Monday, December 8, 2025

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025:

เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

บทวิเคราะห์เชิงโครงสร้างสำหรับสาธารณชนไทย–กัมพูชา และผู้กำหนดนโยบายระดับนานาชาติ

ฉบับวิเคราะห์กึ่งวิชาการในแนว “คันฉ่องส่องไทย” – เขียนสำหรับผู้อ่านทั่วไปที่ต้องการเข้าใจเกมลึกหลังแนวรบแบบสั้น ๆ ง่าย ๆ

บทคัดย่อ

การปะทุของความรุนแรงชายแดนไทย–กัมพูชาในเดือนธันวาคม 2025 พร้อมการโจมตีทางอากาศของไทยด้วยเครื่องบินรบ F-16 ต่อเป้าหมายฝ่ายกัมพูชา สะท้อนความล้มเหลวของข้อตกลงหยุดยิงที่อยู่ภายใต้แรงผลักดันของสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และจีน ขณะเดียวกันก็เกิดขึ้นท่ามกลางการปราบปรามเครือข่ายสแกมข้ามชาติ ที่โยงถึงบุคคลซึ่งใช้ชื่อว่า Benjamin “Ben Smith” Mauerberger และพันธมิตรทางการเมืองในไทยและกัมพูชา บทความนี้เสนอการ “ชำแหละ” สถานการณ์ออกเป็น 10 ประเด็นหลัก ตั้งแต่โครงสร้างข้อพิพาทชายแดน บทบาทของทรัมพ์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ อาวุธจีน บทบาทตระกูลฮุน และความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ต่อด้วยข้อเสนอเชิงโครงสร้างสำหรับสหรัฐฯ และอาเซียน

  1. โครงสร้างข้อพิพาทชายแดน: จากแผนที่อาณานิคมสู่สงครามปี 2025

    ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ได้เริ่มต้นในปี 2025 แต่ย้อนกลับไปอย่างน้อยถึงสนธิสัญญาฝรั่งเศส–สยามต้นศตวรรษที่ 20 ที่กำหนดแนวเขตแดนบนสันเขาพนมดงเร็ก แต่การปักปันจริงกลับคลาดเคลื่อน ทำให้พื้นที่รอบวัดพระวิหารและเขตใกล้เคียงกลายเป็น “พื้นที่ซ้อนทับ” ที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีแผนที่อ้างสิทธิ์ของตนเอง[1]

    หลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสินในปี 1962 ให้ตัวปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนกัมพูชา ปัญหาไม่จบลง เพราะพื้นที่รอบปราสาทและแนวเขตที่เหลือไม่ถูก demarcate อย่างชัดเจน เมื่อรวมกับการเมืองชาตินิยมในไทยหลังปี 2008 และการเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชา ข้อพิพาทจึงกลายเป็น “วัตถุไวไฟ” ที่พร้อมปะทุเสมอ[2]

    เหตุปะทะในปี 2025 จึงควรมองว่าเป็น “คลื่นลูกใหญ่ล่าสุด” ของข้อพิพาทเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยวไร้บริบท

  2. ข้อตกลงหยุดยิงภายใต้เงาทรัมพ์–อนวาร์–จีน: สันติภาพแบบมีเงื่อนไขทางภาษี

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 การสู้รบที่ปะทุขึ้นตามแนวชายแดนได้ขยายตัวจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ความพยายามของผู้นำมาเลเซียและจีนมีบทบาท แต่สิ่งที่ “ปลดล็อก” ให้ไทยยอมเจรจาคือ โทรศัพท์จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ที่ผูก ceasefire เข้ากับการเจรจาภาษีกับไทยอีกครั้ง[3].

    สหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าจะผูกสถานะหยุดยิงกับสิทธิในการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ของไทย นี่ทำให้ ceasefire ไม่ใช่เพียงเรื่องความมั่นคง แต่เป็น “สินค้าทางเศรษฐกิจ” ที่มีราคาชัดเจน[4].

    ดังนั้น การละเมิด ceasefire ในปลายปี 2025 เป็นสัญญาณว่าผู้นำทั้งสองประเทศยอมเสี่ยงต่อการลงโทษจากสหรัฐฯ เพื่อวาระอื่นที่สำคัญกว่าในมุมของพวกเขา

  3. การโจมตีทางอากาศของไทย: F-16 กับข้อกล่าวหาเรื่องอาวุธจีน

    การใช้ F-16 ในการโจมตีฐานทหารกัมพูชาเป็นการยกระดับความขัดแย้งไปสู่สงครามเชิงอากาศโดยสมบูรณ์ โดยไทยอ้างว่าเป้าหมายคือจุดยิงของ ระบบจรวด PHL-03 ของจีน และ BM-21 ของรัสเซีย ซึ่งมีพิสัยยิงถึงชุมชนไทย[5].

    หลังทหารไทยเสียชีวิตจากเหตุระเบิด ไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงถอนอาวุธหนักตาม ceasefire[6]. กัมพูชาตอบโต้ว่ามีพลเรือนเสียชีวิต และเรียกร้องประชาคมโลกประณามไทย

    นี่ไม่ใช่แค่การตอบโต้ทางยุทธวิธี แต่เป็นการส่งสัญญาณสู่จีน สหรัฐฯ และภูมิภาคอาเซียนพร้อมกัน

  4. กัมพูชาภายใต้ตระกูลฮุน: ใช้ความขัดแย้งเสริมความชอบธรรม?

    ฮุน มาเนต ต้องการสร้างฐานอำนาจใหม่ท่ามกลางแรงกดดันด้านสิทธิมนุษยชนและเศรษฐกิจ ความขัดแย้งชายแดนจึงเป็นโอกาสสร้างเอกภาพและดึงความสนใจออกจากปัญหาในประเทศ

    การสูญเสียพลเรือนสามารถถูกใช้เป็น “หลักฐาน” หากจะนำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาขององค์กรระหว่างประเทศ

  5. รัฐบาลไทยภายใตอนุทิน: วาทกรรมชาติ–ความสงสัยเรื่องวาระกลบข่าว

    อนุทินยืนยันว่าปฏิบัติการ F-16 คือ “การป้องกันตัว” แต่เมื่อไทยเคยรับเงื่อนไขหยุดยิงที่เชื่อมกับภาษีสหรัฐฯ การใช้กำลังทางทหารย่อมถูกตั้งคำถามเชิงความรับผิดชอบทางการทูต[6].

    ในแนว “คันฉ่องส่องไทย” วาทกรรมแข็งกร้าวของรัฐบาลต้องถูกตรวจสอบคู่กับคดีคอร์รัปชัน และข้อสงสัยเรื่องความเชื่อมโยงของนักการเมืองกับเครือข่ายอาชญากรรม

  6. เครือข่ายสแกมข้ามชาติและบทบาทของ Benjamin “Ben Smith” Mauerberger

    ไทยยึดทรัพย์กว่า 300 ล้านดอลลาร์จากเครือข่ายสแกมข้ามชาติที่โยงกับ Ben Smith ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นศูนย์กลางของระบบฟอกเงิน และมีสัมพันธ์ซับซ้อนกับกลุ่มทุนในไทย–กัมพูชา[7][8][9].

    ธุรกิจบังหน้า เช่น อสังหาริมทรัพย์ และสายการบินเอกชนถูกใช้หมุนเงินจากการหลอกลวงระหว่างประเทศ และมีร่องรอยโยงกับผู้มีอิทธิพลชายแดนทั้งสองฝั่ง

  7. พรมแดนอาชญากรรม–การเมือง: ข้อกล่าวหาเรื่องสายสัมพันธ์นักการเมืองไทย–กัมพูชา

    ภาพถ่ายและคำกล่าวอ้างเชื่อมโยง Ben Smith กับนักการเมืองในไทยและกัมพูชากลายเป็นประเด็นสาธารณะ[10][11][12][21]. อนุทินยอมรับว่าเคยพบ Ben Smith แต่ยืนยันว่าไม่สนิท[10][11].

    เมื่อปฏิบัติการทหารเกิดใกล้ช่วงที่คดีนี้ถูกจับตามากที่สุด จึงเกิดคำถามว่า สงครามถูกใช้กลบข่าวหรือไม่ — แม้ยังเป็นสมมติฐาน แต่ควรถูกตรวจสอบอย่างโปร่งใส

  8. จีนในฐานะผู้อุปถัมภ์ใหม่: อาวุธ–ฐานทัพ–Belt and Road

    จีนมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในกัมพูชา โดยเฉพาะการพัฒนาฐานทัพเรือเรียมและการจัดหาอาวุธหนัก[13][14]. อาวุธจีนปรากฏในหลายรายงานเกี่ยวกับการสู้รบปี 2025[5].

    ไทยเองก็ผูกพันกับจีนในโครงการรถไฟความเร็วสูงและ BRI ซึ่งเพิ่มอิทธิพลของจีนในระดับยุทธศาสตร์[15][16][17].

    ทั้งสองประเทศจึงมี “กันชนทางการทูต” จากจีน ทำให้ผู้นำรู้สึกว่าตนสามารถยืนต่อแรงกดดันสหรัฐฯ ได้มากขึ้น

  9. ทำไมการท้าทายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ “ไม่คุ้ม” สำหรับประชาชน

    สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับต้นของไทยและมีบทบาทถ่วงดุลจีนในภูมิภาค การเสี่ยงถูกตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีอาจทำให้เศรษฐกิจไทยเสียหายอย่างรุนแรง[3][4].

