Wednesday, August 24, 2016

อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เขียนถึง อ.วรเจตน์ ในวันเกิดปีที่ 46 เมื่อวานนี้

อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เขียนถึง อ.วรเจตน์ ในวันเกิดปีที่ 46 เมื่อวานนี้

"ผมคิดว่า เรื่องดีๆที่ผมจะเขียนถึงใคร มันไม่ควรจะเขียนเฉพาะตอนคนคนนั้นตาย แล้วเราไปเขียนในงานศพ เราควรเขียนตอนที่เขามีชีวิตอยู่"

"ให้เขาได้รู้"

"ให้คนที่รักเขาได้รู้"

"ให้คนที่เกลียดเขาได้เข้าใจ"

Piyabutr Saengkanokkul

อาจารย์วรเจตน์มีโลกส่วนตัวสูงนะครับ ไม่เล่นเฟสบุค ไม่เล่นโซเชียล มีเดีย ไม่ค่อยพบปะผู้คน เท่าที่ผมรู้จักแกมาตั้งแต่ปี 2542 (ปีแรกที่แกจบเอกกลับมาสอน ผมนี่คุยได้ตลอดว่า ผมเรียนหนังสือกับแกรุ่นแรก) แกก็เป็นคนแบบนี้มาตลอด คือ ไม่นัดเจอใคร นัดกินข้าวกันก็เจอแต่พวกผม พอทำกิจกรรมรณรงค์ แกก็ไปเจออาจารย์ท่านอื่นๆบ้าง แต่ชีวิตแก ก็ยังแบบเดิม สอนหนังสือ นักศึกษาทำ วพ มาขอพบ ประชุมกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง กรรมการข้อมูลข่างสารราชการ รับเชิญบรรยายตามส่วนราชการ มีแค่นี้จริงๆ

แกไม่เคยต้องการดำรงตำแหน่งอะไรเลย

ผมใกล้ชิดกับแกมาสิบปีเศษ ทราบดีว่า มีตำแหน่งสารพัดที่ต้องการให้แกไปเป็น เอาเป็นว่ามากทั้งจำนวน ทั้งรายได้ บางตำแหน่ง เป็นตำแหน่งที่คนจำนวนมากอยากเป็นจนตัวสั่น แต่ก็ไม่ได้เป็น หรือดิ้นรนจนเป็นให้ได้ ทั้งหมดนี้ อาจารย์วรเจตน์ปฏิเสธหมด

แกพิสูจน์ชีวิตแกมานานมาก จนไม่มีใครตำหนิแกได้ว่าแกรับเงินทอง หวังยศตำแหน่ง เอาจริงๆ ถ้าแกต้องการ ป่านนี้ แกไปไกลกว่าเนติบริกรที่โด่งดังกันอยู่ในเวลานี้แน่

บางที ผมยังรู้สึกว่าสังคมไทยไม่ยุติธรรมกับแก คนแบบแก ไม่ได้อะไรสักอย่าง ผมไม่ได้หมายถึงลาภยศสรรเสริญตำแหน่ง แต่บางอย่างมันเป็นสิ่งที่แกควรได้ แต่จนวันนี้แกก็ยังไม่ได้ ผมคิดว่าทุกท่านคงรู้ว่าหมายถึงอะไร

ผมเคยคุยกับแกเล่นๆว่า ในแง่ครอบครัว พวกเราคงสอบตกหมด เพราะ พ่อแม่ พี่น้อง ครอบครัว ตอนที่เขารู้ว่าคนแบบพวกเราได้ไปเรียต่างประเทศโดยทุนการศึกษา พวกเขาคงหวังว่า คนแบบพวกเราจะช่วยยกระดับครอบครัวให้ดีขึั้น แต่จนวันนี้ ครอบครัวของพวกเรา ก็ยังคงลำบากแบบเดิม

ผมทราบมาว่า แม่ของแก น้องชายของแก ก็ยังคงทำสวน เผชิญกับภัยพิบัติธรรมชาติอยู่

แล้วลองกวาดตาไปมองพวกเนติบริกรสิครับ

ที่ผมว่าแกพิสูจน์ชีวิตแกมาหลายสิบปี มาจากเรื่องใด

ตอนอาจารย์วรเจตน์กลับมาเมืองไทยใหม่ๆ แกวิจารณ์การทำงานของ กกต ศาลรัฐธรรมนูญ คดีซุกหุ้น จนกองเชียร์คุณทักษิณเกลียดแกไปตามๆกัน (ไม่ต้องบอกก็ได้ว่า เนติบริกรที่ไปรับใช้คุณทักษิณเวลานั้นก็ไม่ชอบแกด้วย)

ต่อมามีเรื่อง มาตรา ๗ มี "ตลก ภิวัตน์" คราวนี้ อีกข้างหนึ่งที่เคยวี้ดบึ้มๆๆ แก ก็หันมาด่าแกว่ารับเงินทักษิณ ในขณะที่คนที่เชียร์ทักษิณ ก็กลับมาเชียร์แก

เปลี่ยนรัฐบาลกี่ครั้ง จะมาจากขั้วใด แกก็ไม่รับตำแหน่งทั้งสิ้น

ผมเข้าใจดีว่า ฝ่าย "อำมาตย์" คงผิดหวังกับแกมาก ที่แกเป็นแบบนี้

แต่ผมยืนยันว่าแกไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก แกเป็นแบบนี้มาตลอด มีแต่พวกท่านนี่แหละ ที่พยายาม recruit คนเก่งๆเชื่องๆเข้าไป พอมีคนที่เขาหนักแน่นมั่นคงในสติปัญญาและเหตุผล พวกท่านก็เลือกที่จะไม่ทำความเข้าใจโลกและสังคมไทยที่เปลี่ยนไป แต่ท่านกลับลงโทษคนที่ท่านคิดว่าดื้อด้านแทน

(จนวันนี้ ใครที่ไปสอบทุนสารพัด พวกเราต้องบอกว่า ห้ามบอกว่าอาจารย์วรเจตน์เป็นไอดอล ไม่งั้นสุ่มเสี่ยงที่จะไม่ได้)

หลังรัฐประหาร ๒๒ พค ๕๗

รัฐประหารเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

และสิ่งที่รัฐประหารทำกับแก ก็ยิ่งไม่ถูกต้องเข้าไปอีก

คนแบบแก ไม่มีมวลชน ไม่มีพรรคการเมือง ไม่มีใครหนุนหลัง แกว่าตามเหตุผล และหลักวิชาที่แกเรียนมา

จนวันนี้ คณะรัฐประหารก็ยังคง "จองจำ" แกไม่เลิก

ถ้าพวกท่านลองพินิจพิจารณาอย่างถถ้วนถี่ด้วยสติสัมปชัญญะของท่านเอง โดยไม่ต้องไปฟังพวกที่คอยรายงานมากนัก ท่านจะเห็นได้ว่า สิ่งที่อาจารย์วรเจตน์นำเสนอ เป็นทางออกที่สวยงามที่พอจะรับกันได้สำหรับทุกฝ่าย

การจองจำ ทำลาย อาจารย์วรเจตน์ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง มันสมองของแกยังมีคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองอีกมาก

ผมไม่เคยคิดเลยว่าแกจะเป็น "เป้า" ที่สำคัญของคณะรัฐประหารขนาดนั้น บางทีผมก็อาจไร้เดียงสาไปบ้าง พวกเรา ก็ด้วยความหวังดีต่อชาติบ้านเมือง เราก็อยากเสนอรูปแบบการปกครองที่ทุกฝ่ายจะอยู่อาศัยด้วยกันได้ในอนาคต ก็ไม่นึกว่าผลที่ตามมามันจะขนาดนี้

การกักขังจองจำความคิด ไม่มีทางทำให้คนเปลี่ยนความคิด

อัยการในระบอบฟาสซิสต์ที่สั่งฟ้อง อันโตนิโอ กรัมชี่ แถลงว่า "เราต้องหยุดสมองก้อนนี้ที่ทำงานต่อเนื่องมา ๒๐ ปี"

แต่ "สมอง" ของกรัมชี่ ก็ไม่เคยหยุด เขาเขียน สมุดบันทึกจากคุก ความคิดของเขายังเป็น "หมุดหมาย" สำคัญที่ให้อนุชนรุ่นหลังศึกษา

ผมทราบดีว่า ถ้าอาจารย์วรเจตน์มาอ่านที่ผมเขียนนี้ แกคงตำหนิผม และถ้ามีการกระจายข่าวแชร์กันไป คนก็คง "หมั่นไส้" แกอีกมาก

แต่... ผมอดไม่ได้จริงๆ

ผมคิดว่า เรื่องดีๆที่ผมจะเขียนถึงใคร มันไม่ควรจะเขียนเฉพาะตอนคนคนนั้นตาย แล้วเราไปเขียนในงานศพ เราควรเขียนตอนที่เขามีชีวิตอยู่

ให้เขาได้รู้

ให้คนที่รักเขาได้รู้

ให้คนที่เกลียดเขาได้เข้าใจ

สุขสันต์วันเกิด อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์

ผู้เป็นอาจารย์ เป็นพี่ เป็นเพื่อนของผม

ขอให้อาจารย์หลุดพ้นจาก "วิบากกรรม" เสียที

(จบ)

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณดื่มน้ำมะพร้าวติดต่อกัน 7 วัน อยากรู้โปรดอ่าน!!!!!!!!

