Thursday, August 25, 2016

กระทรวงต่างประเทศ ของรัฐบาลโจร ได้ชี้แจงต่อโฆษกข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ อย่างไร?

ตามที่เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 นาง Ravina Shamdasaniโฆษกข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ออกข่าวสารนิเทศเกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองในประเทศไทย นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจง ดังนี้



ข่าวสารนิเทศ : ความเห็นต่อข่าวสารนิเทศของโฆษกข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย

ตามที่เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 นาง Ravina Shamdasaniโฆษกข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ออกข่าวสารนิเทศเกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองในประเทศไทย นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจง ดังนี้

 

1. ประเทศไทยให้ความสาคัญกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเคารพสิทธิมนุษยชนตามหลักปฏิบัติสากล โดยเชื่อว่าสิทธิดังกล่าวเป็นรากฐานของสังคมประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี  รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและการป้องกันความแตกแยกในสังคมเฉกเช่นเดียวกับรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะขณะนี้ ประเทศไทยอยู่ในช่วงของการปฏิรูปเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีภายในชาติ และนำสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงและยั่งยืน 

 

2. เกี่ยวกับการพิจารณาคดีโดยศาลทหาร นั้น ผู้ต้องหาที่ถูกพิจารณาคดีภายใต้ศาลทหารจะได้รับการประกันสิทธิไม่แตกต่างจากการพิจารณาคดีภายใต้ศาลพลเรือน และตามที่ระบุในประมวลวิธีพิจารณาความอาญา เช่น สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาอย่างเที่ยงธรรมและเปิดเผย สิทธิในการได้รับคำปรึกษาด้านกฎหมายและว่าความโดยทนาย สิทธิในการประกันตัว นอกจากนี้ กระบวนการยุติธรรมภายใต้ศาลทหารมีความโปร่งใส ดังจะเห็นได้จากการที่ ญาติผู้ต้องหา ภาคประชาสังคม กลุ่มพิทักษ์สิทธิ และผู้แทนคณะทูตสามารถเข้าฟังการพิจารณาคดีได้

 

3. การออกเสียงประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 เป็นไปอย่างโปร่งใสและบริสุทธิ์ยุติธรรมตามมาตรฐานและแนวปฏิบัติของอารยประเทศ และสอดคล้องกับขั้นตอนทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญและการทำประชามติเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุมผ่านการรับฟังความคิดเห็นและการจัดสัมมนาและอภิปรายอย่างต่อเนื่อง อาทิ การอภิปรายทางโทรทัศน์ การจัดเสวนาในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ  นอกจากนั้น ในช่วงการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญก่อนการออกเสียงประชามติ ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกเสียงโดยสุจริตและไม่ขัดต่อกฎหมาย ดังเห็นได้จากการที่นักการเมืองที่มีชื่อเสียง นักวิชาการจาก 43 องค์กร และสื่อมวลชนแนวหน้าต่าง ๆ สามารถวิจารณ์และแสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญได้อย่างเปิดเผย แต่สำหรับผู้ที่ตั้งใจฝ่าฝืนกฎหมายและก่อความไม่สงบก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม

 

4. รัฐบาลมีความมุ่งมั่นว่าการนำพาประเทศกลับสู่การปกครองโดยรัฐบาลพลเรือนจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีความยั่งยืน โดยยึดมั่นดำเนินการตาม Roadmap ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งในปี 2560 ทั้งนี้   การที่เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญในการออกเสียงประชามติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 สะท้อนถึงการยอมรับ Roadmap ของรัฐบาลด้วย โดยแม้แต่ผู้ที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญก็ได้ยอมรับผลการออกเสียงประชามติในเวลาต่อมา ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงหวังว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะเคารพการตัดสินใจของประชาชนชาวไทย เหมือนดังเช่นที่ควรเคารพเสียงของประชาชนในประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนประเทศไทยในการวางรากฐานของประชาธิปไตยที่ยั่งยืนและความปรองดองสมานฉันท์ในสังคมต่อไป


19 ส.ค. 2559 22:11:09 / อัพเดต : 19 ส.ค. 2559 22:27:26 / เรียกดู 644 ครั้ง

ประวิทย์ พ่ายเปรมและสุรยุทธ์... ยอมงอ ไม่ยอมหัก!!! ส่งคนของอำมาตย์เฒ่าขึ้นแท่น ผบ.ทบ.

นายกฯทูลเกล้าโผตั้งนายทหาร 'บิ๊กเจี๊ยบ'ผบ.ทบ.-'บิ๊กแดง'ทัพ1




เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลประจำปี 2559 พร้อมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายในวันที่ 24 สิงหาคม 

ทั้งนี้ผู้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คือ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท (ตท.16) ผู้ช่วย ผบ.ทบ. 
ส่วน พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร (ตท.17) เสนาธิการทหารบก ดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ทบ. 
พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ (ตท.18) แม่ทัพภาคที่ 1 
และ พล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาคที่ 3 ขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.)
ขณะที่ พล.ท.สสิน ทองภักดี รองเสนาธิการทหารบก ขึ้นเป็นเสนาธิการทหารบก พล.ท.บรรเจิด ฉางปูนทอง แม่ทัพน้อยที่ 3 ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 

สำหรับกองทัพภาคที่ 1 เป็นที่แน่นอนแล้วว่า "บิ๊กแดง" พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพน้อยที่ 1 (ตท.20) ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา รองแม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.20) เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 อัตราพลโทผู้สื่อข่าวรายงานว่า 