    กัมพูชาก็พึ่งพาตลาดตะวันตกเช่นกัน การถูกมองว่าไม่ยึดมั่นข้อตกลงระหว่างประเทศย่อมกระทบความน่าเชื่อถือ

    ผู้ที่ได้ประโยชน์จากความเสี่ยงนี้คือกลุ่มผู้นำทางการเมือง—not ประชาชน

  10. บทเรียนเชิงโครงสร้าง: สำหรับไทย–กัมพูชา และผู้กำหนดนโยบายสหรัฐฯ

    สำหรับประชาชนไทย–กัมพูชา

    เมื่อสถาบันรัฐอ่อนแอและประชาธิปไตยเปราะบาง “ชายแดน” กลายเป็นทั้งสนามรบทางทหารและทางการเมือง

    คำถามสำคัญคือ: “รัฐบาลใช้กำลังเพื่อปกป้องชาติ หรือเพื่อปกป้องตัวเอง?”

    สำหรับสหรัฐฯ และประชาคมโลก

    การผูก ceasefire เข้ากับเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากไม่แตะโครงสร้างที่เปิดทางให้อาชญากรรมข้ามชาติและทุนผูกขาดแทรกซึมรัฐ

    โลกกำลังอยู่ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างรัฐ–ทุน–อาชญากรรมเลือนรางลงเรื่อย ๆ หากประชาชนไม่ตรวจสอบอำนาจรัฐ พวกเขาอาจถูกใช้เป็น “ตัวประกันทางยุทธศาสตร์” โดยไม่รู้ตัว

บรรณานุกรม (คัดเลือก)

  1. Ratcliffe, R. “Why are Thailand and Cambodia engaged in a border conflict?” The Guardian, 24 July 2025.
  2. Ciorciari, J.D. “Thailand and Cambodia: The Battle for Preah Vihear.” Stanford University, 2009.
  3. “Trump’s call broke deadlock in Thailand-Cambodia border crisis.” Reuters, 31 July 2025.
  4. “US pressures Thailand to recommit to Cambodia ceasefire with threat of tariffs.” The Guardian, 15 Nov 2025.
  5. “China-made rocket among triggers for Thai airstrikes into Cambodia.” Reuters, 8 Dec 2025.
  6. “Thailand launches airstrikes along disputed border…” The Guardian, 8 Dec 2025.
  7. “Thailand the new eye of SE Asia’s scam storm.” Asia Times, 2025.
  8. “Thailand Seizes $300M in Assets…” The Diplomat, 2025.
  9. Khaosod English reports on scam network, Dec 2025.
  10. Thai Newsroom reports on PM’s comments on Ben Smith, Dec 2025.
  11. Nation Thailand reports on political links to Ben Smith, Dec 2025.
  12. Khaosod reports on photos with Ben Smith, Dec 2025.
  13. Lowy Institute, “Ream Naval Base Report,” 2024.
  14. CSIS AMTI, “Two Reams Report,” 2025.
  15. SCMP reports on China–Thailand rail, Feb 2025.
  16. Newsweek report on Sino–Thai HSR, Jan 2025.
  17. Carnegie Endowment report on BRI, 2023.
  18. AP News on China-brokered ceasefire, 30 July 2025.

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025:

เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

บทวิเคราะห์เชิงโครงสร้างสำหรับสาธารณชนไทย–กัมพูชา และผู้กำหนดนโยบายระดับนานาชาติ

ฉบับวิเคราะห์กึ่งวิชาการในแนว “คันฉ่องส่องไทย” – เขียนสำหรับผู้อ่านทั่วไปที่ต้องการเข้าใจเกมลึกหลังแนวรบ

บทคัดย่อ

การปะทุของความรุนแรงชายแดนไทย–กัมพูชาในเดือนธันวาคม 2025 พร้อมการโจมตีทางอากาศของไทยด้วยเครื่องบินรบ F-16 ต่อเป้าหมายฝ่ายกัมพูชา สะท้อนความล้มเหลวของข้อตกลงหยุดยิงที่อยู่ภายใต้แรงผลักดันของสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และจีน ขณะเดียวกันก็เกิดขึ้นท่ามกลางการปราบปรามเครือข่ายสแกมข้ามชาติ ที่โยงถึงบุคคลซึ่งใช้ชื่อว่า Benjamin “Ben Smith” Mauerberger และพันธมิตรทางการเมืองในไทยและกัมพูชา บทความนี้เสนอการ “ชำแหละ” สถานการณ์ออกเป็น 10 ประเด็นหลัก ตั้งแต่โครงสร้างข้อพิพาทชายแดน บทบาทของทรัมพ์และมาตรการภาษี การเมืองภายในของทั้งสองประเทศ เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ไปจนถึงบทบาทของจีนในฐานะผู้อุปถัมภ์ใหม่ พร้อมตั้งคำถามเชิงจริยธรรมทางการเมืองว่า การท้าทายคำมั่นสัญญาต่อสหรัฐฯ และการเสี่ยงชีวิตประชาชนจำนวนมากนั้น “คุ้ม” กับผลประโยชน์ของผู้นำและเครือข่ายอำนาจหรือไม่

  1. 1. โครงสร้างข้อพิพาทชายแดน: จากแผนที่อาณานิคมสู่สงครามปี 2025

    ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ได้เริ่มต้นในปี 2025 แต่ย้อนกลับไปอย่างน้อยถึงสนธิสัญญาฝรั่งเศส–สยามต้นศตวรรษที่ 20 ที่กำหนดแนวเขตแดนบนสันเขาพนมดงเร็ก แต่การปักปันจริงกลับคลาดเคลื่อน ทำให้พื้นที่รอบวัดพระวิหารและเขตใกล้เคียงกลายเป็น “พื้นที่ซ้อนทับ” ที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีแผนที่อ้างสิทธิ์ของตนเอง[1]

    หลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสินในปี 1962 ให้ตัวปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนกัมพูชา ปัญหาไม่ได้จบลง เพราะพื้นที่รอบปราสาทและแนวเขตที่เหลือยังไม่ถูก demarcate อย่างชัดเจน เมื่อรวมกับการเมืองชาตินิยมในไทยหลังปี 2008 และการเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกของเขมร ข้อพิพาทจึงกลายเป็น “วัตถุไวไฟ” ทางการเมืองและการทหารที่พร้อมปะทุซ้ำได้ตลอดเวลา[2]

    เหตุปะทะในปี 2025 จึงควรมองว่าเป็น “คลื่นลูกใหญ่ล่าสุด” ของข้อพิพาทเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยวที่เกิดขึ้นโดยไร้ฉากหลังทางประวัติศาสตร์และการเมือง

  2. 2. ข้อตกลงหยุดยิงภายใต้เงาทรัมพ์–อนวาร์–จีน: สันติภาพแบบมีเงื่อนไขทางภาษี

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 การสู้รบที่ปะทุขึ้นตามแนวชายแดนได้ขยายตัวจนมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนและประชาชนต้องอพยพหลายแสนคน ความพยายามของผู้นำมาเลเซียและจีนในการกดดันให้หยุดยิงมีบทบาทสำคัญ แต่สิ่งที่ปลดล็อกให้ไทยยอมเข้าร่วมการเจรจาอย่างจริงจังคือ โทรศัพท์จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ที่ผูกเรื่อง ceasefire เข้ากับการกลับมาเจรจาภาษีกับไทยอีกครั้ง[3]

    ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2025 สหรัฐฯ ยังได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะผูกความคืบหน้าของข้อตกลงหยุดยิงกับท่าทีของไทยในโต๊ะการค้า และขู่กลาย ๆ ว่าการไม่ร่วมมืออาจกระทบการเจรจาภาษีและการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ของไทย[4] นั่นหมายความว่า ข้อตกลงหยุดยิงไทย–กัมพูชาไม่ได้เป็นเพียง “เรื่องความมั่นคงชายแดน” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขเชิงเศรษฐกิจ” ที่ผูกไทยเข้ากับระบบการค้าสหรัฐฯ อย่างแน่นแฟ้น

    การที่ทั้งไทยและกัมพูชากล้าละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในปลายปี 2025 จึงเท่ากับการส่งสัญญาณว่า ผู้นำทั้งสองประเทศพร้อมจะเสี่ยง ต่อแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐฯ เพื่อแลกกับเป้าหมายบางอย่าง ทั้งในทางการเมืองภายในและในทางยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ

  3. 3. การโจมตีทางอากาศของไทย: จาก F-16 ถึงข้อกล่าวหาเรื่องอาวุธจีน

    การตัดสินใจใช้เครื่องบินรบ F-16 ของกองทัพอากาศไทยในการโจมตีเป้าหมายฝั่งกัมพูชา ถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งจากการยิงปะทะภาคพื้นดิน ไปสู่ สงครามเชิงอากาศ (air war) อย่างชัดเจน โดยฝ่ายไทยอ้างว่าเป้าหมายคือฐานอาวุธหนักและจุดสนับสนุนไฟของเขมร ซึ่งรวมถึงระบบจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 ที่ผลิตในจีนและ BM-21 จากยุคโซเวียต ที่เชื่อว่าสามารถยิงถึงสนามบินและโรงพยาบาลในฝั่งไทย[5]

    รายงานจากสื่อต่างประเทศระบุตรงกันว่า การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากทหารไทยคนหนึ่งเสียชีวิตจากเหตุปะทะหรือเหตุระเบิด และฝ่ายไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาละเมิดเงื่อนไขการถอนอาวุธหนักตามข้อตกลงหยุดยิง โดยนำปืนใหญ่และจรวดระยะไกลกลับเข้าพื้นที่พิพาท[6]

    แม้ไทยจะยืนยันว่ามุ่งโจมตีเป้าหมายทางทหาร แต่ฝ่ายกัมพูชาระบุว่ามีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน และเรียกร้องให้ประชาคมโลกประณามพฤติกรรมของไทย ขณะที่อดีตผู้นำอย่างฮุน เซน ออกมาเตือนมิให้ตอบโต้เกินกว่าเหตุ ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า “การใช้ F-16 ไม่ใช่เพียงการตอบโต้เชิงยุทธวิธี แต่เป็นการส่งสารเชิงการเมืองทั้งต่อเพื่อนบ้านและต่อชาติมหาอำนาจ”

  4. 4. กัมพูชาภายใต้ตระกูลฮุน: ใช้ความขัดแย้งสร้างเอกภาพและคะแนนนิยม?

