเรื่องเดียวกันนะ ความหมายก็คือ ทำการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย อาวุธ ก่อนจัดซื้อจัดหา เพราะอย่างน้อยต้องตรวจสอบดูว่าเหมาะกับการใช้ในพื้นที่ของไทยหรือเปล่า โดยเฉพาะปัญหาความชื้นของประเทศที่มีผลต่ออาวุธ หรือมีความเหมาะสมกับภารกิจบางอย่างของไทยหรือไม่ (((ปัญหาคือตัวอาวุธเป็น investment เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งที่โผล่มาเหนือน้ำทะเล 35% แต่หลังจากรับมาแล้วมันจะมีค่าปฏิบัติการและซ่อมบำรุง หรือ operating and maintenance cost ที่เป็นภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำทะเลอีก 65% และยังมีปัญหาอื่นๆอีก ได้แก่ อาวุธบางอย่างเราไม่สามารถซ่อมเองได้ ต้องส่งไปซ่อมยังต่างประเทศ)))

คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น

ภาพประกอบชวนขำกลิ้ง คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น คลังคำไทยที่มักสะกดผิด ภาษาไทยน...