สำหรับสาเหตุที่ พล.อ.เฉลิมชัย ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้หารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จนได้ข้อสรุปว่า จำเป็นต้องคืนความชอบธรรมให้กับกองทัพโดยเฉพาะความเป็นเอกภาพ ไม่จำเป็นต้องสนับสนุนนายทหารที่เติบโตจากบูรพาพยัคฆ์เสมอไป เพราะต้องการให้นายทหารที่เติบโตจากสายงานของตนเองมีโอกาสที่ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. เพราะมิฉะนั้นจะทำให้เสียกำลังใจทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรก็ไม่ได้ขัดข้อง เนื่องจากในฐานะดูแลความมั่นคง สามารถสั่งการโดยตรงกับผู้ใต้บังคับบัญชาได้อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องหาคนที่มาจากบูรพาพยัคฆ์หรือลูกน้องเก่า จึงเชื่อว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ของนายกฯ เป็นไปอย่างมีคุณธรรม สร้างความศรัทธาและเชื่อมั่นให้แก่กำลังพลในการปฏิบัติงาน ให้กับทางรัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยเฉพาะเหตุการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งทำให้นายกฯตัดสินใจเลือก พล.อ.เฉลิมชัย เชื่อว่ามีความเหมาะสมในการควบคุมดูแลสถานการณ์ได้ส่วนตำแหน่งที่น่าสนใจปรากฏว่ากระทรวงกลาโหม "บิ๊กช้าง" พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม (ตท.16) ได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ส่วนกองบัญชาการกองทัพไทยเป็นไปตามคาด "บิ๊กปุย" พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัต เสนาธิการทหาร (ตท.15) ขึ้นเป็น ผบ.สส. โดยมี พล.อ.หัสพงศ์ ยุวนวรรธนะ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ตท.16) เป็นรอง ผบ.สส., "บิ๊กต๊อก" พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ รองเสนาธิการทหาร (ตท.17) ขึ้นเป็นเสนาธิการทหารขณะที่กองทัพเรือจะมีเกษียณ 2 ตำแหน่งคือ รองผู้บัญชาการทหารเรือ (รอง ผบ.ทร.) และเสนาธิการทหารเรือ (เสธ.ทร.) คาดว่า พล.ร.ท.พูลศักดิ์ อุบลเทพชัย รอง เสธ.ทร. (ตท.17) เป็น เสธ.ทร. และขยับ พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ตท.17) ไปเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม แทน พล.ร.อ.อนุทัย รัตตะรังสี ที่จะเกษียณ รวมถึงขยับ พล.ร.อ.ไกรวุธ วัฒนธรรม ผู้ช่วย ผบ.ทร. (ตท.16) ไปเป็นรอง ผบ.สส. และให้ พล.ร.ท.จุมพล ลุมพิกานนท์ รอง เสธ.ทร. (ตท.17) มาเป็นผู้ช่วย ผบ.ทร.แทน ส่วน พล.ร.ท.สุชีพ หวังไมตรี รอง เสธ.ทร. (ตท.17) มาเป็นผู้บัญชาการกองเรือยุทธการแทนด้านกองทัพอากาศ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง เสนาธิการทหารอากาศ (เสธ.ทอ.)(ตท.16) เป็น ผบ.ทอ. โดยมีอายุราชการ 2 ปี เพื่อจะได้วางยุทธศาสตร์การทำงานได้ต่อเนื่อง สำหรับ พล.อ.อ.สุทธิพงษ์ อินทรียงค์ ผู้บัญชาการกรมควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ (ตท.17) เป็นเสนาธิการทหารอากาศ โดย พล.อ.ท.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน รองเสนาธิการทหารอากาศ (ตท.18) มาเป็นผู้ช่วย ผบ.ทอ.

ประวิทย์ พ่ายเปรมและสุรยุทธ์... ยอมงอ ไม่ยอมหัก!!! ส่งคนของอำมาตย์เฒ่าขึ้นแท่น ผบ.ทบ.

นายกฯทูลเกล้าโผตั้งนายทหาร 'บิ๊กเจี๊ยบ'ผบ.ทบ.-'บิ๊กแดง'ทัพ1




เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลประจำปี 2559 พร้อมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายในวันที่ 24 สิงหาคม 

ทั้งนี้ผู้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คือ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท (ตท.16) ผู้ช่วย ผบ.ทบ. 
ส่วน พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร (ตท.17) เสนาธิการทหารบก ดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ทบ. 
พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ (ตท.18) แม่ทัพภาคที่ 1 
และ พล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาคที่ 3 ขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.)
ขณะที่ พล.ท.สสิน ทองภักดี รองเสนาธิการทหารบก ขึ้นเป็นเสนาธิการทหารบก พล.ท.บรรเจิด ฉางปูนทอง แม่ทัพน้อยที่ 3 ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 

สำหรับกองทัพภาคที่ 1 เป็นที่แน่นอนแล้วว่า "บิ๊กแดง" พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพน้อยที่ 1 (ตท.20) ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา รองแม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.20) เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 อัตราพลโทผู้สื่อข่าวรายงานว่า 