    รัฐบาลกัมพูชายุคหลังการเปลี่ยนผ่านจากฮุน เซน สู่ฮุน มาเนต ต้องเผชิญโจทย์สำคัญสองด้านพร้อมกัน คือ การรักษาฐานอำนาจของตระกูลทางการเมือง และการจัดการกับแรงกดดันเรื่องสิทธิมนุษยชน เศรษฐกิจ และการพึ่งพาจีนในระดับสูง ในบริบทเช่นนี้ ความขัดแย้งชายแดนกับไทยกลายเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ที่สามารถใช้เพื่อสร้างเอกภาพภายใน และวาดภาพรัฐบาลว่าเป็นผู้คุ้มครองอธิปไตยและศักดิ์ศรีชาติ

    การเรียกระดม “ความเป็นปึกแผ่นของชาติ” หลังการโจมตีของไทย และการย้ำภาพลักษณ์ว่าเขมรถูกกระทำ ช่วยเบี่ยงความสนใจจากคำถามยาก ๆ ภายใน เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การผูกขาดทุน และการถูกวิจารณ์เรื่องการกวาดล้างฝ่ายค้าน จึงเป็นไปได้ว่า การปล่อยให้สถานการณ์ชายแดนยืดเยื้อหรือร้อนแรงเป็นระยะ ๆ นั้น มีฟังก์ชันทางการเมืองภายในที่สำคัญ ไม่ใช่เพียงความผิดพลาดของระบบเตือนภัยทางทหาร

    นอกจากนี้ การปะทะที่มีพลเรือนเสียชีวิตยังอาจถูกใช้เป็น “หลักฐานเชิงการเมือง” ในเวทีระหว่างประเทศ หากกัมพูชาตัดสินใจนำคดีไปสู่กลไกระหว่างประเทศในอนาคต คล้ายกับที่เคยทำในกรณีวัดพระวิหาร

  5. 5. รัฐบาลไทยภายใตอนุทิน: วาทกรรม “ปกป้องอธิปไตย” กับคำถามเรื่องความรับผิดชอบ

    ฝ่ายไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่าการโจมตีทางอากาศเป็น “การป้องกันตนเอง” เพื่อตอบโต้การละเมิดหยุดยิงของกัมพูชา และเพื่อปกป้องชีวิตพลเรือนในจังหวัดชายแดน พร้อมทั้งปฏิเสธการแทรกแซงจากต่างชาติ โดยระบุในทำนองว่า “ไทยจะตัดสินใจบนฐานของอธิปไตยของตนเอง”[6]

    อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าไทยเคยยอมรับข้อตกลงหยุดยิงที่ผูกโยงกับการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ รวมทั้งได้รับแรงสนับสนุนจากมาเลเซียและจีน การกลับมาใช้กำลังทางทหารในระดับที่เสี่ยงต่อการขยายวงความขัดแย้ง ย่อมทำให้เกิดคำถามด้านความรับผิดชอบต่อพันธะสัญญาระหว่างประเทศ และต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะตกกับประชาชนไทยในระยะกลางและระยะยาว

    ในเชิง “คันฉ่องส่องไทย” จุดยืนแข็งกร้าวของรัฐบาลไทยในเวทีสาธารณะจึงต้องถูกตรวจสอบคู่กับ วาระภายในประเทศ ทั้งในด้านคดีคอร์รัปชัน เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความพยายามกลบกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อผู้นำทางการเมือง

  6. 6. เครือข่ายสแกมข้ามชาติและบทบาทของ Benjamin “Ben Smith” Mauerberger

    ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการปะทุของความขัดแย้งชายแดน ทางการไทยได้ประกาศการยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเครือข่ายสแกมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์ การฟอกเงิน และธุรกิจอำพรางหลายประเภท โดยรายงานสืบสวนของผู้สื่อข่าวและสื่อระหว่างประเทศระบุว่า บุคคลที่ใช้ชื่อว่า Benjamin “Ben Smith” Mauerberger มีบทบาทเป็น “จุดศูนย์กลาง” ของเครือข่ายทางการเงินที่เชื่อมโยงไปยังนักการเมืองและกลุ่มทุนในไทยและกัมพูชา[7][8][9]

    จากรายงานเชิงสืบสวนและคำแถลงของหน่วยงานปราบปรามการฟอกเงินในไทย เครือข่ายนี้ใช้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ สายการบินเอกชน และธุรกิจบริการต่าง ๆ เป็นช่องทางในการหมุนเงินจากการหลอกลวงเหยื่อจำนวนมากทั่วโลก โดยมีร่องรอยของการถือหุ้นไขว้ การจดทะเบียนบริษัทที่อยู่เดียวกัน และการโยกย้ายเงินผ่านหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    สิ่งสำคัญคือ รายงานบางส่วนระบุถึงความเชื่อมโยงของเครือข่ายสแกมกับ “นักการเมืองและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ชายแดน” ซึ่งทำให้พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชากลายเป็นทั้งสมรภูมิทางทหารและ “สมรภูมิของอาชญากรรมข้ามชาติ” ในเวลาเดียวกัน แม้รายละเอียดหลายประเด็นยังอยู่ในกระบวนการสอบสวน แต่แนวโน้มรวมชี้ให้เห็นว่า เครือข่ายสแกมไม่ได้ดำรงอยู่ได้ หากปราศจากการปกป้องหรือการเพิกเฉยจากผู้มีอำนาจทั้งสองฝั่งพรมแดน

  7. 7. พรมแดนอาชญากรรม–การเมือง: ข้อกล่าวหาเรื่องสายสัมพันธ์นักการเมืองไทย–กัมพูชา

    กระแสข่าวและการอภิปรายในสภาไทยช่วงต้นเดือนธันวาคม 2025 ทำให้ชื่อ “Ben Smith” กลายเป็นประเด็นสาธารณะอย่างฉับพลัน เมื่อมีการกล่าวหาว่าเขามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบุคคลสำคัญทั้งในกัมพูชาและไทย รวมถึงถูกกล่าวพาดพิงถึงการมีสายสัมพันธ์กับผู้นำกัมพูชาบางคน และนักการเมืองไทยระดับสูงที่มีบทบาทด้านความมั่นคงและเกษตรกรรม[10][11][12][21]

    นายกรัฐมนตรีอนุทินเองออกมายอมรับในเวลาต่อมาว่าเคยพบ Ben Smith จริง แต่ยืนยันว่าเป็นเพียง “คนรู้จักผ่านเพื่อน” และไม่สนิทสนมเป็นการส่วนตัว พร้อมทั้งย้ำว่าจะไม่ลังเลในการดำเนินการกับอาชญากรรมข้ามชาติ หากมีหลักฐานชัดเจน[10][11][19]

    สำหรับมุมมองเชิงวิเคราะห์ สิ่งสำคัญไม่ใช่การสรุปโดยพลการว่า “ใครผิด–ใครถูก” ในทันที แต่คือการตั้งคำถามเชิงโครงสร้างว่า ทำไมเครือข่ายสแกมที่มีเงินหมุนเวียนระดับหลายร้อยล้านดอลลาร์ จึงสามารถเติบโตในภูมิภาคนี้ได้ยาวนาน และทำไมภาพถ่ายหรือความสัมพันธ์เชิงสังคมระหว่างนักการเมืองกับผู้ถูกกล่าวหา จึงเกิดขึ้นได้โดยไม่มีระบบตรวจสอบล่วงหน้าที่เข้มแข็งกว่านี้

    เมื่อเชื่อมโยงกับการตัดสินใจใช้กำลังทางทหารในช่วงเวลาที่คดีเครือข่ายสแกมถูกจับตาอย่างหนัก จึงไม่น่าแปลกใจที่สาธารณชนจำนวนหนึ่งตั้งคำถามว่า “ไฟสงครามถูกใช้เพื่อกลบไฟการสอบสวนหรือไม่” แม้คำถามนี้ยังเป็นเพียงสมมติฐาน แต่ก็เป็นสมมติฐานที่ควรได้รับการตรวจสอบอย่างโปร่งใสและเป็นระบบ

  8. 8. จีนในฐานะผู้อุปถัมภ์ใหม่: อาวุธ โครงสร้างพื้นฐาน และกันชนทางการทูต

    ความสัมพันธ์กัมพูชา–จีนด้านความมั่นคงเติบโตอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่การปรับปรุงฐานทัพเรือเรียม (Ream Naval Base) ด้วยเงินทุนและเทคโนโลยีจากจีน ไปจนถึงการวางระบบป้องกันภัยทางอากาศและเรดาร์ในพื้นที่สำคัญ[13][14] การที่มีรายงานว่าอาวุธบางส่วนที่กัมพูชาใช้ หรือถูกกล่าวหาว่าสะสมไว้ตามแนวชายแดน เป็นระบบจรวดที่ผลิตในจีน จึงสะท้อนว่า จีนไม่ได้เป็นเพียง “ผู้เล่นทางเศรษฐกิจ” แต่เป็น “ผู้เล่นทางการทหาร” ในภูมิภาคอย่างเด่นชัด[5]