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณดื่มน้ำมะพร้าวติดต่อกัน 7 วัน อยากรู้โปรดอ่าน!!!!!!!! 

น้ำมะพร้าวมีสรรพคุณวิเศษตามที่หลายคนกล่าวอ้างจริงหรือไม่? คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับสารพัดประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว แต่คราวนี้คุณจะได้อ่านเกี่ยวกับข้อดีของน้ำมะพร้าวที่คุณอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน คุณอาจไม่รู้ว่าน้ำมะพร้าวมีโครงสร้างที่เข้ากันได้ดีกับพลาสม่าที่อยู่ในกระแสเลือดของมนุษย์เรา ยิ่งไปกว่านั้นน้ำมะพร้าวยังเคยถูกนำมาใช้ในยามสงครามเพื่อชดเชยเลือดที่สูญเสียไปและสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้อีกมากมาย 

ปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์จากน้ำมะพร้าวอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก คุณสามารถหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไปและคุณจะทึ่งกับประโยชน์อันมหาศาลของผลไม้ประเภทนี้ แม้น้ำมะพร้าวจะมีรสชาติไม่อร่อยอย่างที่คิด แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะไม่ดื่มสุดยอดน้ำล้างพิษชนิดนี้แน่นอน
จะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าเราดื่มน้ำมะพร้าว? 
1. ระบบภูมิคุ้มกันของเราก็จะแข็งแกร่งขึ้น 
2. นอกจากนี้น้ำมะพร้าวยังช่วยกำจัดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ โรคหนองใน โรคเหงือก และไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัด โรคติดเชื้อต่างๆ และโรคไข้รากสาดใหญ่ได้อีกด้วย 
3. นอกจากจะเสริมสร้างพลังงานแล้วน้ำมะพร้าวยังช่วยเพิ่มการผลิตฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ แถมยังดีต่อผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตเนื่องจากมันมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะโดยธรรมชาติ ทั้งทางเดินปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะจะได้รับการชำระล้างจากนั้นร่างกายจะขับสารพิษออกมา ที่น่าทึ่งคือมันสามารถสลายก้อนนิ่วได้ด้วย 
4. และเนื่องด้วยมีปริมาณเส้นใยอาหารสูงจึงดีต่อระบบย่อยอาหาร หากคุณดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำมันจะไปกำจัดกรดในกระเพาะอาหาร ไม่ต้องห่วงเรื่องอ้วนด้วยเพราะน้ำมะพร้าวมีระดับไขมันที่ต่ำมากและช่วยลดความอยากอาหารของเรา 
5. หากคุณมีสิวและผิวแห้งหรือผิวมัน เพียงใช้ผ้าชุบน้ำมะพร้าวและทาลงไปบนผิวหนัง น้ำมะพร้าวจะชำระล้างสิ่งสกปรกและทำให้ผิวหนังสดชื่น ที่สำคัญมันจะช่วยเปิดรูขุมขน 
6. หากดื่มน้ำมะพร้าวผสมกับน้ำมันมะกอกก็สามารถฆ่าเชื้อโรคและกำจัดปรสิตในลำไส้ได้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการดื่มน้ำมะพร้าวขณะตั้งครรภ์จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพได้หลายอย่าง 

7.หากดื่มวันละหนึ่งแก้วทุกเช้าจะช่วยรักษาระดับความสมดุลของอิเล็กโทรไลต์และไม่ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง 
8. หากคุณดื่มแอลกอฮอล์ในตอนกลางคืนพอเช้ามาคุณอาจรู้สึกปวดศีรษะ ดังนั้นถ้าต้องการกำจัดอาการปวดศีรษะหรืออาการเมาค้างและชดเชยของเหลวที่สูญเสียไปคุณสามารถทำได้ด้วยการดื่มน้ำมะพร้าว 
8. ขณะเดียวกันถ้าคุณต้องการให้ผิวชุ่มชื่นและเปล่งปลั่งตลอดทั้งวัน การดื่มน้ำมะพร้าววันละแก้วก็เพียงพอแล้ว
9. นอกจากนี้หลังจากที่ออกกำลังกายมาอย่างเหน็ดเหนื่อยคุณสามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อให้ร่างกายของคุณกลับมามีพลังอีกครั้ง 
10. ทั้งช่วยเพิ่มพลังงาน เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันแบคทีเรียและอาการติดเชื้อต่างๆ ตามด้วยน้ำหนักลด


         >_< 👍>_<

Tuesday, August 23, 2016

คสช.​ทำผิดสนธิสัญญากับ UN จริงหรือ?

โดย อ. ธนบูลย์


ตามคำพิพากษาในคดีที่ชื่อว่า Dusan Tadic หรือ Dusko Tadic นั้น ต้องถามว่า เขาถกเถียง เรื่องอะไรกัน? และ


มีผลสะท้อนกลับมาช่วยคนไทยผู้ใฝ่รู้ ให้นำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ กับ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ในประเทศไทย หรือ กำลัง จะเกิด ต่อไปในประเทศ อย่างไร?ู้

๑. ต้องขอให้ บทนำแก่ ท่านผู้อ่านทั้งหลายว่า ข้อเขียนของ ผมเกี่ยวกับ คดีๆนี้ นั้น เมื่อท่านได้อ่านแล้ว คิดว่าผม ยังมิได้ ให้คำตอบครบถ้วนแก่ ท่านผู้อ่านทั้งหลาย นั้น

๒. เมื่อท่าน ได้อ่านบทความเหล่านี้ ต่อไปเรื่อยๆ ท่านจะเห็นคำตอบ ที่ผมได้ตั้งไว้ ตั้งแต่ต้น ไปในตัว โดยเมื่อท่าน ได้อ่านแล้ว ขอให้คิด และ ใช้สมอง หรือ ปัญญา คิดตามไปด้วย เพราะนั่น คือปัญหาใหญ่ของ การสอนของผม ต่อ ท่านผู้อ่านทั้งหลาย

๓. ในปัญหาของคดี ที่นำมาเสนอนี้ จะเกี่ยวกับ เขตอำนาจของ ศาลอาญาพิเศษของ องค์การสหประชาชาติ ในการพิจารณา และ พิพากษา ที่จำเลยในคดี Dusan Tadic ยกขึ้น เป็น ข้อต่อสู้ที่สำคัญในคดี มีความเกี่ยวพัน กับ :

๓.๑ อำนาจของ คณะมนตรีความมั่นคง ตามกฎบัตรของ องค์การสหประชาชาติ หรือ The Charter of United Nations ซึ่งเป็น สนธิสัญญาหลายฝ่าย หรือ พหุภาคี (Multilateral Treaty) ว่า การที่คณะมนตรีความมั่นคง ได้ออกข้อบัญญัติที่ 764 ในวันที่ ๑๓ กรฎาคม ปี ค.ศ. ๑๙๙๒ ในขณะที่มีเหตุรบพุ่งกัน อย่างเป็นศัตรู (Hostilities) ในระหว่างชาวเซริบร์ กับ ชาว โครแอต, ชนกลุ่มน้อยผู้นับถือ ศาสนาอิสลาม ในแคว้นบอสเนีย อันเป็น จุดเริ่มต้นของ สงครามกลางเมือง ในแคว้นบอสเนียฯ คณะมนตรีความมั่นคงทำได้ หรือไม่?

๓.๒ ต่อมาในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ปี ค.ศ.๑๙๙๓ คณะมนตรีความมั่นคง ได้ออกข้อบัญญัติ (Resolutions) ที่ ๘๒๗ (๑๙๙๓) ก่อตั้งศาลอาญาพิเศษของ องค์การสหประชาชาติ มาเพื่อพิจารณา และ พิพากษา คดี ที่จำเลย ต้องหาว่า ได้กระทำความผิดในทางอาญาระหว่างประเทศ ทำได้ หรือไม่?

๓.๓ ความผิดดังกล่าว เป็น ความผิดอาญาระหว่างประเทศ ตามสนธิสัญญาแห่ง กรุงเจนีวา ปี ค.ศ. ๑๙๔๙ (The Geneva Conventions, 1949) และ บรรดาสนธิสัญญาทั้งหลาย ที่เกี่ยวข้องกับ สนธิสัญญาฉบับนี้ ที่เป็น ความผิดในทางอาญาระหว่างประเทศ ตามสนธิสัญญา ที่เกิดใหม่ เช่น สนธิสัญญาว่าด้วย การทรมานฯ ปี ค.ศ. ๑๙๘๔, สนธิสัญญาแห่งกรุงเฮก ปี ค.ศ. ๑๘๙๙ - ๑๙๐๗ ฯลฯ เป็นต้น

๓.๔ ในกรณีแห่งความผิดในทางอาญาระหว่างประเทศ เช่นที่เกิดในคดีนี้ จึงมีความเกี่ยวพัน กับ หลายๆสนธิสัญญา ที่มีรัฐคู่ภาคีของ ในแต่ละสนธิสัญญา ตามที่อ้างถึงอยู่แล้ว จึงมีความจำเป็น หรือไม่? ที่ต้องออกข้อบัญญัติ (Resolutions) ที่ ๘๒๗ (๑๙๙๓) ตามออกมา และ กลายเป็นข้อต่อสู้สำคัญของ จำเลยในคดีนี้