สำหรับสาเหตุที่ พล.อ.เฉลิมชัย ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้หารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จนได้ข้อสรุปว่า จำเป็นต้องคืนความชอบธรรมให้กับกองทัพโดยเฉพาะความเป็นเอกภาพ ไม่จำเป็นต้องสนับสนุนนายทหารที่เติบโตจากบูรพาพยัคฆ์เสมอไป เพราะต้องการให้นายทหารที่เติบโตจากสายงานของตนเองมีโอกาสที่ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. เพราะมิฉะนั้นจะทำให้เสียกำลังใจทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรก็ไม่ได้ขัดข้อง เนื่องจากในฐานะดูแลความมั่นคง สามารถสั่งการโดยตรงกับผู้ใต้บังคับบัญชาได้อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องหาคนที่มาจากบูรพาพยัคฆ์หรือลูกน้องเก่า จึงเชื่อว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ของนายกฯ เป็นไปอย่างมีคุณธรรม สร้างความศรัทธาและเชื่อมั่นให้แก่กำลังพลในการปฏิบัติงาน ให้กับทางรัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยเฉพาะเหตุการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งทำให้นายกฯตัดสินใจเลือก พล.อ.เฉลิมชัย เชื่อว่ามีความเหมาะสมในการควบคุมดูแลสถานการณ์ได้ส่วนตำแหน่งที่น่าสนใจปรากฏว่ากระทรวงกลาโหม "บิ๊กช้าง" พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม (ตท.16) ได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ส่วนกองบัญชาการกองทัพไทยเป็นไปตามคาด "บิ๊กปุย" พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัต เสนาธิการทหาร (ตท.15) ขึ้นเป็น ผบ.สส. โดยมี พล.อ.หัสพงศ์ ยุวนวรรธนะ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ตท.16) เป็นรอง ผบ.สส., "บิ๊กต๊อก" พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ รองเสนาธิการทหาร (ตท.17) ขึ้นเป็นเสนาธิการทหารขณะที่กองทัพเรือจะมีเกษียณ 2 ตำแหน่งคือ รองผู้บัญชาการทหารเรือ (รอง ผบ.ทร.) และเสนาธิการทหารเรือ (เสธ.ทร.) คาดว่า พล.ร.ท.พูลศักดิ์ อุบลเทพชัย รอง เสธ.ทร. (ตท.17) เป็น เสธ.ทร. และขยับ พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ตท.17) ไปเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม แทน พล.ร.อ.อนุทัย รัตตะรังสี ที่จะเกษียณ รวมถึงขยับ พล.ร.อ.ไกรวุธ วัฒนธรรม ผู้ช่วย ผบ.ทร. (ตท.16) ไปเป็นรอง ผบ.สส. และให้ พล.ร.ท.จุมพล ลุมพิกานนท์ รอง เสธ.ทร. (ตท.17) มาเป็นผู้ช่วย ผบ.ทร.แทน ส่วน พล.ร.ท.สุชีพ หวังไมตรี รอง เสธ.ทร. (ตท.17) มาเป็นผู้บัญชาการกองเรือยุทธการแทนด้านกองทัพอากาศ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง เสนาธิการทหารอากาศ (เสธ.ทอ.)(ตท.16) เป็น ผบ.ทอ. โดยมีอายุราชการ 2 ปี เพื่อจะได้วางยุทธศาสตร์การทำงานได้ต่อเนื่อง สำหรับ พล.อ.อ.สุทธิพงษ์ อินทรียงค์ ผู้บัญชาการกรมควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ (ตท.17) เป็นเสนาธิการทหารอากาศ โดย พล.อ.ท.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน รองเสนาธิการทหารอากาศ (ตท.18) มาเป็นผู้ช่วย ผบ.ทอ.

ต้นแบบการจัดการศึกษา ประเทศสิงคโปร์ (พากย์ไทย)



Download

สายสัมพันธ์พระเทพ กับจีน ยิ่งใกล้เปลี่ยนรัชกาล ยิ่งกระชับ

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานพิธีเปิดอาคารที่ทำการใหม่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน

          เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานพิธีเปิดอาคารที่ทำการใหม่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีบุคคลสำคัญเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท อาทิ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน นายอภิชาติ ชินวรรโณ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายธีรกุล นิยม เอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง และนายพิริยะ เข็มพล รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้ง ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและจีน

          จากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพิพิธภัณฑ์สือเจียหูท่ง (Shijia Hutong Museum) และพิพิธภัณฑ์การละครคณะละครประชาชนกรุงปักกิ่ง (Beijing People's Art Theater) ต่อมา เวลา ๑๗.๐๕ น. ประทับเครื่องบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เที่ยวบินที่ ทีจี ๖๑๕ เสด็จพระราชดำเนินนิวัติกรุงเทพมหานคร

          สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างสัมพันธไมตรีและความเข้าใจอันดีในทุกด้านระหว่างไทยกับจีนมาโดยตลอด นับตั้งแต่เสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนเป็นครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๔ พระราชกรณียกิจของพระองค์เป็นที่ชื่นชมและโสมนัสแก่พสกนิกรทั้งชาวไทยและจีน ซึ่งการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานพิธีเปิดอาคารที่ทำการแห่งใหม่ฯ นี้ เป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศ

          นอกจากนี้ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายธีรกุลฯ ได้เป็นประธานฝ่ายฆราวาสพิธีทำบุญอาคารที่ทำการแห่งใหม่ฯ โดยนิมนต์คณะสงฆ์จำนวน ๙ รูปจากไทยนำโดยพระพรหมมังคลาจารย์ (ธงชัย ธมฺมธโช) หรือเจ้าคุณธงชัย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ประกอบพิธีสงฆ์และประพรมน้ำมนต์ผู้มาร่วมพิธีและอาคารที่ทำการแห่งใหม่ฯ ทั่วทั้งอาคารเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการรผู้ปฏิบัติงาน จากนั้น เวลา ๑๔.๐๐ น. มหาราชครูพิธีวิสุทธิคุณ พระราชครูวามเทพมุณี พราหมณ์ราชสำนักและประธานพระครูพราหมณ์ ได้ประกอบพิธีพราหมณ์บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพยดาอารักษ์เพื่อความเป็นสวัสดิมงคล ความสำเร็จลุล่วงของงานและผู้ปฏิบัติราชการที่เกี่ยวข้อง

          อนึ่ง อาคารที่ทำการแห่งใหม่ฯ มีเนื้อที่ ๒ ไร่ ๓ งาน ๘๒.๒๕ ตารางวา เป็นอาคาร ๕ ชั้น ประกอบด้วย สถานที่ทำการ ๓ ชั้น และที่จอดรถใต้ดิน ๒ ชั้น พื้นที่ใช้สอย ๙,๙๖๙ ตารางเมตร เป็นที่ทำการของสถานเอกอัครราชทูต และส่วนราชการไทยในกรุงปักกิ่ง ได้แก่ สำนักงานผู้ช่วยทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ สำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ สำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายเกษตร สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ซึ่งจะช่วยทำให้ประชาชนไทยในประเทศจีน รวมถึงชาวจีน สามารถติดต่อประสานงานหน่วยงานราชการของไทยได้สะดวกยิ่งขึ้น 

23 ส.ค. 2559 ภาพข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศ





สายสัมพันธ์พระเทพ กับจีน ยิ่งใกล้เปลี่ยนรัชกาล ยิ่งกระชับ

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานพิธีเปิดอาคารที่ทำการใหม่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน

          เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานพิธีเปิดอาคารที่ทำการใหม่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีบุคคลสำคัญเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท อาทิ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน นายอภิชาติ ชินวรรโณ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายธีรกุล นิยม เอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง และนายพิริยะ เข็มพล รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้ง ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและจีน

          จากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพิพิธภัณฑ์สือเจียหูท่ง (Shijia Hutong Museum) และพิพิธภัณฑ์การละครคณะละครประชาชนกรุงปักกิ่ง (Beijing People's Art Theater) ต่อมา เวลา ๑๗.๐๕ น. ประทับเครื่องบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เที่ยวบินที่ ทีจี ๖๑๕ เสด็จพระราชดำเนินนิวัติกรุงเทพมหานคร

          สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างสัมพันธไมตรีและความเข้าใจอันดีในทุกด้านระหว่างไทยกับจีนมาโดยตลอด นับตั้งแต่เสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนเป็นครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๔ พระราชกรณียกิจของพระองค์เป็นที่ชื่นชมและโสมนัสแก่พสกนิกรทั้งชาวไทยและจีน ซึ่งการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานพิธีเปิดอาคารที่ทำการแห่งใหม่ฯ นี้ เป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศ

          นอกจากนี้ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายธีรกุลฯ ได้เป็นประธานฝ่ายฆราวาสพิธีทำบุญอาคารที่ทำการแห่งใหม่ฯ โดยนิมนต์คณะสงฆ์จำนวน ๙ รูปจากไทยนำโดยพระพรหมมังคลาจารย์ (ธงชัย ธมฺมธโช) หรือเจ้าคุณธงชัย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ประกอบพิธีสงฆ์และประพรมน้ำมนต์ผู้มาร่วมพิธีและอาคารที่ทำการแห่งใหม่ฯ ทั่วทั้งอาคารเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการรผู้ปฏิบัติงาน จากนั้น เวลา ๑๔.๐๐ น. มหาราชครูพิธีวิสุทธิคุณ พระราชครูวามเทพมุณี พราหมณ์ราชสำนักและประธานพระครูพราหมณ์ ได้ประกอบพิธีพราหมณ์บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพยดาอารักษ์เพื่อความเป็นสวัสดิมงคล ความสำเร็จลุล่วงของงานและผู้ปฏิบัติราชการที่เกี่ยวข้อง

          อนึ่ง อาคารที่ทำการแห่งใหม่ฯ มีเนื้อที่ ๒ ไร่ ๓ งาน ๘๒.๒๕ ตารางวา เป็นอาคาร ๕ ชั้น ประกอบด้วย สถานที่ทำการ ๓ ชั้น และที่จอดรถใต้ดิน ๒ ชั้น พื้นที่ใช้สอย ๙,๙๖๙ ตารางเมตร เป็นที่ทำการของสถานเอกอัครราชทูต และส่วนราชการไทยในกรุงปักกิ่ง ได้แก่ สำนักงานผู้ช่วยทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ สำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ สำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายเกษตร สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ซึ่งจะช่วยทำให้ประชาชนไทยในประเทศจีน รวมถึงชาวจีน สามารถติดต่อประสานงานหน่วยงานราชการของไทยได้สะดวกยิ่งขึ้น 

23 ส.ค. 2559 ภาพข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศ





เบรก”บูรพาพยัคฆ์” ‘บิ๊กเจี๊ยบ’พลิกโผผงาด ขึ้น ผบ.ทบ.-‘บิ๊กแดง’แม่ทัพภาค1

เบรก"บูรพาพยัคฆ์" 'บิ๊กเจี๊ยบ'พลิกโผผงาด ขึ้น ผบ.ทบ.-'บิ๊กแดง'แม่ทัพภาค1

วีรกรรมที่ทำไว้กับคนเสื้อแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ (ชมคลิป)

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลประจำปี 2559 พร้อมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายในวันที่ 24 สิงหาคม ทั้งนี้ผู้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คือ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท (ตท.16) ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ส่วน พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร (ตท.17) เสนาธิการทหารบก ดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ทบ. พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ (ตท.18) แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาคที่ 3 ขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.)