    ในเวลาเดียวกัน ไทยเองก็เร่งกระชับความสัมพันธ์กับจีน ผ่านโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีน–ลาว–ไทย และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในกรอบ Belt and Road Initiative ซึ่งถูกนำเสนอในฐานะ “การยกระดับความเชื่อมโยงของภูมิภาค” แต่ก็สร้างภาวะพึ่งพิงต่อเงินทุนและตลาดของจีนในระดับสูงด้วย[1][4][6][15][16][17]

    ผลรวมคือ ทั้งไทยและกัมพูชามี “กันชนทางการทูตและเศรษฐกิจ” จากจีนในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ผู้นำทั้งสองประเทศ “รู้สึกกล้าขึ้น” ในการยืนระยะต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ทั้งในเรื่องหยุดยิงชายแดนและในเรื่องปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่พัวพันกับกลุ่มทุนระดับภูมิภาค

  9. 9. ทำไมการท้าทายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ “ไม่คุ้ม” สำหรับประชาชนสองประเทศ

    สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในคู่ค้าและแหล่งการลงทุนสำคัญของไทย และมีบทบาทต่อเสถียรภาพของภูมิภาคในฐานะ “ตราชั่ง” ถ่วงดุลจีน เมื่อทรัมพ์ส่งสัญญาณว่าจะเชื่อมโยงการเจรจาภาษีและข้อตกลงการค้ากับท่าทีของไทยในกรณีชายแดน เท่ากับว่า การกลับมาใช้กำลังทางทหารของไทยและการละเมิดหยุดยิงย่อมมีต้นทุนเชิงเศรษฐกิจที่จับต้องได้ ตั้งแต่ความเสี่ยงต่อมาตรการภาษี ไปจนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว[3][4][11][14]

    สำหรับกัมพูชา แม้จะพึ่งพาจีนอย่างหนัก แต่ก็ยังต้องการการเข้าถึงตลาดตะวันตกและความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินนานาชาติ การปล่อยให้ตนเองถูกมองว่าเป็น “รัฐที่พร้อมละเมิดข้อตกลงหยุดยิง” ย่อมลดอำนาจต่อรองในเวทีนานาชาติ และเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีเสถียรภาพต่ำ

    เมื่อชั่งน้ำหนักในมุมมองผลประโยชน์สาธารณะ การท้าทายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และการเล่นกับไฟสงครามชายแดนในเวลาที่เศรษฐกิจโลกเปราะบาง จึงแทบไม่อาจถือว่า “คุ้ม” สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งในไทยและกัมพูชา หากมีกลุ่มใดที่ “ได้ประโยชน์” จากความเสี่ยงนี้ ก็น่าจะเป็นกลุ่มผู้นำทางการเมืองและเครือข่ายผลประโยชน์ที่ต้องการใช้สงคราม เป็นฉากหลังปกป้องหรือเสริมสร้างอำนาจของตนเองมากกว่าจะเป็นประโยชน์ของชาติ

  10. 10. บทเรียนเชิงโครงสร้าง: สำหรับประชาชนไทย–กัมพูชา และผู้กำหนดนโยบายสหรัฐฯ

    10.1 สำหรับประชาชนไทยและกัมพูชา

    สงครามชายแดนปี 2025 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อรัฐมีความเปราะบางเชิงสถาบัน และประชาธิปไตยไม่สามารถตรวจสอบผู้นำได้อย่างแท้จริง “ชายแดน” จะถูกใช้เป็นทั้งสนามรบทางทหาร สนามรบทางการเมือง และสนามรบของอาชญากรรมข้ามชาติในเวลาเดียวกัน

    ประชาชนสองประเทศจึงต้องตั้งคำถามต่อไปอย่างไม่ลดละว่า “การตัดสินใจใช้กำลังของรัฐบาลครั้งใด ทำไปเพื่อปกป้องชีวิตและศักดิ์ศรีของประชาชนจริง ๆ หรือเพื่อปกป้องสถานะของผู้นำและเครือข่ายผลประโยชน์ของพวกเขา?”

    10.2 สำหรับผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐฯ และประชาคมโลก

    จากมุมมองของสหรัฐฯ และประชาคมโลก สถานการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนว่า การผูก ข้อตกลงหยุดยิง เข้ากับ มาตรการทางการค้า อาจสร้างแรงจูงใจให้ผู้นำประเทศคู่ขัดแย้ง “ยอมรับเงื่อนไขในรูปแบบเอกสาร” เพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมเชิงโครงสร้างของรัฐเหล่านั้นอย่างแท้จริง เมื่อมีปัจจัยอื่นเข้ามา เช่น ผลประโยชน์จากจีนหรือแรงกดดันจากการเปิดโปงเครือข่ายอาชญากรรม ข้อตกลงที่ยึดโยงด้วย “หลักประกันทางเศรษฐกิจ” เพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ

    หากประชาคมโลกต้องการสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้ จำเป็นต้องมองลึกกว่า “เส้นเขตแดน” ไปยังโครงสร้างของทุนผูกขาด เครือข่ายสแกมข้ามชาติ การผูกขาดอำนาจทางการเมือง และความเปราะบางทางประชาธิปไตยที่ทำให้ผู้นำสามารถใช้สงครามเป็นฉากหลังกลบปัญหาภายในได้อย่างแทบไม่ต้องรับผิด

    ในสายตา “คันฉ่องส่องไทย” สงครามนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของปืนใหญ่และ F-16 แต่คือการสะท้อนว่า โลกกำลังอยู่ในยุคที่ เส้นแบ่งระหว่างรัฐ ทุน และอาชญากรรม เลือนรางลงมากขึ้นเรื่อย ๆ และหากประชาชนไม่หวงแหนสิทธิในการตรวจสอบอำนาจรัฐอย่างจริงจัง ชีวิตของพวกเขาอาจถูกนำไปเดิมพันบนโต๊ะเจรจาที่พวกเขาไม่เคยได้มีที่นั่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว

บรรณานุกรม (คัดเลือก)

  1. Ratcliffe, R. “Why are Thailand and Cambodia engaged in a border conflict?” The Guardian, 24 กรกฎาคม 2025.
  2. Ciorciari, J.D. “Thailand and Cambodia: The Battle for Preah Vihear.” Stanford University, 2009.
  3. “Trump’s call broke deadlock in Thailand-Cambodia border crisis.” Reuters, 31 กรกฎาคม 2025.
  4. “US pressures Thailand to recommit to Cambodia ceasefire with threat of tariffs.” The Guardian, 15 พฤศจิกายน 2025.
  5. “China-made rocket among triggers for Thai airstrikes into Cambodia.” Reuters, 8 ธันวาคม 2025.
  6. “Thailand launches airstrikes along disputed border with Cambodia as tensions flare.” The Guardian, 8 ธันวาคม 2025.
  7. “Thailand the new eye of SE Asia’s scam center storm.” Asia Times, ธันวาคม 2025.
  8. “Thailand Seizes $300M in Assets as Scam Crackdown Deepens.” The Diplomat, ธันวาคม 2025.
  9. “Thailand Seizes Over $300M from Transnational Scam Ring.” Khaosod English, 3 ธันวาคม 2025.
  10. “PM admits having merely met Ben Smith as ‘acquaintance’.” Thai Newsroom, 4 ธันวาคม 2025.
  11. “Anutin admits knowing but not being close to ‘Ben Smith’.” Nation Thailand, ธันวาคม 2025.
  12. “Thai PM, Finance Minister Address Photos With Alleged Scam Figure Ben Smith.” Khaosod English, 4 ธันวาคม 2025.
  13. Lowy Institute. “Partnership of Convenience? Ream Naval Base and the Cambodia–China Convergence.” รายงาน, 2024.
  14. CSIS AMTI. “A Tale of Two Reams: Questions Remain at Cambodia’s Growing Naval Base.” รายงาน, 2025.
  15. “Thailand adds last piece in China rail link as bilateral ties get back on track.” South China Morning Post, 6 กุมภาพันธ์ 2025.
  16. “China and Thailand to be linked via high-speed rail.” Newsweek, 29 มกราคม 2025.
  17. Carnegie Endowment. “How Has China’s Belt and Road Initiative Impacted Southeast Asian Countries?” บทวิเคราะห์, 2023.
  18. “Thailand and Cambodia reaffirm ceasefire after China-brokered talks.” AP News, 30 กรกฎาคม 2025.