๔. ในกรณีของ จำเลย ในคดีนี้ ที่ได้ยกข้อสู้ต่อสู้ ในคดีมาแต่ต้น โดยได้ต่อสู้ว่า สงครามกลางเมือง ที่เกิดในแคว้นบอสเนียฯ ไม่มีคุณลักษณะ ที่เป็นสงคราม ที่เกี่ยวพันกับ ต่างประเทศ (Characterized as International Conflict)

๕. ความเกี่ยวพัน กับ ต่างประเทศ นั้น จะเป็นตัวชี้ว่า จำเลยในคดีนี้ ควรต้องรับโทษในฐานที่เป็น "อาชญากรสงคราม" หรือ "war Criminal" ตามที่โจทก์ฟ้องในคดีหรือไม่? มาถึงตรงนี้ เห็นควรต้อง อธิบาย ให้ท่านผู้อ่านเข้าใจ ในข้อกฎหมายเสียก่อนว่า

๖. ในช่วงต่อของ สงครามโลกครั้งที่สอง ในห้วงเวลาของ สงคราม และ ความสงบ และสันติสุข ที่มนุษย์ส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ โดยเฉพาะบนพื้นแผ่นดินยุโรป และ ทวีปอเมริกาเหนือ นั้น ได้แผชิญ กับ ภาพอันเลวร้าย และ หฤโหดของ สงครามโลกครั้งที่สอง นั่นคือ ภาพของการรบพุ่งกัน บนพื้นแผ่นดินยุโรป และ ในเอเซีย {กองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตร กับ กองทัพของลูกพระอาทิตย์ ภาพการฆ่า ด้วยวิธีการล้างเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ คือ ชาวยิวกว่า -๔,๐๐๐,๐๐๐ (สี่ล้าน) คน ในค่ายกักกันมนุษย์ของ พรรคนาซีเยอรมัน) บนพื้นดินยุโรป และ ภาคพื้นเอเชีย}

๗. ด้วยเหตุนี้ จึงนำมาซึ่งการก่อตั้งสนธิสัญญาฉบับสำคัญๆ ๕ ฉบับ เป็นอย่างน้อย คือ:

๗.๑ (สนธิสัญญา ) ลอนดอนชาร์เตอร์ ปี ค.ศ. 1938 หรือ London Charter, 1938 ที่บัญญัติความผิด และ โทษที่จะใช้ลง โดยศาลนูเรมเบริกก์ ตามสนธิสัญญานี้ เมื่อผู้กระทำความผิด เป็นทหาร แล้วไปกระทำการฝ่าฝืนต่อ บทบัญญัติของ ลอนดอนชาร์เตอร์ ปี ค.ศ. 1938 โทษที่จะลงก็คือ การลงโทษด้วยการประหารชีวิต ด้วยการแขวนคอสถานเดียว สนธิสัญญานี้ ยังมีผลบังคับใช้อยู่

๗.๒ หากไม่ทำการ เปิดศาลที่เมืองนูเรมเบริกก์ มาเป็นศาลพิจารณาโทษ ก็ยอมให้ชาติ หรือ รัฐคู่ภาคีสมาชิกของกฎบัตรสหประชาชาติ (โดยความยินยอมของ คณะมนตรีความมั่นคง ตั้งศาล และ เลือกตัวผู้พิพากษาร่วมผสม กับ ผู้พิพากษาที่องค์การสหประชาชาติ เลือกตั้งมาจากชาติสมาชิก โดยกระจายตามภูมิภาค มาป็นองค์คณะ ที่มีอำนาจพิจารณา และ พิพากษาโทษ ที่อาชญากรสงครามแต่ละคน ได้ก่อให้เกิดขึ้น) โดยพิจารณาโทษ โดยศาลภายในประเทศ หรือ

๗.๓ ให้ศาลโลกที่กรุงเฮก ใช้สำนักงานศาลโลก และตัวศาล ร่วมกันกับศาลในประเทศ ที่การกระทำความผิด ได้เกิดขึ้น ทำการพิจารณา และ พิพากษาแก่โทษ ที่อาชญากรสงคราม (War Criminals) แต่ละคน เราเรียกว่าใช้ หลักการ Ex - Officio หรือ Good่ Office แก่ความผิด ที่ได้กระทำความผิดลงไป อย่างที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต คือ คดี ล็อคเคอร์บี้ (Lockerbie Case, การระเบิดเครื่องบิน Pan AM เที่ยวบินที่ 103 พร้อมผู้โดยสาร นักบิน และ ลูกเรือ เสียชีวิต ทั้งลำ จำนวนกว่า -๒๐๐ (สองร้อย) คน จนเครื่องบินตก ที่เมือง ล็อคเคอร์บี้ ในสก็อตแลนด์ ประเทศอังกฤษ

๘. ด้วยเหตุนี้ จึงต้องขอเตือนไปยัง คณะ คสช. บรรดานายทหารทั้งหลาย ในกองทัพทั้งสามของ ประเทศไทยว่า การที่ท่านแส่ สอดแทรก เข้าไปจัดการ ในเกือบทุกๆเรื่อง ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ตามอำนาจหน้าที่ ที่ควรเป็นของ รัฐบาลพลเรือน ตามคำสั่ง "ท่านผู้นำ" ของคณะ คสช. ท่านมีโอกาศสูงเกินกว่า -90%- ที่จะต้อง ตกเป็น ผู้ต้องหาในฐานความผิดเป็น "อาชญากรสงคราม"

๙. ตาม (สนธิสัญญา) ลอนดอนชาร์เตอร์ ปี ค.ศ. 1938 เมื่อใดก็ตามที่ คณะมนตรีความมั่นคงของ องค์การสหประชาชาติ เกิดบ้าเลือดขึ้นมา และ ประกาศใช้ อำนาจพิจารณา และ มีคำสั่ง ตามอำนาจหน้าที่ และ การใช้อำนาจ หน้าที่ของ คณะมนตรีความมั่นคง ตาม บทที่ 7 หรือ Chapter VII บทบัญญัติที่ 51 กฎบัตรของ องค์การสหประชาชาติ ฉะนั้น ขอได้โปรด "เลิกบ้าอำนาจ" ได้แล้ว จึงต้องขอเตือนสติไว้ด้วย บทความบทนี้. ................(มีต่อ)

ประเทศไทยจะซ่อนการกบฎไว้ใต้พรมได้จริงหรือ?

ประเทศไทยจะซ่อนการกบฎไว้ใต้พรมได้จริงหรือ?

NY Times ลงบทความ commentary วิพากษ์ปฏิกริยาของทหารต่อการก่อการร้ายในไทย อ่านแล้วน่าสนใจมาก

Matt Wheeler ผู้เขียนเริ่มต้นจากประเด็นเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ในภาคใต้ช่วงหลังประชามติที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐได้ออกมาปฏิเสธอย่างทันทีว่าไม่ใช่การก่อการร้าย และพลเอกประยุทธยังกล่าวเสริมด้วยว่าเป็นฝีมือของกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ทางการเมืองจากผลประชามติ

กลุ่มคนที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูของรัฐบาล (opponents of the government) รวมถึงกลุ่มเสื้อแดงถูกจับกุม แม้ว่าการระเบิดครั้งนี้จะไม่ได้มีความคล้ายคลึงกับความรุนแรงครั้งก่อนๆ โดยฝ่ายที่นิยมทักษิณ รวมถึงว่าไม่ได้มีลักษณะเหมือนกับการระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณเมื่อปี 2015 ด้วย 

ในทางกลับกัน การระเบิดครั้งนี้มีลักษณะเดียวกับเหตุระเบิดอื่นๆ โดยกลุ่ม BRN (กลุ่มก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนใต้) โดยปกติแล้วกลุ่ม BRN ก็จะไม่ออกมาเคลมว่าเป็นผู้ลงมือ และการสืบสวนจากทางตำรวจก็ปรากฏว่าระเบิดที่ใช้เป็นแบบเดียวกับกลุ่มติดอาวุธในสามจังหวัดชายแดนใต้

ผู้เขียนกล่าวต่ออีกว่า เจ้าหน้าที่รัฐไทยมักจะใช้ขั้วตรงข้ามทางการเมืองภายในประเทศเป็นแพะรับบาปของการก่อการร้าย เช่นคดีเผาโรงเรียนสามจังหวัดในปี 1993 ถูกโยนให้ "กลุ่มอำนาจเก่า" และคดีระเบิดเกาะสมุยปี 2015 ก็ถูกอ้างว่าเป็นฝีมือของกลุ่มนักการเมืองที่สูญเสียอำนาจจากการรัฐประหาร แต่การกล่าวหาเหล่านั้นก็ไม่เคยมีหลักฐานที่จับต้องได้ และตำรวจก็เชื่อมโยงเหตุระเบิดกับสามจังหวัดชายแดนใต้ในที่สุด

คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมรัฐบาลทหารไทยถึงกระตือรือร้นกับการเบี่ยงความสนใจออกจากกลุ่มก่อการร้าย (และยัดเยียดความผิดให้ศัตรูทางการเมือง) ขนาดนั้น? Matt ตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่รัฐกำลังปฏิเสธว่าไทยกำลังตกเป็นเป้าของการก่อการร้าย เนื่องจากต้องการรักษาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ที่ให้รายได้ทางอ้อมคิดเป็นราวๆ 20% ของ GDP ประเด็นที่สองคือ การนิยามให้เป็นเพียง "การก่อกวน" ก็เป็นการช่วยกลบเกลื่อนนัยยะทางการเมืองของเหตุการณ์เหล่านี้ หากยอมรับ "การก่อการร้าย" ก็เท่ากับว่าทหารไทยต้องยอมรับความล้มเหลวในการแก้ปัญหาของตนเองด้วย