ขณะที่ พล.ท.สสิน ทองภักดี รองเสนาธิการทหารบก ขึ้นเป็นเสนาธิการทหารบก พล.ท.บรรเจิด ฉางปูนทอง แม่ทัพน้อยที่ 3 ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 สำหรับกองทัพภาคที่ 1 เป็นที่แน่นอนแล้วว่า "บิ๊กแดง" พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพน้อยที่ 1 (ตท.20) ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา รองแม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.20) เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 อัตราพลโท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสาเหตุที่ พล.อ.เฉลิมชัย ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้หารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จนได้ข้อสรุปว่า จำเป็นต้องคืนความชอบธรรมให้กับกองทัพโดยเฉพาะความเป็นเอกภาพ ไม่จำเป็นต้องสนับสนุนนายทหารที่เติบโตจากบูรพาพยัคฆ์เสมอไป เพราะต้องการให้นายทหารที่เติบโตจากสายงานของตนเองมีโอกาสที่ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. เพราะมิฉะนั้นจะทำให้เสียกำลังใจ

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรก็ไม่ได้ขัดข้อง เนื่องจากในฐานะดูแลความมั่นคง สามารถสั่งการโดยตรงกับผู้ใต้บังคับบัญชาได้อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องหาคนที่มาจากบูรพาพยัคฆ์หรือลูกน้องเก่า จึงเชื่อว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ของนายกฯ เป็นไปอย่างมีคุณธรรม สร้างความศรัทธาและเชื่อมั่นให้แก่กำลังพลในการปฏิบัติงาน ให้กับทางรัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยเฉพาะเหตุการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งทำให้นายกฯตัดสินใจเลือก พล.อ.เฉลิมชัย เชื่อว่ามีความเหมาะสมในการควบคุมดูแลสถานการณ์ได้

ส่วนตำแหน่งที่น่าสนใจปรากฏว่ากระทรวงกลาโหม "บิ๊กช้าง" พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม (ตท.16) ได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ส่วนกองบัญชาการกองทัพไทยเป็นไปตามคาด "บิ๊กปุย" พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัต เสนาธิการทหาร (ตท.15) ขึ้นเป็น ผบ.สส. โดยมี พล.อ.หัสพงศ์ ยุวนวรรธนะ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ตท.16) เป็นรอง ผบ.สส., "บิ๊กต๊อก" พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ รองเสนาธิการทหาร (ตท.17) ขึ้นเป็นเสนาธิการทหาร

ขณะที่กองทัพเรือจะมีเกษียณ 2 ตำแหน่งคือ รองผู้บัญชาการทหารเรือ (รอง ผบ.ทร.) และเสนาธิการทหารเรือ (เสธ.ทร.) คาดว่า พล.ร.ท.พูลศักดิ์ อุบลเทพชัย รอง เสธ.ทร. (ตท.17) เป็น เสธ.ทร. และขยับ พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ตท.17) ไปเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม แทน พล.ร.อ.อนุทัย รัตตะรังสี ที่จะเกษียณ รวมถึงขยับ พล.ร.อ.ไกรวุธ วัฒนธรรม ผู้ช่วย ผบ.ทร. (ตท.16) ไปเป็นรอง ผบ.สส. และให้ พล.ร.ท.จุมพล ลุมพิกานนท์ รอง เสธ.ทร. (ตท.17) มาเป็นผู้ช่วย ผบ.ทร.แทน ส่วน พล.ร.ท.สุชีพ หวังไมตรี รอง เสธ.ทร. (ตท.17) มาเป็นผู้บัญชาการกองเรือยุทธการแทน

ด้านกองทัพอากาศ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง เสนาธิการทหารอากาศ (เสธ.ทอ.)(ตท.16) เป็น ผบ.ทอ. โดยมีอายุราชการ 2 ปี เพื่อจะได้วางยุทธศาสตร์การทำงานได้ต่อเนื่อง สำหรับ พล.อ.อ.สุทธิพงษ์ อินทรียงค์ ผู้บัญชาการกรมควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ (ตท.17) เป็นเสนาธิการทหารอากาศ โดย พล.อ.ท.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน รองเสนาธิการทหารอากาศ (ตท.18) มาเป็นผู้ช่วย ผบ.ทอ.

ดร. เพียงดิน รักไทย 25 ส.ค. 2559 จะล้ม คสช. และระบอบเจ้าได้อย่างไร? ตอน 2 ชัยชนะประชาชน คืออะไร?