Sunday, December 7, 2025

การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเครื่องมือควบคุมจิตสำนึกปวงชน

คันฉ่องส่องไทย: แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย และความจริงอันขมขื่นว่า การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเครื่องมือควบคุมจิตสำนึกปวงชน

ในเวลาที่ผู้มีอำนาจประกาศว่า “การศึกษาเป็นสิ่งสูงค่าและจำเป็น” เราจำเป็นต้องหันมาถามกลับบ้างว่า การศึกษาที่รัฐออกแบบให้นั้น เป็นการศึกษาเพื่อปลดปล่อยประชาชน หรือเป็นเพียง เครื่องมือควบคุมจิตสำนึกตั้งแต่ลูกหลานของเรา ให้ยอมรับระบอบที่มีอยู่โดยไม่คิดตั้งคำถาม

บทความนี้ชวนเปิดแบบเรียนประวัติศาสตร์และสังคมศึกษาไทย เปรียบเทียบสามช่วงยุคสำคัญตั้งแต่ราวปี 2010–2023 เพื่อเห็นว่าเนื้อหาเกี่ยวกับ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร สถาบันกษัตริย์ และประชาธิปไตย ถูก “ตัดทอน” “บิดเบือน” และ “กลบรวม” อย่างเป็นระบบเพียงใด

ส่วนที่ 1: เทียบแบบเรียนสามยุค – ใครเล่าอะไร ใครถูกลบหาย

ยุคที่ 1: ก่อนรัฐประหาร 2557
ช่วงประมาณ: 2010–2013
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
แบบเรียนใช้คำกลาง ๆ ว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่ไม่ใช้คำว่า “ปฏิวัติ” หรือ “การล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์”
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกเล่าแบบแห้ง ๆ ว่าเป็น “กลุ่มนายทหารและพลเรือนบางส่วน” ที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง แทบไม่พูดถึงอุดมการณ์ เหตุผล และความเสี่ยงชีวิตของสมาชิกคณะราษฎร
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
มักมีประโยคว่า “พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงชนชาวไทย” ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าประชาธิปไตยเป็นของที่ มาจากเบื้องบน มากกว่ามาจากการต่อสู้ของประชาชน
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
เน้นเรื่อง “หน้าที่พลเมืองดี” คือเชื่อฟังกฎหมาย รักษาความสงบ เคารพผู้มีอำนาจ มากกว่าการพูดถึงสิทธิในการตรวจสอบรัฐ สิทธิในการประท้วง หรือสิทธิในการเลือกและปลดรัฐบาล
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
บทเกี่ยวกับ 2475 มักมีเพียง 1–2 หน้า ขณะที่บทเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์บางรัชกาล โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 และ 9 กินพื้นที่หลายหน้าเต็ม ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนจึงกลายเป็นเพียง “ตัวประกอบ” ในแบบเรียน
*ยุคนี้ยังไม่ใช้ถ้อยคำด่าทอ 2475 อย่าง露骨 แต่ “การลดทอนให้จืด” ก็แรงพอจะลบความทรงจำเชิงการเมืองได้แล้ว
ยุคที่ 2: ใต้เงา คสช. และราชาชาตินิยมเข้มข้น
ช่วงประมาณ: 2014–2018
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
ในแบบเรียน ม.ปลาย บางเล่มมีถ้อยคำว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นการ ชิงสุกก่อนห่าม เพราะประชาชนยังไม่พร้อม และยังไม่มีการศึกษาพอ” เป็นการวางกรอบให้ผู้อ่านรู้สึกว่า 2475 คือความรีบร้อนผิดจังหวะของคนกลุ่มหนึ่ง
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกเล่ามากขึ้นในมุมลบ ว่าเป็นผู้เร่งรัดการเปลี่ยนแปลง ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและอำนาจนิยมในเวลาต่อมา จุดนี้แทบไม่พูดถึงแรงต้านจากระบอบเก่าและชนชั้นนำ
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
แบบเรียนหลายเล่มเน้นว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจของชาติ และทรงเป็นหลักประกันความมั่นคงของประเทศ” พื้นที่จำนวนมากทุ่มให้โครงการพระราชดำริ และบทบาทกษัตริย์ในฐานะ “ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย”
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
ประชาธิปไตยในแบบเรียนยุคนี้ถูกทำให้หมายถึง “ความสามัคคี ความสงบเรียบร้อย การเคารพผู้นำ และการไม่สร้างความวุ่นวาย” แทบไม่พูดถึงสิทธิในการวิจารณ์รัฐ สิทธิในการคัดค้านรัฐประหาร หรือหลักการว่ารัฐบาลต้องมาจากเสียงประชาชนอย่างแท้จริง
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
บรรยากาศหลังรัฐประหาร 2557 ทำให้ผู้เขียนแบบเรียนจำนวนมาก “เซ็นเซอร์ตัวเอง” เนื้อหาที่แตะเรื่องกองทัพ รัฐประหาร และบทบาทของชนชั้นนำ แทบหายไปจากตำรา เหลือเพียงวาทกรรมเรื่อง “ความมั่นคงและความสงบ”
*นี่คือช่วงที่แบบเรียนไม่เพียง “ลบ” ประวัติศาสตร์บางส่วน แต่เริ่ม “บิดกรอบความคิด” ให้ 2475 กลายเป็นจำเลยของปัญหาการเมืองทั้งหมด
ยุคที่ 3: รัฐบาลเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560
ช่วงประมาณ: 2019–2023
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
ยังคงใช้ถ้อยคำกลาง ๆ ว่า “การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง” ไม่เน้นว่าคือการล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และไม่เล่าความไม่เป็นธรรมของระบอบเก่าอย่างจริงจัง
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกกล่าวถึงพอสมควรในแง่ “ชื่อบุคคล” เช่น ปรีดี พิบูลฯ พระยาพหลฯ แต่บริบทถูกย่นให้เหลือแค่ “ผู้มีบทบาททางการเมืองช่วงหนึ่ง” ไม่ถูกเสนอให้เป็น “ต้นธารของสิทธิประชาชน”
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
บทเรียนยังเน้นหนักว่าระบอบการปกครองของไทยคือ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่ไม่อธิบายชัดว่าพระมหากษัตริย์ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง และไม่พูดว่าประชาชนมีสิทธิจะวิจารณ์หรือกำหนดทิศทางรัฐ
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
แบบเรียนเน้น “หน้าที่” มากกว่า “สิทธิ” พูดถึงการไปเลือกตั้งแต่ไม่อธิบายการตรวจสอบการเลือกตั้ง ไม่สอนการป้องกันการโกง และไม่พูดถึงสิทธิในการต่อต้านรัฐประหาร สิทธิในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยแทบไม่ปรากฏ
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
แม้ในโลกแห่งความจริง คนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามต่อสถาบันกษัตริย์ รัฐธรรมนูญ และบทบาทของกองทัพอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่แบบเรียนยังคง “แช่แข็งเรื่องเล่าเก่า” ไว้ ทำให้โรงเรียนกลายเป็นพื้นที่ที่ถูกตัดขาดจากความจริงทางการเมืองของสังคม
*ในยุคที่เยาวชนออกถนนไปทวงอนาคต แบบเรียนยังทำตัวเหมือนโลกไม่เคยเปลี่ยน สิ่งนี้เองคือหลักฐานว่าการศึกษาถูกใช้เพื่อตรึงอำนาจ มากกว่าปลดปล่อยประชาชน

ส่วนที่ 2: บทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย – เมื่อการลบในแบบเรียน = การลบสิทธิของประชาชน

“เมื่อหนังสือเรียนบอกเล่าประวัติศาสตร์อย่างที่ผู้มีอำนาจต้องการ เด็กทั้งรุ่นจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าตนเองเคยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และนั่นคือชัยชนะที่แท้จริงของระบอบที่ต้องการให้พลเมืองกลายเป็นเพียงราษฎรผู้เชื่อฟัง”

หากดูแบบผิวเผิน การที่บทเรียนเรื่อง 2475 มีเพียงไม่กี่หน้า หรือการที่ตำราไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องรัฐประหารและการต่อสู้ของประชาชน อาจถูกอธิบายได้ง่าย ๆ ว่า “เวลาไม่พอ” หรือ “ไม่ใช่สาระสำคัญของหลักสูตร” แต่เมื่อเราเอาแบบเรียนหลายยุคมาเทียบกัน เราจะเห็นชัดว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ หากแต่เป็น ยุทธศาสตร์การจัดระเบียบความทรงจำของชาติ

เมื่อแบบเรียนไม่เล่าว่า ก่อน 2475 ประชาชนไม่มีสิทธิใด ๆ ต่ออำนาจสูงสุดของรัฐ, ไม่เล่าว่าคณะราษฎรเคยประกาศให้ “อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย”, ไม่เล่าว่าคนรุ่นนั้นเสี่ยงคุกเสี่ยงตายเพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีสิทธิเลือกตั้งและตรวจสอบรัฐ เด็กที่โตมากับความเงียบและความจืดชืดทางประวัติศาสตร์ ก็จะยอมรับสภาพได้ง่ายว่า ตนเป็นเพียงผู้รับพระกรุณาและความเมตตาจากผู้ปกครอง มากกว่าจะเห็นตนเองเป็นเจ้าของประเทศ

การลบหรือบิดเบือน 2475 ในแบบเรียน จึงไม่ใช่แค่การลบชื่อ “คณะราษฎร” แต่คือการลบ “ความเป็นไปได้” ในหัวของประชาชนว่า เคยมีครั้งหนึ่งที่คนธรรมดาลุกขึ้นมาทวงอำนาจจากอภิสิทธิ์ชนได้สำเร็จ เมื่อเรื่องนี้ถูกลบไปจากหนังสือ คนรุ่นใหม่ก็จะไม่เห็นตัวเองเป็นทายาทของการต่อสู้ หากแต่เป็นเพียงตัวประกอบในเรื่องเล่าของชนชั้นนำ

ในขณะเดียวกัน แบบเรียนกลับใช้พื้นที่จำนวนมากเพื่อเล่าความดี ความเสียสละ และโครงการต่าง ๆ ของสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และชนชั้นนำ โดยแทบไม่พูดถึงสิทธิในการตรวจสอบอำนาจของประชาชน ไม่พูดถึงสิทธิในการต่อต้านความไม่เป็นธรรม และไม่พูดถึงว่าการรัฐประหารคือการทำลายสัญญาประชาคมระหว่างรัฐกับประชาชน