นอกจากนี้ เสียงส่วนใหญ่ของทั้งสามจังหวัดยังโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด สื่อถึงการต่อต้านกองทัพและการรวมศูนย์อำนาจ 

ในตอนท้าย ผู้เขียนยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงเหตุผลในการขยับขยายบริเวณการก่อเหตุของกลุ่มก่อการร้ายว่า การก่อการร้ายได้สามจังหวัดเพียงอย่างเดียวไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจอีกต่อไป นอกจากนี้ ผู้นำกลุ่ม BRN ยังได้ปฏิเสธกระบวนการเจรจาที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลทหารด้วย พวกเขามองว่ากระบวนการเหล่านี้เป็นเพียงการพูดคุยที่ปราศจากสาระของการเจรจาต่อรอง นอกจากนี้ ผลประชามติยังบ่งบอกว่า ความหวังของการเจรจากับรัฐบาลกลางที่มาจากการเลือกตั้งก็ริบหรี่เต็มที เพราะรัฐบาลทหารจะยังคงกุมอำนาจไปอีกอย่างน้อยหกปี

จากที่กล่าวมาทั้งหมด การที่กลุ่มติดอาวุธก่อเหตุครั้งล่าสุดนี้อาจบ่งบอกว่า ความขัดแย้งได้ยกระดับเข้าสู่ระยะใหม่ ซึ่งอาจเพิ่มความขัดแย้งทางศาสนา และอาจเติมเชื้อไฟให้กลุ่มติดอาวุธชาวพุทธด้วย

อาจกล่าวได้ว่าเหล่านายพลผู้บริหารประเทศนั้น "สายตาสั้น" หากพวกเขายังคงปฏิเสธการมีอยู่ของการก่อการร้ายให้กลายเป็นเพียงความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับภาคใต้ ทางที่ดีที่สุดคือการตระหนักว่ามันเป็นปัญหาทางการเมือง ที่จำเป็นต้องมีการแก้ไขทางการเมืองด้วย ซึ่งหมายถึงการให้เสรีภาพในการแสดงออกแก่ประชาชน การเจรจากับกลุ่มติดอาวุธอย่างจริงใจ และหาทางกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

ปล. เห็นว่าน่าสนใจดีเลยแปลเล่นๆ ถ้ามีตรงไหนผิดหรือตกหล่นรบกวนชี้แนะด้วยค่ะ :)

ประวิทย์ กับ ประวัติที่ไม่เคยผ่านการรบ!?

"ปัจจุบันเป็นผลของอดีต และ ปัจจุบันเป็นเหตุแห่งอนาคต"

"โกหกให้อนุชนรุ่นหลังฟังดูดีในสายตาคนไม่รู้"

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นทหารรับใช้ เปิดประตูรถยนต์ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมัยเป็นนายกรัฐมนครี เคยไปรบที่ไหนสมรภูมิใดครับ?
ช่างพูดจนเกินจริงขนาดในภาพด้านล่าง
ยกตนข่มผู้สื่อข่าวและประชาชนที่เกิดไม่ทัน
เอาความดีตรงไหนมากล่าวตามภาพ

แค่คิดก็ผิดหรือ?

ทำงานอาชีพข้าราชการทหาร ไม่ใช่ จะมีสิทธิเหนือคนอื่น เกษียณอายุ 12 ปี ยังอยู่บ้านพักข้าราชการทหารในกรมทหารราบที่๑๑ บางเขน
สงสัยไม่กล้าออกมาอยู่นอกกรมฯกลัวตายม้าง?

==============================

ประวัติจากวิกีพีเดีย
ค้นหามาลงให้อ่านและอ้างอิงตามข้อมูลที่หาได้
ผมมักพบกับคนที่คุยด้วยในสังคมที่เป็นจริงและสรุปคำโต้แย้งได้พอมีสาระสำคัญตามนี้
สลิ่มชอบเถียงว่า อ้างวิกีพีเดียเชื่อถือไม่ได้
(ใครพูดแบบนี้หันธง "สลิ่มแท้100%)

===========================+
ด้วยสนใจที่มาของแต่ละบุคคลที่เป็นข่าว
จึงต้องสืบค้นหาอ่านเท่าที่ค้นหาได้
===========================
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ 

ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ประวิตร วงษ์สุวรรณ

รองนายกรัฐมนตรี
อยู่ในวาระ
เริ่มดำรงตำแหน่ง
30 สิงหาคม พ.ศ. 2557
นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
อยู่ในวาระ
เริ่มดำรงตำแหน่ง
30 สิงหาคม พ.ศ. 2557
นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ก่อนหน้า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ดำรงตำแหน่ง
20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 – 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554
นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ก่อนหน้า สมชาย วงศ์สวัสดิ์
ถัดไป ยุทธศักดิ์ ศศิประภา
รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
อยู่ในวาระ
เริ่มดำรงตำแหน่ง
11 กันยายน พ.ศ. 2557
ผู้บัญชาการทหารบก
ดำรงตำแหน่ง
1 ตุลาคม พ.ศ. 2547 – 30 กันยายน พ.ศ. 2548
ก่อนหน้า ชัยสิทธิ์ ชินวัตร
ถัดไป สนธิ บุญยรัตกลิน
แม่ทัพภาคที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
1 ตุลาคม พ.ศ. 2545 – 30 กันยายน พ.ศ. 2546
ก่อนหน้า พรชัย เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา
ถัดไป ไพศาล กตัญญู
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด 11 สิงหาคม พ.ศ. 2488 (71 ปี)
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
ศาสนา พุทธ
การเข้าเป็นทหาร
สังกัด กองทัพบกไทย
ปีปฏิบัติงาน พ.ศ. 2512 - พ.ศ. 2548
ยศ  พลเอก
บังคับบัญชา กองทัพบก
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ บิ๊กป้อม ลูกสาว วรรณนิศา วงษ์สุวรรณ (11 สิงหาคม พ.ศ. 2488 -) รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบัน รองหัวหน้าและประธานคณะที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ[1] รองประธานคณะกรรมการในคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ , อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ [2] และอดีตผู้บัญชาการทหารบก

ประวัติ แก้ไข

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เป็นบุตรของพลตรี ประเสริฐ วงษ์สุวรรณ กับนางสายสนี วงษ์สุวรรณ มีน้องชาย 4 คน คือ พลเรือเอก ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ นายพงษ์พันธุ์ วงษ์สุวรรณ และนาย พันธุ์พงษ์ วงษ์สุวรรณ ลูกสาว วรรณนิศา วงษ์สุวรรณ[3] ข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารองประธาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คนที่สอง[4]

การศึกษา แก้ไข

พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ สำเร็จการศึกษาจาก โรงเรียนเซนต์คาเบรียล จากนั้นในปี พ.ศ. 2508 ได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6 พ.ศ. 2512 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 17 พ.ศ. 2521 โรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำ ชุดที่ 56 และในปี พ.ศ. 2540 สำเร็จหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 40 พ.ศ. 2556 ได้รับมอบเกียรติบัตรพิเศษ วิชาการคอมมิวนิสต์ จากวิทยาลัยสังคมนิยมจีน รุ่นที่ 15

การทำงาน แก้ไข

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เริ่มรับราชการทหาร[5] ดังต่อไปนี้

พ.ศ. 2512 ผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 2 กรมผสมที่ 3
พ.ศ. 2514 ผู้บังคับหมวดเครื่องยิงหนัก กองร้อยเครื่องยิงหนัก กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2517 ผู้บังคับกองร้อยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2519 นายทหารยุทธการและการฝึก กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2520 ประจำโรงเรียนเสนาธิการทหารบก
พ.ศ. 2522 นายทหารฝ่ายยุทธการ กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2523 รองผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2524 ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2527 ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2529 รองผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2532 ผู้บังคับการกรมทหาราบที่ 12 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2536 รองผู้บัญชาการกองพลทหาราบที่ 2 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2539 ผู้บัญชาการกองพลทหาราบที่ 2 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2540 รองแม่ทัพภาคที่ 1
พ.ศ. 2541 แม่ทัพน้อยที่ 1
พ.ศ. 2543 ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก
พ.ศ. 2544 ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายยุทธการ
พ.ศ. 2545 แม่ทัพภาคที่ 1
พ.ศ. 2546 ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
1 ตุลาคม พ.ศ. 2547 - 30 กันยายน พ.ศ. 2548 ผู้บัญชาการทหารบก
ในปีพ.ศ. 2554 ได้รับตำแหน่ง เป็นคณะดำเนินคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกรณีประเทศกัมพูชาฟ้องร้องประเทศไทย[6]

ในปีพ.ศ. 2558เขาเป็นกรรมการในคณะกรรมการต่างๆ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี 12 คณะกรรมการ[7]และเป็นรองประธานคณะกรรมการในคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ

ภารกิจพิเศษที่ได้รับมอบและรางวัลที่ได้รับ แก้ไข

ราชองครักษ์เวร ตั้งแต่ พ.ศ. 2534 จนถึงปัจจุบัน
ผู้อำนวยการ กองอำนวยการร่วมถวายความปลอดภัยวังไกลกังวล ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2545 จนถึง 30 กันยายน 2546
ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ 1 เมษายน 2539 จนถึง 1 ตุลาคม 2540
โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่าบริเวณพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด(ภาคตะวันออก) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (2545-2546)
ประธานกรรมการโครงการสวนป่าเฉลิมพระเกียรติในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จังหวัดราชบุรี (2545-2546)
ประธานนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6 (ทบ.)
ได้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว ประจำปีพุทธศักราช 2540 สาขาการพัฒนาทางทหาร
ชีวิตและการเมือง แก้ไข