ดร. เพียงดิน รักไทย 25 ส.ค. 2559 จะล้ม คสช. และระบอบเจ้าได้อย่างไร? ตอน 2 ชัยชนะประชาชน คืออะไร? 

https://youtu.be/4qp4g-9ZLKc      

https://youtu.be/G8nBWnQ8RGY      

https://youtu.be/tkrUzmMHGPA      


--------------------- 

***Download ร่างจดหมาย เพื่อส่งผู้นำนานาชาติต่าง ๆ ที่ http://tinyurl.com/gsetacg 

***โปรดช่วยกันกระจายและส่งให้มากที่สุดนะครับ ขอบคุณครับ 

สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน 

ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้ 

http://tinyurl.com/o2rzao8 

หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt 

****ลิ้งค์ล่าสุด  http://tinyurl.com/gssuvm2 

และรายงานการปฏิบัติงานและความคืบหน้าเครือข่าย ได้ที่ 4everche@gmail.com 

---------------------- 

สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน 


Wednesday, August 24, 2016

Thailand: Insurgents Target Civilians in South Systematic Bombings Possible Crimes Against Humanity



For Immediate Release


Thailand: Insurgents Target Civilians in South
Systematic Bombings Possible Crimes Against Humanity

(New York, August 25, 2016) – Separatist insurgents in Thailand's southern border provinces have committed an apparent series of bombings against civilians that may amount to crimes against humanity, Human Rights Watch said today.

Insurgents detonated two bombs on August 23, 2016, following multiple bomb and arson attacks on August 11 and 12. At about 10:40 p.m. on August 23, a bomb detonated at Southern View Hotel in downtown Pattani province. The explosion caused no casualties but drove panicked people to run to a nearby carpark. A second, larger bomb hidden in a hospital ambulance about 40 to 50 meters away exploded at about 11 p.m. One woman, Oraphan Sriuenhat, who worked at a food shop in front of the hotel, was killed. At least 30 people in the heavily populated area were injured. The hotel, shops, and homes were damaged by the blast.

"The renewed bombings by Thailand's separatists show incredible depravity towards civilians," said Brad Adams, Asia director at Human Rights Watch. "Such attacks are war crimes, but the apparent planning behind them suggests crimes against humanity."

The recent bombings used methods of attack long employed by armed separatist groups in predominantly ethnic Malay Muslim areas of southern Thailand, Human Rights Watch said. A police investigation also found evidence strongly suggesting that separatist groups were responsible for a string of explosions and arson attacks in seven tourist towns on August 11 and 12, that killed 4 civilians and wounded 35 others. Taken together, these attacks indicate a deliberate plan to attack and kill civilians that amount to crimes against humanity, Human Rights Watch said.

Crimes against humanity consist of specific criminal acts committed on a widespread or systematic basis as part of an "attack on a civilian population," meaning there is some degree of planning or policy to commit the crimes. Such acts include murder and "other inhumane acts of a similar character intentionally causing great suffering or serious injury to body or to mental or physical health." International law protects "any" civilian population from attack, and there is no requirement that the victims are linked to any particular side of an armed conflict.

Liability for crimes against humanity is not limited to those who carry out the acts, but also includes those who order, assist, or are otherwise complicit in the crimes. Under the principle of command responsibility, government or armed group leaders can be held criminally responsible for crimes committed by their subordinates when they knew or should have known that such crimes were being committed, but failed to take reasonable measures to stop them.

Since the escalation of their armed attacks in January 2004, insurgents from the loose network of the BRN-Coordinate (Barisan Revolusi Nasional-Coordinate) separatist group have committed numerous violations of the laws of war. Of the more than 6,000 people killed in the ongoing conflict, about 90 percent have been civilians from the populations of ethnic Thai Buddhists and ethnic Malay Muslims in the provinces of Pattani, Yala, Narathiwat, and Songkhla.

Although the insurgents have suffered major setbacks from recent government security sweeps, they still maintain a presence in hundreds of ethnic Malay Muslim villages. To recruit new members and justify acts of violence, insurgents point to abusive, heavy-handed tactics by government security forces.

However, there is no legal justification or acceptable rationale to claims by insurgents that attacks on civilians are legitimate because the targets are part of the Thai Buddhist state or because their interpretation of Islamic law permits such attacks. The laws of war, applicable to the armed conflict in Thailand's southern border provinces, strictly prohibit attacks on civilians and civilian structures not being used for military purposes. Individuals who either order or deliberately carry out such attacks are responsible for war crimes, Human Rights Watch said.

Human Rights Watch also remains deeply concerned by violations of international human rights law and the laws of war by Thai government security forces and militias. Killings, enforced disappearances, and torture cannot be justified as reprisals for insurgent attacks on the Thai Buddhist population and security personnel. This situation has been reinforced by an entrenched culture of impunity for human rights violations by officials in the southern border provinces. The government has yet to successfully prosecute any officials for human rights abuses against ethnic Malay Muslims alleged to be involved in the insurgency.

"The Thai government needs to respond to these brutal attacks by upholding the rule of law, ending abuses by its own security forces, and addressing long-held grievances in the ethnic Malay Muslim community," Adams said. "If the government continues to shield its troops from criminal responsibility, it will only add fuel to the flames of extremist violence."

For more Human Rights Watch reporting on Thailand, please visit:

http://www.hrw.org/thailand

For more information, please contact:

In Bangkok, Sunai Phasuk (English, Thai): +66-81-632-3052 (mobile); or phasuks@hrw.org. Twitter: @SunaiBKK 

In San Francisco, Brad Adams (English): +1-347-463-3531 (mobile); or adamsb@hrw.org. Twitter: @BradAdamsHRW

In Washington, DC, John Sifton (English): +1-646-479-2499 (mobile); or siftonj@hrw.org. Twitter: @johnsifton


https://www.hrw.org/news/2016/08/25/thailand-insurgents-target-civilians-south 

 

Thailand: Insurgents Target Civilians in South Systematic Bombings Possible Crimes Against Humanity



For Immediate Release


Thailand: Insurgents Target Civilians in South
Systematic Bombings Possible Crimes Against Humanity

(New York, August 25, 2016) – Separatist insurgents in Thailand's southern border provinces have committed an apparent series of bombings against civilians that may amount to crimes against humanity, Human Rights Watch said today.