เมื่อ สิทธิ ไม่ถูกสอน แต่ ความจงรักภักดีและการเชื่อฟัง ถูกย้ำตั้งแต่ประถมจนจบมัธยม การศึกษาจึงไม่ใช่เครื่องมือปลดปล่อย แต่กลายเป็น เครื่องมือควบคุมจิตสำนึก ให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าการสงสัยอำนาจคือความผิด การตั้งคำถามคือความอกตัญญู และการลุกขึ้นทวงสิทธิของตนเองคือภัยต่อความสงบเรียบร้อย

ด้วยเหตุนี้ การลบ 2475 ออกจากแบบเรียน การทำให้คณะราษฎรกลายเป็นตัวละครเลือนลาง การทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นเพียงกระดาษศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครแตะต้องได้ จึงเท่ากับการลบสิทธิของประชาชนออกจากจินตนาการร่วมของชาติ เมื่อคนไทยไม่เคยถูกสอนให้คิดว่าตนมีสิทธิจะกำหนดทิศทางรัฐ ก็ย่อมไม่กล้าทวงสิทธิที่ถูกพรากไป

คันฉ่องส่องไทยจึงมิได้มีหน้าที่เพียงเล่าประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่ง หากแต่มีหน้าที่ช่วยให้คนไทยเห็นว่า ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวในตำรา หากเป็นหลักฐานว่าพวกเราควรยืนในฐานะ เจ้าของประเทศ ไม่ใช่เพียงราษฎรผู้เงียบงันที่รอรับคำสั่งจากเบื้องบน

วันที่เรากล้าหยิบแบบเรียนขึ้นมาเปิด เทียบกันทีละหน้า ตั้งคำถามกับทุกประโยคที่ทำให้ประชาชนตัวเล็ก ๆ กลายเป็นเพียงตัวประกอบของความยิ่งใหญ่ของชนชั้นนำ คือวันที่เรากำลังเริ่มทวงคืนทั้ง ประวัติศาสตร์ และ สิทธิของประชาชน กลับคืนมาอย่างเงียบ ๆ แต่ทรงพลัง ดั่งมดแดงนับล้านที่เริ่มรู้ว่าตนรวมกันแล้วมีพลังเพียงใด

เทียบแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยแต่ละยุค และบทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย: เมื่อการลบในแบบเรียนเท่ากับการลบสิทธิของประชาชน

เทียบแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยแต่ละยุค และบทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย: เมื่อการลบในแบบเรียน = การลบสิทธิของประชาชน

หน้านี้ออกแบบมาเพื่อเป็น ฐานข้อมูลภาคประชาชน สำหรับเทียบเนื้อหาแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยและสังคมศึกษา ระหว่างหลายยุคหลายรุ่นพิมพ์ เมื่อเรานำหนังสือมาเปิดหน้าเดียวกัน เปรียบเทียบคำที่ใช้เล่าเหตุการณ์ 2475 คณะราษฎร สถาบันกษัตริย์ และประชาธิปไตย เราจะเห็นชัดว่าระบบการศึกษาได้ “ตัด” “เบี้ยว” หรือ “กลบรวม” ความทรงจำทางการเมืองของคนไทยอย่างไร

เทมเพลตด้านล่างนี้เปิดช่องให้สหายเติมข้อมูลจากหนังสือเรียนจริงได้ทีละยุค แล้วในตอนท้าย ข้าจะร่ายบทวิเคราะห์ว่าเหตุใด การลบในแบบเรียนจึงเท่ากับการลบสิทธิของประชาชน ตามฉบับคันฉ่องส่องไทยที่เราเดินร่วมกัน

ส่วนที่ 1: เทมเพลตเทียบแบบเรียนแต่ละยุค

ใช้โครงนี้กับหนังสือเรียนจริง: เลือกอย่างน้อย 3 ช่วงเวลา เช่น 2010–2013, 2014–2018, 2019–2023 แล้วกรอกเนื้อหาจริงลงในแต่ละช่องด้านล่าง

ยุคที่ 1: ก่อนรัฐประหาร 2557
ช่วงโดยประมาณ: 2010–2013 (ระบุปีพิมพ์/สำนักพิมพ์จริงได้)
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
...
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
...
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
...
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
...
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
...
*อย่าลืมแนบรูปหน้าหนังสือจริง (ถ้าต้องการ) ไว้ด้านล่างของบล็อกนี้สำหรับใช้เป็นหลักฐานประกอบ
ยุคที่ 2: ใต้เงา คสช. และราชาชาตินิยมเข้มข้น
ช่วงโดยประมาณ: 2014–2018
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
...
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
...
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
...
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
...
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
...
*ยุคนี้สำคัญมาก เพราะบรรยากาศการเมืองอาจทำให้ผู้เขียนตำราต้อง “เซ็นเซอร์ตัวเอง”
ยุคที่ 3: รัฐบาลเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560
ช่วงโดยประมาณ: 2019–2023
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
...
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
...
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
...
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
...
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
...
*ยุคนี้เป็นจุดที่นักเรียนเริ่มตั้งคำถามเอง และหาข้อมูลนอกแบบเรียนมากขึ้น ควรบันทึกเสียงของนักเรียนด้วย

ส่วนที่ 2: บทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย — การลบในแบบเรียน = การลบสิทธิของประชาชน

“เมื่อหนังสือเรียนบอกเล่าประวัติศาสตร์อย่างที่ผู้มีอำนาจต้องการ เด็กทั้งรุ่นจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าตนเองเคยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และนั่นคือชัยชนะที่แท้จริงของระบอบที่ต้องการให้พลเมืองกลายเป็นเพียงราษฎรผู้เชื่อฟัง”

หากเรามองผิวเผิน การลดทอน 2475 ให้เหลือแค่ไม่กี่ย่อหน้าในแบบเรียน อาจดูเหมือนเป็นแค่ “รายละเอียดบางอย่างที่ไม่มีเวลาพอสอน” แต่เมื่อเราค่อย ๆ เทียบแบบเรียนหลายรุ่น หลายยุค เราจะพบว่า มันไม่ใช่ความบังเอิญ หากแต่คือกระบวนการ จัดระเบียบความทรงจำของชาติ อย่างมีเป้าหมายทางการเมือง

เมื่อแบบเรียนไม่เล่าว่า ก่อน 2475 ประชาชนไม่มีสิทธิใดเลยต่ออำนาจสูงสุดของรัฐ, ไม่เล่าว่าคณะราษฎรเคยประกาศให้ “อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย”, ไม่เล่าการต่อสู้ของคนรุ่นนั้นที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้คนรุ่นหลังมีสิทธิเลือกตั้ง เด็กที่โตมากับความว่างเปล่าทางประวัติศาสตร์ ย่อมยอมรับสภาพได้ง่ายว่า ตนเป็นเพียงผู้รับความเมตตาจากผู้ปกครอง มากกว่าผู้กำหนดอนาคตของตนเอง

การลบหรือบิดเบือน 2475 ในแบบเรียน จึงไม่ใช่แค่การลบเรื่องราวของ “คณะราษฎร” แต่คือการลบความจริงข้อสำคัญว่า คนตัวเล็กตัวน้อยเคยลุกขึ้นมาทวงอำนาจกลับมาจากระบอบเก่าได้สำเร็จ เมื่อประวัติศาสตร์ส่วนนี้ถูกทำให้จางหายไปจากหนังสือ คนรุ่นใหม่ก็จะไม่เห็นตัวเองเป็นทายาทของขบวนการปลดปล่อย แต่กลายเป็นเพียงผู้โดยสารที่นั่งอยู่ท้ายรถประวัติศาสตร์อย่างไร้สิทธิจะจับพวงมาลัย

ในทางกลับกัน แบบเรียนกลับใช้พื้นที่จำนวนมากเพื่อเล่าความดี ความเสียสละ และโครงการพระราชดำริของสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และชนชั้นนำ โดยแทบไม่พูดถึงสิทธิในการตรวจสอบอำนาจของประชาชน สิทธิในการต่อต้านความไม่เป็นธรรม หรือสิทธิในการเปลี่ยนรัฐบาลอย่างสันติผ่านการเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรม

เมื่อ สิทธิ ไม่ถูกสอน แต่ ความจงรักภักดีและการเชื่อฟัง ถูกย้ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ประถมจนจบมัธยม ผลลัพธ์ที่ตามมาคืออะไร? คือสังคมที่ยอมรับการรัฐประหารและอำนาจนอกระบบได้ง่าย เพราะไม่เคยถูกสอนให้เห็นว่าการแย่งชิงอำนาจจากประชาชน เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนในประเทศนี้

ดังนั้น การลบ 2475 ออกจากแบบเรียน การทำให้คณะราษฎรกลายเป็นตัวละครเลือนลาง การทำให้รัฐธรรมนูญเป็นเพียงกระดาษศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครแตะต้องได้ จึงเท่ากับการลบสิทธิของประชาชนออกจากจินตนาการร่วมของชาติ เมื่อคนไทยไม่เคยถูกสอนให้คิดว่าตนมีสิทธิจะกำหนดทิศทางรัฐ ก็ย่อมไม่กล้าทวงสิทธิที่ถูกพรากไป