พล.อ.ประวิตร มีชื่อเล่นว่า "ป้อม" จึงได้รับการเรียกขานเล่น ๆ จากสื่อมวลชนว่า "บิ๊กป้อม" เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 6 และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่ 17 รุ่นเดียวกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พล.อ.วินัย ภัทธิยะกุล ระหว่างเรียนมีรหัส 7647

พล.อ.ประวิตร ถือได้ว่าเป็นนายทหารที่เติบโตมาจากกองทัพภาคที่ 1 ทางภาคตะวันออกมาโดยตลอด โดยสังกัดกับกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) หรือที่เรียกกันว่า "ทหารเสือราชินี" ถือได้ว่าเป็นนายทหารรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้บัญชาการทหารบก และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันด้วย

พล.อ.ประวิตร เป็นผู้ที่มีชื่อมาตั้งแต่แรกว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้วตั้งแต่ นายสมัคร สุนทรเวชและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไป ถึงแม้นว่าทางฝ่ายพรรคเพื่อไทยจะได้เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม

ในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบของกลุ่ม นปช. เมษายน พ.ศ. 2552 ในวันที่ 12 เมษายน เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีประกาศใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินที่กระทรวงมหาดไทยในช่วงเวลาเที่ยง เมื่อกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติได้บุกเข้าไปในพื้นที่กระทรวง พล.อ.ประวิตรซึ่งอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ต้องวิ่งหลบหนีเพื่อความปลอดภัยด้วย

ปลายปี พ.ศ. 2553 สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ได้ตั้งฉายาว่า "ป้อมทะลุเป้า" สืบเนื่องจากผลงานด้านความมั่นคงในการสลายการชุมนุมเสื้อแดงที่บรรลุเป้าหมาย รวมถึงการขออนุมัติงบประมาณต่างๆที่ถูกครหาด้วย[8] ในปี พ.ศ. 2557 หลังการยึดอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เขาได้รับแต่งตั้งเป็นประธานที่ปรึกษา และเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา[9] และได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลงานด้านความมั่นคง

14 มิถุนายน พ.ศ. 2559 คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 61 แต่งตั้ง นายปฏิคม วงษ์สุวรรณ ลูกพี่ลูกน้องพลเอกประวิตร เป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์[10]

ชีวิตส่วนตัว พล.อ.ประวิตร ครองตนเป็นโสดมิได้เคยผ่านการสมรสมาก่อน[11]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แก้ไข

เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[12]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)

ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ต.จ.ว.)

เหรียญชัยสมรภูมิ (กรณีสงครามเวียดนาม)

เหรียญพิทักษ์เสรีชน (ชั้นที่1)

เหรียญราชการชายแดน

เหรียญจักรมาลา

เหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1[13]
อ้างอิง แก้ไข

↑ ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 122/2557 เรื่อง แต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 131, ตอนพิเศษ 181 ง , 15 กันยายน พ.ศ. 2557, หน้า 2
↑ พระบรมราชโองการ ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
↑ บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ
http://www.rta.mi.th/COMMAND/command17/_history/his_pravit.htm ประวัติพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณผู้บัญชาการทหารบก
↑ ฉายานักการเมืองปี 53
↑ พระบรมราชโองการ ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี (จำนวน 32 ราย)
↑ จาก "ผบ.ทบ.โสดสนิท" คนแรก สู่ "รมว.กลาโหมที่ไม่มีภริยา" คนแรก ในประวัติศาสตร์
↑ ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย (ชั้นสายสะพาย ในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๔๖) เล่ม 120 ตอนที่ 19ข วันที่ 1 ธันวาคม 2546
↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ และเหรียญลูกเสือสดุดี ประจำปี 2551
แหล่งข้อมูลอื่น 

อ่านในภาษาอื่น
Last edited 16 days ago by an anonymous user

Monday, August 22, 2016

17 แดง “พรรคปฏิวัติ” คือใคร? จากมุมมอง คมชัดลึก

17 แดง "พรรคปฏิวัติ" คือใคร?
หลังเกิดเหตุระเบิดใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ทหารได้ควบคุมตัว "คนเสื้อแดง" จากทั่วประเทศมาควบคุมตัวไว้ที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11)
เพื่อหาข้อมูลว่า พวกเขาเกี่ยวข้องกับการก่อวินาศกรรมดังกล่าวหรือไม่? 

วันที่ 18 ส.ค.ที่ศาลทหารกรุงเทพ พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้นำพยานหลักฐานไปขออนุมัติหมายจับที่ศาลทหารกรุงเทพฯ เพื่อจับกุม 17 ผู้ที่ทหารควบคุมตัวไว้ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาตาม มาตรา 209 ตามประมวลกฎหมาย ป.วิอาญา ข้อหาการกระทำผิดอั้งยี่ และฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ว่าด้วยการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ทั้งนี้ผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในการควบคุมทั้งหมด 17 คน

17 แดง "พรรคปฏิวัติ" คือใคร?

       จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 17 คน ซึ่งถูกควบคุมตัวที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ทราบว่า พวกเขาเป็นสมาชิกของ"พรรคปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตย" หรือ "แนวร่วมปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตย" (นปป.) ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ มีแนวคิดต่อสู้ทางการเมืองกับอำนาจรัฐ

       จากการตรวจสอบปูมหลังของผู้ต้องหาคดีอั้งยี่ซ่องโจร จำแนนออกเป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มนักทฤษฎีภาคใต้

       ตัวละครหลักมี 2 คน คือ ประพาส โรจนพิทักษ์ อายุ 67 ปี ชาว จ.ตรัง ที่ถูกควบคุมตัวเข้าค่ายทหารเป็นคนแรก พร้อมกับหนังสือชื่อ "คู่มือการต่อสู้ของคนเสื้อแดง"

       "ประพาส" เป็นสานุศิษย์ประเสริฐ ทรัพยสุนทร อดีตกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) และเป็นนักเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชนในพื้นที่ตรัง-พัทลุง-สตูล

17 แดง "พรรคปฏิวัติ" คือใคร?

       อีกคนหนึ่ง ปราโมทย์ สังหาญ อายุ 63 ปี ชาว จ.สตูล อดีตรองผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรกรรมสตูล และเป็นแกนนำเสื้อแดงสตูล พร้อมกับเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสมาพันธุ์ประชาธิปไตยภาคใต้

       ที่ฝ่ายความมั่นคงให้ความสนใจคือ ด.ต.ศิริรัตน์ มโนรัตน์ อายุ 71 ปี หรือฉายา "ปู่เล็ก" เป็นชาวพัทลุง แต่มีบ้านพักอยู่ใน จ.นนทบุรี

       "ปู่เล็ก" เป็นแดงอุดมการณ์ ที่มีการเคลื่อนไหวจัดตั้งและให้การศึกษาทางทฤษฎีการเมือง

17 แดง "พรรคปฏิวัติ" คือใคร?

       ส่วนคนอื่นๆ เป็นแนวร่วม นปช. อาทิ วิเชียร เจียมสวัสดิ์ อายุ 59 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช และ วิโรจน์ ยอดเจริญ อายุ 67 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช

กลุ่มแนวร่วมเสื้อแดง

17 แดง "พรรคปฏิวัติ" คือใคร?

       ผู้ต้องหากลุ่มนี้ เป็นแนวร่วมเสื้อแดง ที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่นอาทิ ชินวร ทิพย์นวล อายุ 71 ปี ชาว จ.เชียงราย แกนนำแดงเชียงราย, ณรงค์ ผดุงศักดิ์ อายุ 60 ปี ชาว จ.อ่างทอง แกนนำแดงอ่างทอง และ "ดอน" ศรวัชษ์ กุระจินดา อายุ 60 ปี ชาว จ.มหาสารคาม แนวร่วมแดงฮาร์ดคอร์

17 แดง "พรรคปฏิวัติ" คือใคร?

      ส่วนที่ถูกระบุว่าเป็นแดงฮาร์ดคอร์ ประกอบด้วย วีระชัฏฐ์ จันทร์สะอาด อายุ 62 ปี ชาวจ.นนทบุรี ,สรศักดิ์ ดิษปรีชา อายุ 49 ปี ชาว กทม.,เหนือไพร เซ็นกลาง อายุ 41 ปี และ บุญภพ เวียงสมุทร อายุ 61 ปี ชาว จ.เชียงราย

       ส่วน มีนา แสงศรี อายุ 39 ปี เป็นแม่ค้าขายน้ำพริก อยู่ย่านสวนหลวง

17 แดง "พรรคปฏิวัติ" คือใคร?