Insurgents detonated two bombs on August 23, 2016, following multiple bomb and arson attacks on August 11 and 12. At about 10:40 p.m. on August 23, a bomb detonated at Southern View Hotel in downtown Pattani province. The explosion caused no casualties but drove panicked people to run to a nearby carpark. A second, larger bomb hidden in a hospital ambulance about 40 to 50 meters away exploded at about 11 p.m. One woman, Oraphan Sriuenhat, who worked at a food shop in front of the hotel, was killed. At least 30 people in the heavily populated area were injured. The hotel, shops, and homes were damaged by the blast.

"The renewed bombings by Thailand's separatists show incredible depravity towards civilians," said Brad Adams, Asia director at Human Rights Watch. "Such attacks are war crimes, but the apparent planning behind them suggests crimes against humanity."

The recent bombings used methods of attack long employed by armed separatist groups in predominantly ethnic Malay Muslim areas of southern Thailand, Human Rights Watch said. A police investigation also found evidence strongly suggesting that separatist groups were responsible for a string of explosions and arson attacks in seven tourist towns on August 11 and 12, that killed 4 civilians and wounded 35 others. Taken together, these attacks indicate a deliberate plan to attack and kill civilians that amount to crimes against humanity, Human Rights Watch said.

Crimes against humanity consist of specific criminal acts committed on a widespread or systematic basis as part of an "attack on a civilian population," meaning there is some degree of planning or policy to commit the crimes. Such acts include murder and "other inhumane acts of a similar character intentionally causing great suffering or serious injury to body or to mental or physical health." International law protects "any" civilian population from attack, and there is no requirement that the victims are linked to any particular side of an armed conflict.

Liability for crimes against humanity is not limited to those who carry out the acts, but also includes those who order, assist, or are otherwise complicit in the crimes. Under the principle of command responsibility, government or armed group leaders can be held criminally responsible for crimes committed by their subordinates when they knew or should have known that such crimes were being committed, but failed to take reasonable measures to stop them.

Since the escalation of their armed attacks in January 2004, insurgents from the loose network of the BRN-Coordinate (Barisan Revolusi Nasional-Coordinate) separatist group have committed numerous violations of the laws of war. Of the more than 6,000 people killed in the ongoing conflict, about 90 percent have been civilians from the populations of ethnic Thai Buddhists and ethnic Malay Muslims in the provinces of Pattani, Yala, Narathiwat, and Songkhla.

Although the insurgents have suffered major setbacks from recent government security sweeps, they still maintain a presence in hundreds of ethnic Malay Muslim villages. To recruit new members and justify acts of violence, insurgents point to abusive, heavy-handed tactics by government security forces.

However, there is no legal justification or acceptable rationale to claims by insurgents that attacks on civilians are legitimate because the targets are part of the Thai Buddhist state or because their interpretation of Islamic law permits such attacks. The laws of war, applicable to the armed conflict in Thailand's southern border provinces, strictly prohibit attacks on civilians and civilian structures not being used for military purposes. Individuals who either order or deliberately carry out such attacks are responsible for war crimes, Human Rights Watch said.

Human Rights Watch also remains deeply concerned by violations of international human rights law and the laws of war by Thai government security forces and militias. Killings, enforced disappearances, and torture cannot be justified as reprisals for insurgent attacks on the Thai Buddhist population and security personnel. This situation has been reinforced by an entrenched culture of impunity for human rights violations by officials in the southern border provinces. The government has yet to successfully prosecute any officials for human rights abuses against ethnic Malay Muslims alleged to be involved in the insurgency.

"The Thai government needs to respond to these brutal attacks by upholding the rule of law, ending abuses by its own security forces, and addressing long-held grievances in the ethnic Malay Muslim community," Adams said. "If the government continues to shield its troops from criminal responsibility, it will only add fuel to the flames of extremist violence."

For more Human Rights Watch reporting on Thailand, please visit:

http://www.hrw.org/thailand

For more information, please contact:

In Bangkok, Sunai Phasuk (English, Thai): +66-81-632-3052 (mobile); or phasuks@hrw.org. Twitter: @SunaiBKK 

In San Francisco, Brad Adams (English): +1-347-463-3531 (mobile); or adamsb@hrw.org. Twitter: @BradAdamsHRW

In Washington, DC, John Sifton (English): +1-646-479-2499 (mobile); or siftonj@hrw.org. Twitter: @johnsifton


https://www.hrw.org/news/2016/08/25/thailand-insurgents-target-civilians-south 

 

เรื่องกาแฟโบราณ ใส่นมด้านล่าง

เรื่องกาแฟโบราณ ใส่นมด้านล่าง
  สมัยก่อน ในตอนเช้า คุณลุงคุณป้า มักจะชอบ ไปนั่งจิบกาแฟ กับปาท่องโก๋ แถวๆ ร้านกาแฟ หน้าปากซอย เราเรียกชุมนุมย่อยๆ นี้ว่า "สภากาแฟ" 

  กาแฟโบราณนั้น มีเอกลักษณ์ อยู่อย่างหนึ่งคือ จะใส่นมข้นหวาน ไว้ด้านล่าง แล้วเทน้ำกาแฟ ลงไปด้านบน ถ้าใครชอบหวานมาก ก็ตีนมด้านล่าง ให้ผสมกับเนื้อกาแฟ แต่บางคน ที่ไม่ชอบหวาน ก็อาจจะดื่ม โดยที่ไม่ต้องคนเลย