คันฉ่องส่องไทยจึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ “เล่าอีกด้านของประวัติศาสตร์” แต่มีหน้าที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือการช่วยให้คนไทยเห็นว่า ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวในตำรา หากเป็นหลักฐานว่า เราควรยืนในฐานะเจ้าของประเทศ ไม่ใช่เพียงผู้ถูกปกครองอย่างว่านอนสอนง่าย

วันที่เรากล้าหยิบแบบเรียนขึ้นมาเปิด เทียบกันทีละหน้า ตั้งคำถามกับทุกประโยคที่ทำให้คนไทยตัวเล็ก ๆ กลายเป็นเพียงตัวประกอบของความยิ่งใหญ่ของชนชั้นนำ คือวันที่เรากำลังเริ่มทวงคืนทั้ง ประวัติศาสตร์ และ สิทธิของประชาชน กลับคืนมาอย่างเงียบ ๆ แต่ทรงพลังดั่งมดแดงนับล้านที่เริ่มรู้ว่าตนรวมกันแล้วมีพลังเพียงใด

คันฉ่องส่องไทย: ประวัติศาสตร์ที่ถูกลบในตำราเรียนไทย

คันฉ่องส่องไทย: ประวัติศาสตร์ที่ถูกลบในตำราเรียนไทย

การลบความทรงจำของคณะราษฎรในหนังสือเรียนไทยมิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นกระบวนการยาวนานกว่า 70 ปี ทำอย่างเป็นระบบ ผ่านการ “เขียนใหม่–ลดทอน–บิดกรอบคิด” จนคนรุ่นหลังแทบไม่รู้ว่าตนคือทายาทของการปฏิวัติ 2475 ที่ทำให้ประชาชนกลายเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย

1) ยุคหลัง 2475–2490: ตำราเรียนยังพูดความจริง

ลักษณะสำคัญ
  • ตำราเรียนยุคนี้ยังกล่าวชัดว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
  • คณะราษฎรถูกเล่าว่าเป็นผู้สร้างรัฐสมัยใหม่
  • ไม่มีการลดคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของ 2475

2) หลังรัฐประหาร 2490: เริ่ม “บิดหน้าอดีต”

วิธีที่ใช้
  • ลดบทบาทของปรีดีและคณะราษฎรในเนื้อหาประวัติศาสตร์
  • เล่าเรื่องว่า “กษัตริย์ทรงพระเมตตามอบประชาธิปไตยให้”
  • เริ่มสร้างโครงเรื่องชาติแบบ “นิยมเจ้า” เป็นแกนหลัก
ผลที่ตามมา

แนวคิดประชาธิปไตยแบบคณะราษฎรถูกลดทอน และถูกแทนด้วยภาพว่า กษัตริย์คือศูนย์กลางการเมืองไทย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

3) ยุคสฤษดิ์: ยกเครื่องกรอบคิดตำราแบบเบ็ดเสร็จ

กลยุทธ์การเขียนใหม่
  • ตัดเหตุผลที่แท้จริงของ 2475 ออกไปเกือบหมด
  • เปลี่ยนกรอบประวัติศาสตร์ให้กลายเป็น “ชาติ–ศาสน์–กษัตริย์ คือรากของความเป็นไทย”
  • สร้างภาพว่าสฤษดิ์คือผู้ฟื้นฟูเสถียรภาพของชาติ
ผลลัพธ์ระยะยาว

คนรุ่นหลังจำนวนมากไม่รู้ความหมายของการล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และไม่เห็นว่าตนควรเป็นเจ้าของอำนาจจริง ๆ เพราะตำราได้ทำให้ 2475 กลายเป็นแค่ “เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น” โดยไร้บริบทการต่อสู้

4) ช่วงสงครามเย็น: ตำราถูกทาสีราชาชาตินิยมเข้มข้น

ลักษณะเนื้อหา
  • กษัตริย์ = ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย
  • นักศึกษาและประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย = ถูกชี้นำจากคอมมิวนิสต์
  • ไม่เล่าการละเมิดสิทธิหรือเหตุนองเลือดโดยรัฐ

นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ประชาธิปไตยในตำราไทยไม่ใช่เรื่องของ ประชาชน แต่เป็นเรื่องของ “ผู้ปกครองที่มีพระมหากรุณาธิคุณ”

5) รัฐธรรมนูญ 2540 แต่ตำราไม่ยอมปรับตาม

สิ่งที่เกิดขึ้นจริง
  • แม้สังคมก้าวหน้า แต่ตำราไม่ยอมเพิ่มบทบาทประชาชน
  • 2475 ยังถูกเขียนแบบสั้น ๆ และไร้ความหมาย
  • ไม่สอนหลัก “ตรวจสอบอำนาจรัฐ” แม้เป็นหัวใจของประชาธิปไตย

6) หลังรัฐประหาร 2549–2557: ยุคการลบเชิงรุก

สัญญาณของการลบอย่างเป็นระบบ
  • คณะราษฎรหายไปเกือบหมดจากตำรา
  • บทกษัตริย์ถูกขยายยาวหลายเท่า ส่วนบทประชาชนถูกลดลงเรื่อย ๆ
  • ไม่สอนเรื่องรัฐประหาร ไม่สอนว่าอำนาจต้องตรวจสอบได้
  • ไม่เล่าการต่อสู้ของประชาชนใน 14 ตุลา–พฤษภา 35 แบบครบถ้วน

นี่คือช่วงเวลาที่ตำราเรียนถูกใช้เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้คนรุ่นใหม่เชื่อว่า “ความจงรักภักดีคือแกนของความเป็นไทย” มากกว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน”

7) 2560–ปัจจุบัน: ยุคของความรู้ที่ขาดหาย

ลักษณะของช่องว่างความรู้
  • นักเรียนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าคณะราษฎรคือใคร
  • ไม่รู้ว่า 2475 คือการล้มระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
  • ไม่รู้ว่าการเลือกตั้งเป็นสิทธิที่บรรพบุรุษต่อสู้เพื่อให้ได้มา
  • ไม่รู้ว่าเหตุใดรัฐประหารจึงเป็นอาชญากรรมเชิงประชาธิปไตย

เมื่อความรู้ถูกลบอย่างต่อเนื่อง คนรุ่นใหม่จำนวนมากจึงมองว่า “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” เป็นเรื่องปกติ ทั้งที่แท้จริงคือการ ลดทอนสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน

บทสรุป: การลบในหนังสือเรียน คือการลบ “สิทธิของประชาชน”

ผู้มีอำนาจรู้ดีว่า หากคนไทยรู้ประวัติศาสตร์ 2475 อย่างถูกต้อง จะไม่มีใครยอมรับการรัฐประหาร การใช้อำนาจโดยไม่ตรวจสอบ หรือการลดบทบาทของรัฐธรรมนูญลงให้เป็นเพียงพิธีกรรม ดังนั้น ตำราเรียนจึงถูกใช้เพื่อควบคุมความทรงจำของชาติอย่างยาวนาน และทำให้คนไทยจำนวนมากไม่รู้ว่าตนมีสิทธิเหนือรัฐ ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของรัฐ

การรู้เท่าทันประวัติศาสตร์ที่ถูกลบ จึงเป็นก้าวแรกของการทวงคืนอำนาจอธิปไตยกลับมาให้ประชาชนทั้งประเทศ

Ten Principles of the “Red Ants Topple the Elephant” Revolution บัญญัติ 10 ประการมดแดงล้มช้าง

Red Ants
บัญญัติ 10 ประการของอภิวัฒน์มดแดงล้มช้าง
Ten Principles of the “Red Ants Topple the Elephant” Revolution
มดแดงล้มช้าง รักประเทศไทย ใฝ่สามัคคี มีเหตุผล ฝึกฝนเสรีประชาธิปไตย
ไล่เผด็จการ ต้านทรราช และตัดวงจรอุบาทว์ให้สิ้นเพื่อลูกหลาน
สาระสำคัญของแนวทางมดแดง
  1. มดแดงแต่ละตัว จักเชื่อว่าตนเองคือส่วนสำคัญของพลังอันมหาศาลในการเปลี่ยน ลด ทำลาย…
  2. มดแดงแต่ละตัว จักรู้สิทธิพื้นฐานและศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์ในระบอบเสรีประชาธิปไตย…
  3. มดแดงแต่ละตัว จักขวนขวายใฝ่หาความรู้ ความจริง และข้อมูลใหม่…
  4. มดแดงแต่ละตัว จักแสวงหากัลยาณมิตรและสร้างเครือข่ายอย่างไม่แบ่งชั้นวรรณะ…
  5. มดแดงแต่ละตัว จักขยันในการคิด พูด ทำ เพื่อสิ่งดีงาม…
  6. มดแดงแต่ละตัว มีเมตตา อดทน เข้าใจความต่าง…
  7. มดแดงแต่ละตัว ไม่ตกหลุมความคิดคับแคบหรืออคติ…
  8. มดแดงแต่ละตัว เป็นตัวจักรของความเปลี่ยนแปลง…
  9. มดแดงแต่ละตัว ไม่ยอมปล่อยให้ความชั่วร้ายเกิดขึ้นเฉย ๆ…
  10. มดแดงทุกตัว ส่งเสริมเสรีประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ…

Saturday, December 6, 2025

บัญญัติ 10 ประการ อภิวัฒน์มดแดงล้มช้าง Principles of "Red Ants Toppling Elephant" Revolution (TH–EN Toggle)