กลุ่มญาติผู้ต้องหาคดีขอนแก่นโมเดล

       ผู้ต้องหาชื่อ รุจิยา เสาสมภพ อายุ 52 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด นั้นเป็นภรรยาของผู้ต้องหาคดีขอนแก่นโมเดล ซึ่งหลบหนีคดีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน

       ส่วน ร.ต.ต.หญิง วิลัยวรรณ คูณสวัสดิ์ อายุ 54 ปี ชาวจ.หนองคาย และ ร.ต.ท.สมัย คูณสวัสดิ์ อายุ 57 ปี ชาวจ.หนองคาย เป็นพี่สาวพี่เขยของ "รุจิยา" โดยพวกเขาถูกควบคุมตัวมาจากหนองคาย

ด่วน! ใช้ ม.44 ขีดเส้น 3เดือน สั่งราชการ หาวิธีแก้ปัญหาคนใช้ศาสนาบิดเบือนสร้างขัดแย้ง

ด่วน! ใช้ ม.44 ขีดเส้น 3เดือน สั่งราชการ หาวิธีแก้ปัญหาคนใช้ศาสนาบิดเบือนสร้างขัดแย้ง

 ราชกิจจา-1024x576

วันที่: 22 ส.ค. 59 เวลา: 18:03 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ส.ค.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 49/2559 เรื่อง มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย ระบุว่า โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเกือบทุกฉบับที่มีมาในอดีตและฉบับที่ได้รับความเห็นชอบ ในการออกเสียงประชามติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ซึ่งจะประกาศใช้เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศในเร็วๆ นี้ ต่างบัญญัติรับรองว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนาและมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงได้กําหนดแนวนโยบาย แห่งรัฐว่า รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ซึ่งในประวัติการปกครองของประเทศไทยพระมหากษัตริย์และทางราชการได้อุปถัมภ์บํารุง และอารักขาคุ้มครองศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์เสมอมา ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือ การปฏิบัติพิธีกรรม ตลอดจนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมคําสอนของทุกศาสนา การละเมิดศาสนวัตถุ ศาสนสถานอันเป็นการเหยียดหยามศาสนาของหมู่ชนใด การก่อความวุ่นวายในเวลามีพิธีกรรม และการแต่งกาย หรือใช้เครื่องหมายของศาสนบุคคล โดยมิชอบย่อมเป็นความผิดตามกฎหมาย แม้แต่การละเมิดจารีตประเพณี ทางศาสนาใด ๆ ก็ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่สังคมตําหนิติเตียน หากผู้กระทําเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมมีความผิดทางวินัย นอกจากนั้น ยังเป็นที่ยอมรับว่า ศาสนาทั้งหลายต่างก็มีอิทธิพลเกื้อกูลวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของประชาชนชาวไทย แม้แต่บรรพชนไทยในอดีตที่มีส่วนในการรักษาเอกราชอธิปไตย และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง ก็ประกอบด้วยศาสนิกชนที่แม้นับถือศาสนาต่างกันแต่ก็ไม่มีปัญหาความแตกแยกเพราะมีจิตใจยึดมั่นในความเป็นชาติไทยร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ประเทศชาติกําลังต้องการความรู้รักสามัคคี ความปรองดอง และการปฏิรูปประเทศเพื่อไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ความสงบเรียบร้อย และความร่มเย็นเป็นสุข
ส่วนศาสนาก็มีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมคุณงามความดีและคุณธรรมที่ก่อให้เกิดความสงบร่มเย็น แต่กลับมีบางฝ่ายนําความแตกต่างอันเป็นปกติของสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมาขยายความ หรือบิดเบือนให้เป็นความขัดแย้งในหมู่ศาสนิกชนทั้งที่ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเพราะเกี่ยวกับ ความเชื่อความศรัทธา ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชนในชาติ จึงสมควรกําหนดมาตรการเพื่อประโยชน์ ในการปฏิรูป ความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ และการป้องกันการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลาย ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงแห่งชาติ
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 การอุปถัมภ์และคุ้มครองทุกศาสนาอันเป็นที่ยอมรับของทางราชการและประชาชนชาวไทย และการส่งเสริมศาสนิกชนทั้งหลายให้มีบทบาทในการพัฒนาประเทศ การสร้างความสามัคคีปรองดอง และการปฏิรูปประเทศโดยไม่ขัดต่อกฎหมายและหลักธรรมคําสอนทางศาสนาเป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานของรัฐ

ข้อ 2 ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา โดยที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ นับถือพระพุทธศาสนาตามแบบเถรวาทมาช้านานดังที่วัดวาอาราม พระภิกษุ การประกอบพิธีของทางราชการ บทสวดมนต์ การศึกษา การเผยแผ่ ตลอดจนการจัดการปกครองคณะสงฆ์ล้วนเป็นไปตามแบบเถรวาท มานานหลายศตวรรษ จึงให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา และการเผยแผ่หลักธรรม คําสอนที่ถูกต้องตามแนวทางดังกล่าวเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา สอดคล้องกับความเลื่อมใสศรัทธา ของผู้ที่นับถือศาสนาตามแบบนั้น ๆ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ในส่วนของการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาตามแบบมหายานไม่ว่าจะเป็นจีนนิกาย อนัมนิกายหรืออื่นใด ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์คุ้มครองจากรัฐตลอดมา ให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมคําสอนที่ถูกต้องตามแนวทางดังกล่าว เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา สอดคล้องกับความเล่อมใสศรัทธาของผู้ที่นับถือศาสนาตามแบบนั้น ๆ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย

ข้อ 3 ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาอื่น ได้แก่ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์ ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและรัฐได้ให้การอุปถัมภ์



ด่วน! ใช้ ม.44 ขีดเส้น 3เดือน สั่งราชการ หาวิธีแก้ปัญหาคนใช้ศาสนาบิดเบือนสร้างขัดแย้ง

ด่วน! ใช้ ม.44 ขีดเส้น 3เดือน สั่งราชการ หาวิธีแก้ปัญหาคนใช้ศาสนาบิดเบือนสร้างขัดแย้ง

 ราชกิจจา-1024x576

วันที่: 22 ส.ค. 59 เวลา: 18:03 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ส.ค.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 49/2559 เรื่อง มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย ระบุว่า โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเกือบทุกฉบับที่มีมาในอดีตและฉบับที่ได้รับความเห็นชอบ ในการออกเสียงประชามติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ซึ่งจะประกาศใช้เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศในเร็วๆ นี้ ต่างบัญญัติรับรองว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนาและมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงได้กําหนดแนวนโยบาย แห่งรัฐว่า รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ซึ่งในประวัติการปกครองของประเทศไทยพระมหากษัตริย์และทางราชการได้อุปถัมภ์บํารุง และอารักขาคุ้มครองศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์เสมอมา ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือ การปฏิบัติพิธีกรรม ตลอดจนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมคําสอนของทุกศาสนา การละเมิดศาสนวัตถุ ศาสนสถานอันเป็นการเหยียดหยามศาสนาของหมู่ชนใด การก่อความวุ่นวายในเวลามีพิธีกรรม และการแต่งกาย หรือใช้เครื่องหมายของศาสนบุคคล โดยมิชอบย่อมเป็นความผิดตามกฎหมาย แม้แต่การละเมิดจารีตประเพณี ทางศาสนาใด ๆ ก็ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่สังคมตําหนิติเตียน หากผู้กระทําเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมมีความผิดทางวินัย นอกจากนั้น ยังเป็นที่ยอมรับว่า ศาสนาทั้งหลายต่างก็มีอิทธิพลเกื้อกูลวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของประชาชนชาวไทย แม้แต่บรรพชนไทยในอดีตที่มีส่วนในการรักษาเอกราชอธิปไตย และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง ก็ประกอบด้วยศาสนิกชนที่แม้นับถือศาสนาต่างกันแต่ก็ไม่มีปัญหาความแตกแยกเพราะมีจิตใจยึดมั่นในความเป็นชาติไทยร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ประเทศชาติกําลังต้องการความรู้รักสามัคคี ความปรองดอง และการปฏิรูปประเทศเพื่อไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ความสงบเรียบร้อย และความร่มเย็นเป็นสุข
ส่วนศาสนาก็มีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมคุณงามความดีและคุณธรรมที่ก่อให้เกิดความสงบร่มเย็น แต่กลับมีบางฝ่ายนําความแตกต่างอันเป็นปกติของสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมาขยายความ หรือบิดเบือนให้เป็นความขัดแย้งในหมู่ศาสนิกชนทั้งที่ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเพราะเกี่ยวกับ ความเชื่อความศรัทธา ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชนในชาติ จึงสมควรกําหนดมาตรการเพื่อประโยชน์ ในการปฏิรูป ความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ และการป้องกันการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลาย ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงแห่งชาติ
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 การอุปถัมภ์และคุ้มครองทุกศาสนาอันเป็นที่ยอมรับของทางราชการและประชาชนชาวไทย และการส่งเสริมศาสนิกชนทั้งหลายให้มีบทบาทในการพัฒนาประเทศ การสร้างความสามัคคีปรองดอง และการปฏิรูปประเทศโดยไม่ขัดต่อกฎหมายและหลักธรรมคําสอนทางศาสนาเป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานของรัฐ

ข้อ 2 ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา โดยที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ นับถือพระพุทธศาสนาตามแบบเถรวาทมาช้านานดังที่วัดวาอาราม พระภิกษุ การประกอบพิธีของทางราชการ บทสวดมนต์ การศึกษา การเผยแผ่ ตลอดจนการจัดการปกครองคณะสงฆ์ล้วนเป็นไปตามแบบเถรวาท มานานหลายศตวรรษ จึงให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา และการเผยแผ่หลักธรรม คําสอนที่ถูกต้องตามแนวทางดังกล่าวเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา สอดคล้องกับความเลื่อมใสศรัทธา ของผู้ที่นับถือศาสนาตามแบบนั้น ๆ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ในส่วนของการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาตามแบบมหายานไม่ว่าจะเป็นจีนนิกาย อนัมนิกายหรืออื่นใด ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์คุ้มครองจากรัฐตลอดมา ให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมคําสอนที่ถูกต้องตามแนวทางดังกล่าว เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา สอดคล้องกับความเล่อมใสศรัทธาของผู้ที่นับถือศาสนาตามแบบนั้น ๆ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย

ข้อ 3 ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาอื่น ได้แก่ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์ ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและรัฐได้ให้การอุปถัมภ์



วาทกรรม “ทักษิณ” คือ ทุนสามานย์ ที่แท้มันคือ...