  ทีนี้ เรื่องมันมีอยู่ว่า วันหนึ่ง คุณลุงคนหนึ่ง ก็ไปนั่งจิบกาแฟ ที่สภากาแฟ พอดีหลานสาว เจ้าของร้าน อยู่ในช่วงปิดเทอม จึงมาช่วยยาย ขายกาแฟ พอหลาน ยกกาแฟมาเสริฟ คุณลุงก็พูดขึ้นว่า นมน้อยจัง

  หลานสาว ก็เขินอาย ตอบกลับไป เสียงเบาๆ ว่า เพิ่งขึ้นค่ะ

  ยายได้ยินดังนั้น ก็ทุบโต๊ะดัง ปัง!! แล้วตะโกนว่า เพิ่งขึ้นที่ไหนกัน ขึ้นมาตั้ง สองเดือนแล้ว!!

  สรุปว่า ลุงพูดถึง นมในแก้วกาแฟ ส่วนหลานสาวพูดถึง หน้าอกของตัวเอง ส่วนยายหมายถึง ราคานม ที่ปรับราคาขึ้น

  เรื่องนี้ เป็นเรื่องเล่าขำๆ จากต่วยตูนที่เล่าต่อๆ กันมา แต่ในความตลกนั้น ถ้าพิจารณาดีๆ จะเห็นว่า

  คนเราอาจพูดกัน คนละเรื่อง ทั้งๆ ที่ คิดว่า กำลังพูดเรื่องเดียวกัน ความเข้าใจ ที่คลาดเคลื่อน อาจเกิดจาก "สถานภาพที่ต่างกัน" เช่น คนหนึ่ง กำลังพิจารณา กาแฟในแก้ว อีกคนหนึ่ง กำลังกังวล เรื่องความเปลี่ยนแปลง ในร่างกาย ของตนเอง และอีกคนหนึ่ง กำลัง กังวล เรื่องกำไรขาดทุน

  ดังนั้น ความเข้าใจผิด เกิดขึ้นได้ แม้จะ กำลังพูด ภาษาเดียวกัน นั่งพูดกัน ตัวต่อตัว และ ไม่มีใครมีเจตนา บิดเบือนข้อมูล นี่เป็นตัวอย่าง ที่แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจผิด เกิดขึ้นได้ง่ายเพียงใด

  การสื่อสารในองค์กร ก็เช่นเดียวกัน หากขาดความระมัดระวัง เราก็จะพูดกัน คนละเรื่อง

ดาอยากด่า ตอน "ควายตู้เหล่ เศษสวะยิ่งกว่าผักตบชวา"

ดาอยากด่า ตอน "ควายตู้เหล่ เศษสวะยิ่งกว่าผักตบชวา"

ชวนคิดชวนลุย: เจ็บแล้วจำคือคน..


I hate victims who respect their executioners. 
ผมเกลียดเหยื่อที่เคารพผู้ที่ประหัตประหารตน

Jean-Paul Sartre




ชวนคิดชวนลุย: เจ็บแล้วจำคือคน..


I hate victims who respect their executioners. 
ผมเกลียดเหยื่อที่เคารพผู้ที่ประหัตประหารตน

Jean-Paul Sartre




ฉิบหายแล้ว ประวิทย์ .!..​หากโผทบ. ออกทางสายสุรยุทธ์.... หากไม่สยบยอมราชาธิปไตย เน่าแน่ หมูตอน!!

และแล้ว ผบ.ทบ.คนใหม่ ที่เสนอชื่อทูลเกล้าก็คือ เจี๊ยบ
ลิงก์กลอน
ลิงก์บอกว่าใครเป็นใคร อยู่ในกลอน
จะเอาคนที่คุมได้เหมือนเดิมสินะ ผบ.ทบ.สายสุรยุทธ์ 
ลูกกระจ๊อกไอ้ตุ๊ดเฒ่า อิอิ
กูต้องได้ 100 ล้าน จากทักษิณแน่ๆ
22 สิงหาคม เวลา 11:16 น. · 
ว่าที่ ผบ.ทบ. แกละ* หลบไป
เพราะ ผบ.ทบ. คนใหม่ อาจใช่ เจี้ยบ
แกละ น้องป้อม คั่วตำแหน่งแย่งทำเนียบ
บารมีไม่อาจเทียบกับเจี้ยบได้
เดี๋ยวก็คงเจอเจ้าเจี้ยบที่เส้นชัย
เพราะเส้นใหญ่พลเอกสอแกสั่งมา
องคชาติมนตรีพี่สั่งให้
สบายใจเถิดเจี้ยบเท่หนักหนา
ไอ้แกละมันน้องป้อมพี่ไม่ครนา
พี่ใหญ่กว่าเพราะนั่งข้างวังทอง
ความวุ่นวายในกองทัพจับยามดู
เห็นเป็นหมู่เป็นก๊กจนบกพร่อง
พวกไอ้เฒ่าองคชาติอุบาทว์พอง
จองหองวิ่งตำแหน่งให้น้องตน
มันคาใจมาหลายเรื่องหลายทีแล้ว
ป้อมคลาดแคล้วมาหลายคราน่าสงสัย
สอและป้อมควรคุยกันให้เข้าใจ
เดี๋ยวฟ้าใหม่มาสั่งจะนั่งร้อน
(* แกละ แปลว่า ผมจุก)

คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น

ภาพประกอบชวนขำกลิ้ง คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น คลังคำไทยที่มักสะกดผิด ภาษาไทยน...