ท่านใด ที่มีความเชื่อว่า "ทักษิณ" คือ ทุนสามานย์ อาจต้องใช้เวลาทำใจสักนิด หากจะอ่านเอกสารนี้ (แสดงต่อท้าย)

เพราะเอกสารชุดนี้ จะแสดงให้เห็นว่า ยุค คมช. (พี่บัง) ทีมการข่าวนั้นมีการวางแผน และปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ ในการใส่ร้ายป้ายสี และทำให้คนในสังคมเชื่อว่า ทักษิณ คือตัวร้าย

นับแต่รัฐประหาร 2549 จนถึงรัฐประหารในยุค 2557 ถึงปัจจุบัน ก็ยังมีการ "ใส่ร้าย" ใส่สีตีไข่ และการปฏิบัติการข่าวสาร (io- information operation) ‪#‎เพื่อใส่ร้ายแก่กลุ่มอำนาจเก่า‬

เมื่อท่านทั้งหลายอ่านดูเองแล้ว ก็ขอโปรดย้อนพิจารณาตนเอง เผื่อจะเกิดความตระหนักว่า ‪#‎ตัวท่านเกลียดทักษิณเข้าไส้แบบที่ตนเองก็ไม่ทราบสาเหตุ‬
หากท่านเกลียดทักษิณ แบบอธิบายไม่ได้ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายสงบสติอารมณ์ และเข้าใจเถิดว่า "ท่านตกเป็นหยื่อของการปฏิบัติการข่าวสารทางทหาร" เข้าให้เสียแล้ว
หากจะกลับใจ ไปค้นคว้าหาข้อมูลเสียบ้าง ก็ยังไม่สาย
– – – – – – – – – –
สรุปข้อมูล หขส. สำคัญ
แผ่นที่ ๑/ ๘
หนังสือปะหน้า สรุปผลการประชุมคณะกรรมการปฏิบัติการข่าวสาร (คขส.ทภ.๑) เมื่อ ๑๙ ม.ค.๕๐ บันทึกข้อความ ลับมาก
บันทึกข้อความ ลับมาก
ที่ กห ๐๔๘๑(กร.)/ ๐๑๔
๑๙ ม.ค.๕๐
– – – – – – – – – –
แผ่นที่ ๒/ ๘
บันทึกข้อความ ลับมาก
ที่ คขส./ ๑๐
๑๙ ม.ค.๕๐
สรุปผลการประชุมคณะกรรมการปฏิบัติการข่าวสาร (คขส.ทภ.๑)
ประเด็นกลุ่มเคลื่อนไหวต้าน คมช.
ให้ส่วนที่เกี่ยวข้อง ‪#‎ดำเนินการที่เหมาะสมในทางลับ‬ โดยให้มีอิทธิพลต่อผู้บงการ และรากแก้วโดยตรง และ ‪#‎ดำเนินการอย่างเป็นจังหวะ‬ และ ‪#‎ต่อเนื่อง‬
– – – – – – – – – –
แผ่นที่ ๓/ ๘
‪#‎ขออนุมัติ‬ หน่วยที่เกี่ยวข้องดำเนินการ
ให้ส่วนที่เกี่ยวข้อง #ดำเนินการที่เหมาะสมในทางลับ โดยให้มีอิทธิพลต่อผู้บงการ และรากแก้วโดยตรง และ #ดำเนินการอย่างเป็นจังหวะ และ #ต่อเนื่อง
(กรณีนี้ คิดถึงปัจจุบัน คือยุคของ คสช. เพราะมีการดำเนินการทางลับหลายอย่าง อาทิ การไปข่มขู่นักกิจกรรม เรื่องของการอุ้มนักกิจกรรม อุ้มแอดมินจากบ้าน
หรือแม้แต่ข่าวล่าสุด ว่ามีการไปอุ้มผู้ลี้ภัย (อิทธิพล สุขแป้น-ซุนโฮ) จากประเทศเพื่อนบ้าน แปลว่าเขา กองทัพไทย ยังคงยึดหลักการ "มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู" และจำเป็นที่จะต้องกำจัดคนเหล่านี้มานานแล้ว)
– – – – – – – – – –
แผ่นที่ ๔/ ๘
แผนการและผลการปฏิบัติการของกลุ่มงาน ประชาสัมพันํธ์เชิงรุก ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ( ตามผลการประชุมคณะกรรมการปฏิบัติการข่าวสาร (คขส.ทภ.๑) )
ปฏิบัติการ ๑.๑ ลดความน่าเชื่อถือของกลุ่มอำนาจเก่า ‪#‎ด้วยการทำให้ประชาชน‬ " เชื่อ " ว่าทักษิณ คือตัวแทนทุนสามานย์
– – – – – – – – – –
แผ่นที่ ๕/ ๘
ปฏิบัติการ ๑.๒ ‪#‎ทำให้ประชาชนเข้าใจว่ากลุ่มอำนาจเก่าทำเพื่อตัวเองและพวกพ้อง‬
" ‪#‎หลอกให้เชื่อ‬ " ว่าทักษิณ คือทุนสามานย์
ปฏิบัติการ ๑.๓ ทำให้ประชาชนรู้สึกร่วม ในประเด็นที่ต้องการ ‪#‎ปลุกกระแสคลั่งชาติ‬ หรือ ‪#‎เชื่อแบบโงหัวไม่ขึ้น‬
– – – – – – – – – –
แผ่นที่ ๖/ ๘
ปฏบัติการ ๒ การตอบโต้
๒.๑.๑ ขยายผลการทุจริต
๒.๑.๒ หากมีประเด็นอะไรร้อนแรง ‪#‎ให้รีบโต้แย้ง‬ หรือ ‪#‎ให้รีบเบี่ยงประเด็น‬
๒.๒ จับประเด็นข่าวน่าสนใจ มาทำเพื่อโน้มน้าวให้ประาชนเชื่อ และคล้อยตาม
– – – – – – – – – –
แผ่นที่ ๗/ ๘
๒.๔ ตอบโต้การโดนโจมตีทางอินเตอร์เน็ต ไม่ให้กลุ่มอำนาจเก่าครอบงำ
๓. ด้านการต่างประเทศ
๓.๑ จ้างบริษัทพีอาร์จากต่างประเทศ มาขยายเรื่องอำนาจเก่า
– – – – – – – – – –
แผ่นที่ ๘/ ๘
สร้างกระแสให้ทุกฝ่าย ‪#‎ต้านการกลับมาของกลุ่มอำนาจเก่า‬ ผ่านทาง ‪#‎พรรคประชาธิปัตย์‬
แม้พลังประชาชนจะชนะการเลือกตั้งมา ก็จะต้องโทษ(โยนความผิดใส่) และยุยงให้คนเชื่อว่า คนพรรคนี้ ไม่ควรได้เป็นนายกรัฐมนตรี (ประชาชนเลือกมาก็ช่างปะไร)
กองทัพเราก็ต้องเชิญคนที่พูดได้ มาพูดใส่ร้ายพลังประชาชน ให้คนเชื่อว่ามันกลับมาโกงกินอีก (ฮั่นแน่) และทำให้สังคมเชื่อว่าพลังประชาชนนั้น โดดเดี่ยวจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หรือถ้าเป็นรัฐบาลได้ก็จะมาล้มล้าง คตส. มาออกพรบ.นิรโทษกรรม (ตอนปี ๕๑-๕๒ ยังไม่มีการออกพรบ.นิรโทษกรรม มาออกตอน ๕๖ ก็เข้าทางตีนประชาธิปัตย์ และคสช.พอดี)
ให้พื้นที่แก่พรรคการเมืองทั้งหมด ยกเว้น พลังประชาชน ต้องย้ำสิ่งที่เสื่อมเสียของพลังประชาชน
‪#‎สร้างข่าวลือโจมตี‬ กลุ่มอำนาจเก่า (ทักษิณ)
‪#‎ใช้ข่าวลือ‬ และสื่อไม่เป็นทางการ
‪#‎ใส่ร้ายทักษิณ‬ ว่าทักษิณโจมตีสถาบัน
– – – – – – – – – –
หากท่านอ่านจนจบ มาถึงบรรทัดนี้แล้ว
และเริ่มสงสัยกับความคิดของตนเอง
ท่านไม่ต้องเชื่อ ท่านพิจารณาหาข้อมูลดูดีๆ
ละวางอคติในใจลงก่อน ทำจิตให้สงบ
แล้วค่อยๆ ทบทวนตนเอง

และหากท่านใด มีเพื่อนฝูงญาติมิตร ที่เกลียดแม้วมาก เกลียดแบบอธิบายให้ฟังอย่างไร ก็ไม่สนใจ ลองบอกเขาว่า ใจเย็นๆ ลองอ่านเอกสารทั้งชุดนี้ดูก่อน
และ tag เพื่อนของท่านเข้ามาในคอมเม้นต์ด้วย์ เขาจะได้มาอ่าน และลองศึกษาดู
หรือ อย่างง่าย ที่ท่านทั้งหลายจะทำได้ก็คือ
‪#‎ช่วยๆกันแชร์ออกไปให้มากที่สุด‬ (เอามาให้อ่านกันอีกที)
facebook
จากเฟสบุค กู…ต้องได้..100..ล้าน
17 สิงหาคม 2559 22.40 น.

เราควรกังวลเรื่องความแตกต่างและเป็นเอกเทศทางความคิดของขบวนประชาธิปไตยหรือไม่? เพียงใด?

เราควรกังวลเรื่องความแตกต่างและเป็นเอกเทศทางความคิดของขบวนประชาธิปไตยหรือไม่? เพียงใด?
____________________________________________

ผมได้รับทราบถึงความกังวลของพี่น้องเราต่อความแตกต่าง หรือเหมือนขัดแย้ง ของนักเคลื่อนไหวทางความคิดของฝั่งประชาธิปไตย และได้ฟังความรอบด้านจากฝ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการเลือกตั้งใต้ระบอบเผด็จการ แล้วนั้น 
ขออธิบายความ ตามที่ผมเข้าใจดังนี้ครับ 

หนึ่ง ท่าทีดร.ทักษิณ คุณยิ่งลักษณ์ และแกนนำพรรคเพื่อไทยนั้น ยังไม่ชัด ส่วน คสช.เอง ก็ยังมีลูกเล่นในการเตะถ่วงการเลือกตั้งออกไป หากไม่แน่ใจในชัยชนะ และอาจจะเร่งให้เลือกตั้งเร็วเกินคาดเหมือน ตอนลงประชามติ หากพวกเขามั่นใจว่ากำชัยได้แน่นอนแล้ว (บนความได้เปรียบเชิงอำนาจ ด้วยรัฐธรรมนูญที่พวกเขายัดเยียดให้คนไทยสำเร็จ)

สอง ท่าทีของ นปช.ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการขององค์กร แต่ในเชิงเนื้อหา เห็นชัดว่า นปช.อ่านเกมเผด็จการไทยขาด และไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังสงวนทีท่าขององค์กรไว้

สาม วิทยากรฝ่ายประชาธิปไตยในระดับนำ ล้วนแต่ยืนยันว่า เลือกตั้งครั้งหน้านี้ เป็นการเลือกตั้งใต้ระบอบเผด็จการ ไม่ใช่การก้าวเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย และมีแต่จะนำไปสู่การขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ และสิ่งสำคัญคือ เราต้องสามัคคีกัน อย่าแตกแยกเพราะความเห็นต่าง 

สี่ ความเห็นส่วนตัวของผมคือ ขณะที่จุดยืนฝ่ายการเมืองฝั่งประชาธิปไตยยังไม่ชัด และการเลือกตั้งก็ยังไม่แน่นอนว่าจะมีเมื่อไหร่ ทุกฝ่ายของฝั่งประชาธิปไตยต่างเห็นตรงกันว่า เราควรรวมตัวกันให้สามัคคี และอย่ามองเรื่องความเห็นต่างว่าเป็นจุดแตกแยก อย่าระแวงสงสัย หรืออย่าออกหน้าแทนใครจนเกินงาม ทุกคนมีมุมมองและความจริงเฉพาะตนที่ต่างกัน และคงต้องแสดงออกตามข้อจำกัดและสภาพอำนวย เราจงเคารพความต่างและสิทธิในการแสดงความเห็นและจุดยืนที่แตกต่างกัน แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญมา หากทุกฝ่ายมีอุดมการณ์จริงและต้องการชัยชนะร่วมกันจริง ๆ พวกเราต้องร่วมกันสู้แน่นอน

ห้า วันนี้ การเติบโตของแต่ละกลุ่ม การแสดงความเห็นอันหลากหลาย คือนิมิตรหมายที่ดี ว่าคนจำนวนมาก หลากแนวทาง และเชื่อมั่นในความคิดของตน กำลังยกระดับ มีความรู้สึกอยากมีส่วนร่วม และเป็นเจ้าของการทอดผ้าป่าสามัคคีล้มระบอบเผด็จการเพื่อสร้างประชาธิปไตยครั้งนี้ การกระทบกระทั่งของเสียงที่เริ่มดังนี้ เป็นภาวะปกติ จงมองอย่างเข้าใจ และทำใจให้กว้าง แต่ของจริง ก็คือของจริง จะไม่แปร่งถึงขนาดเชียร์ศัตรูแล้วอัดกันเองจริงๆ เหมือนพวกที่ไม่ใช่ของจริงที่ถูกทหารดูดไปรับใช้ จะโดยการจัดตั้ง จัดจ้าง หรือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม

ด้วยความศรัทธาและปรารถนาดีเสมอ
piagdin
August 23, 2016 



เราควรกังวลเรื่องความแตกต่างและเป็นเอกเทศทางความคิดของขบวนประชาธิปไตยหรือไม่? เพียงใด?

เราควรกังวลเรื่องความแตกต่างและเป็นเอกเทศทางความคิดของขบวนประชาธิปไตยหรือไม่? เพียงใด?
____________________________________________

ผมได้รับทราบถึงความกังวลของพี่น้องเราต่อความแตกต่าง หรือเหมือนขัดแย้ง ของนักเคลื่อนไหวทางความคิดของฝั่งประชาธิปไตย และได้ฟังความรอบด้านจากฝ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการเลือกตั้งใต้ระบอบเผด็จการ แล้วนั้น 
ขออธิบายความ ตามที่ผมเข้าใจดังนี้ครับ 

หนึ่ง ท่าทีดร.ทักษิณ คุณยิ่งลักษณ์ และแกนนำพรรคเพื่อไทยนั้น ยังไม่ชัด ส่วน คสช.เอง ก็ยังมีลูกเล่นในการเตะถ่วงการเลือกตั้งออกไป หากไม่แน่ใจในชัยชนะ และอาจจะเร่งให้เลือกตั้งเร็วเกินคาดเหมือน ตอนลงประชามติ หากพวกเขามั่นใจว่ากำชัยได้แน่นอนแล้ว (บนความได้เปรียบเชิงอำนาจ ด้วยรัฐธรรมนูญที่พวกเขายัดเยียดให้คนไทยสำเร็จ)

สอง ท่าทีของ นปช.ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการขององค์กร แต่ในเชิงเนื้อหา เห็นชัดว่า นปช.อ่านเกมเผด็จการไทยขาด และไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังสงวนทีท่าขององค์กรไว้

สาม วิทยากรฝ่ายประชาธิปไตยในระดับนำ ล้วนแต่ยืนยันว่า เลือกตั้งครั้งหน้านี้ เป็นการเลือกตั้งใต้ระบอบเผด็จการ ไม่ใช่การก้าวเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย และมีแต่จะนำไปสู่การขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ และสิ่งสำคัญคือ เราต้องสามัคคีกัน อย่าแตกแยกเพราะความเห็นต่าง 

สี่ ความเห็นส่วนตัวของผมคือ ขณะที่จุดยืนฝ่ายการเมืองฝั่งประชาธิปไตยยังไม่ชัด และการเลือกตั้งก็ยังไม่แน่นอนว่าจะมีเมื่อไหร่ ทุกฝ่ายของฝั่งประชาธิปไตยต่างเห็นตรงกันว่า เราควรรวมตัวกันให้สามัคคี และอย่ามองเรื่องความเห็นต่างว่าเป็นจุดแตกแยก อย่าระแวงสงสัย หรืออย่าออกหน้าแทนใครจนเกินงาม ทุกคนมีมุมมองและความจริงเฉพาะตนที่ต่างกัน และคงต้องแสดงออกตามข้อจำกัดและสภาพอำนวย เราจงเคารพความต่างและสิทธิในการแสดงความเห็นและจุดยืนที่แตกต่างกัน แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญมา หากทุกฝ่ายมีอุดมการณ์จริงและต้องการชัยชนะร่วมกันจริง ๆ พวกเราต้องร่วมกันสู้แน่นอน

ห้า วันนี้ การเติบโตของแต่ละกลุ่ม การแสดงความเห็นอันหลากหลาย คือนิมิตรหมายที่ดี ว่าคนจำนวนมาก หลากแนวทาง และเชื่อมั่นในความคิดของตน กำลังยกระดับ มีความรู้สึกอยากมีส่วนร่วม และเป็นเจ้าของการทอดผ้าป่าสามัคคีล้มระบอบเผด็จการเพื่อสร้างประชาธิปไตยครั้งนี้ การกระทบกระทั่งของเสียงที่เริ่มดังนี้ เป็นภาวะปกติ จงมองอย่างเข้าใจ และทำใจให้กว้าง แต่ของจริง ก็คือของจริง จะไม่แปร่งถึงขนาดเชียร์ศัตรูแล้วอัดกันเองจริงๆ เหมือนพวกที่ไม่ใช่ของจริงที่ถูกทหารดูดไปรับใช้ จะโดยการจัดตั้ง จัดจ้าง หรือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม

ด้วยความศรัทธาและปรารถนาดีเสมอ
piagdin
August 23, 2016 



คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น

ภาพประกอบชวนขำกลิ้ง คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น คลังคำไทยที่มักสะกดผิด ภาษาไทยน...