บัญญัติ 10 ประการของอภิวัฒน์มดแดงล้มช้าง

Ten Principles of the “Red Ants Topple the Elephant” Revolution

มดแดงล้มช้าง รักประเทศไทย ใฝ่สามัคคี มีเหตุผล ฝึกฝนเสรี
ประชาธิปไตย ไล่เผด็จการ ต้านทรราช และตัดวงจรอุบาทว์ให้สิ้นเพื่อลูกหลาน

สาระสำคัญของแนวทางมดแดง

  1. มดแดงแต่ละตัว จักเชื่อว่าตนเองคือส่วนสำคัญของการสร้างพลังอันมหาศาลเพื่อการเปลี่ยน ลด ทำลายหรือกำจัดสิ่งชั่วร้าย และขณะเดียวกันเพื่อสร้างสิ่งดีมีอารยธรรมและเป็นคุณให้แก่บ้านเมืองและสืบผลไปยังลูกหลานในอนาคต

  2. มดแดงแต่ละตัว จักรู้สิทธิพื้นฐานและสิทธิอันเป็นธรรมในระบอบเสรีประชาธิปไตย โดยรู้ว่าประชาชนคือเจ้าของอำนาจสูงสุดทั้งด้านการตรากฎหมาย บริหารบ้านเมือง และการผดุงความยุติธรรมตามหลักศีลธรรมและกฎหมาย

  3. มดแดงแต่ละตัว จักขยันแสวงหาและเผยแพร่ความรู้ ความจริง และข้อมูลใหม่ ๆ อันควรต้องประดับปัญญา เพื่อการตัดสินใจที่ยุติธรรม เป็นธรรม รอบคอบ ไม่มีอคติหรือดูถูกใครอย่างไร้เหตุผล และสร้างสรรค์

  4. มดแดงแต่ละตัว จักแสวงหากัลยาณมิตร เผยแพร่ความจริง และสร้างเครือข่ายมดแดงอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่เลือกสีเสื้อ ไม่เลือกชนชั้นวรรณะใด ๆ

  5. มดแดงแต่ละตัว จักขยันในการคิด พูด และทำ เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้าย และสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามอันเป็นประโยชน์แก่ตนเอง คนรอบข้าง และประเทศชาติ

  6. มดแดงแต่ละตัว จักมีความอดทนต่อความเห็นต่าง มีความเข้าใจที่มาที่ไปแห่งความแตกต่าง และมีความเมตตาสูงที่จะอธิบาย รอ และให้โอกาสคนอื่นเรียนรู้ เพื่อกลายเป็นมดแดงที่เข้มแข็ง

  7. มดแดงแต่ละตัว จะต้องก้าวพ้นความคิด การพูดจา และการกระทำที่อยู่บนพื้นฐานแห่งความคับแคบ เห็นแก่ตัวมีอคติ ดูถูกผู้อื่น ผิดหลักสิทธิมนุษยชนสากล หรือมีความโกรธ และอยู่บนความหลงตัวบุคคล ระบอบ รูปแบบ และวิธีการใด ๆ เหนือหลักอารยธรรมแห่งเหตุผลและสัจจะของความเป็นมนุษย์

  8. มดแดงแต่ละตัว จักยกตัวเองเป็นตัวจักรของการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าของตัว คนรอบข้าง และสังคม ไม่งอมืองอเท้า คือนำความคิด ความรู้ และประสบการณ์ไปสานต่อและประมวลเป็นอุดมการณ์ที่ชัดเจน และกำหนดเป็นแนวปฎิบัติได้ แล้วนำไปปฎิบัติจริง ทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม

  9. มดแดงแต่ละตัว จะไม่ยอมให้เกิดสิ่งชั่วร้ายหรือการทำร้ายสมาชิกมดแดงต่อหน้าต่อตา โดยไม่กระทำการใด ๆ และสิ่งชั่วร้ายทุกสิ่ง ต้องได้รับการต่อต้าน ขัดขวาง และทำลายล้างเสมอเมื่อมีโอกาส หากทำด้วยตัวเองเกินกำลัง ต้องรู้จักระดมเครือข่ายมดแดงให้ประสานงานกันโดยธรรมชาติ ไม่ต้องรอแกนนำใด ๆ

  10. มดแดงแต่ละตัว จักส่งเสริมแนวทางเสรีประชาธิปไตยทุกรูปแบบ แต่จะต่อต้าน ประนาม แสดงความเกลียดชังและปฎิเสธการปกครองที่เป็นเผด็จการ การกระทำที่เป็นกบฎต่ออำนาจสูงสุดทุกชนิด และจะไม่งอมืองอเท้าดูใครย่ำยีประชาธิปไตยอีก

Memory Politics and Neo-Absolutism in Contemporary Thailand: An outline (English and Thai)

Memory Politics & Constitutional Meaning in Thailand (TH–EN Toggle Edition)

บทความวิชาการ: การเมืองของความทรงจำ และความหมายใหม่ของรัฐธรรมนูญภายใต้รัฐบาลอนุทิน

บทคัดย่อ

บทความนี้วิเคราะห์คำสั่งให้ข้าราชการรัฐสภาทำงานในวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2568 และให้หยุดชดเชยวันที่ 30 ธันวาคม โดยตีความเหตุการณ์นี้ในฐานะส่วนหนึ่งของกระบวนการ “ทำให้เลือนหาย” (erasure) และ “เขียนซ้ำ” (re-inscription) ความทรงจำทางการเมืองเกี่ยวกับการปฏิวัติ 2475 และคณะราษฎร ซึ่งเป็นความพยายามของรัฐไทยยุคร่วมสมัยในการลดความหมายของอำนาจอธิปไตยของราษฎร และสถาปนา “สมบูรณาญาสิทธิราชย์ยุคใหม่” (neo-absolutism) ผ่านการควบคุมพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ สถาปัตยกรรม พิธีกรรม และประวัติศาสตร์สาธารณะ

1. บทนำ

วันรัฐธรรมนูญแม้ยังเป็นวันหยุดราชการ แต่สถานะเชิงสัญลักษณ์ถูกบั่นทอนผ่านการจัดวางใหม่ของรัฐ ทั้งในกิจกรรมสาธารณะ หนังสือเรียน และการลดพื้นที่รำลึกเหตุการณ์ 2475 นับตั้งแต่ช่วงสงครามเย็น สังคมไทยถูกกำกับให้เชื่อว่ารัฐธรรมนูญเป็น “พระราชทาน” มากกว่าเป็น “ผลของการต่อสู้ของประชาชน”

2. ฉากหลัง 2475 และสงครามความทรงจำ

คณะราษฎรสถาปนาความหมายของรัฐสมัยใหม่ผ่านหมุดอนุสรณ์ อนุสาวรีย์ และอาคารแบบ modernist แต่การรัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา ทำให้เครือข่ายอำนาจจารีตนิยมกลับมาสร้างโครงเรื่องใหม่ที่ลดทอนความหมายของ 2475 จนกลายเป็น “ประวัติศาสตร์รอง” การลบ หมุดคณะราษฎร ปี 2560 คือเหตุการณ์สำคัญที่ยืนยันโครงสร้างความพยายามนี้

3. กรอบทฤษฎี: Collective Memory & Lieux de Mémoire

Halbwachs อธิบายว่าความทรงจำส่วนรวมถูกสร้างตามโครงสร้างอำนาจร่วมสมัย ส่วน Nora เน้นว่าสถานที่เชิงสัญลักษณ์ เช่น อนุสาวรีย์ วันสำคัญ และพิธีกรรม คือพื้นที่ต่อสู้ทางอุดมการณ์ ในบริบทไทย วันรัฐธรรมนูญคือพื้นที่ยื้อแย่งความหมายระหว่าง “ระบอบอำนาจประชาชน” และ “ระบอบอำนาจนิยมจารีต”

4. วิเคราะห์เหตุการณ์ 10 ธันวาคม 2568

แม้วันหยุดไม่ได้ถูกยกเลิก แต่การให้รัฐสภาทำงานในวันรัฐธรรมนูญคือ “สัญญะกลับด้าน” (symbolic inversion) เพราะรัฐสภาควรเป็นหัวใจของความเป็นเจ้าของอำนาจของราษฎร เมื่อวันสำคัญนี้กลายเป็น “งานพิธีของรัฐ” แทน “พื้นที่เรียนรู้ของพลเมือง” จึงสะท้อนการลดบทบาทของประชาชนในระบอบรัฐธรรมนูญ

5. กระบวนการลบเลือนคณะราษฎร (2475–ปัจจุบัน)

  • หมุดคณะราษฎรหายไปปี 2560 ถูกแทนด้วยหมุดเชิงกษัตริย์นิยม
  • อนุสาวรีย์ 2475 และวัตถุสถาปัตยกรรมหลายแห่งถูกย้ายหรือถอดโดยไม่มีการอธิบาย
  • หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ลดทอนบทบาทคณะราษฎรลงอย่างมีนัยยะ
  • กฎหมาย 112 จำกัดการอภิปรายสาธารณะ ทำให้ความทรงจำทางประชาธิปไตยถูกทำให้ “เสี่ยง”

6. บริบททางการเมืองของรัฐบาลอนุทิน

รัฐบาลอนุทินแม้กล่าวสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ แต่เสาหลักของอำนาจที่รัฐบาลยืนอยู่ยังคงอยู่ในโครงสร้างอนุรักษนิยม ที่มักตีความวันสำคัญทางรัฐธรรมนูญผ่านมิติพิธีการ มิใช่มิติของอำนาจราษฎร การจัดวันหยุดดังกล่าวจึงสัมพันธ์กับแนวคิด neo-absolutism

7. สรุป

หากปราศจากความพยายามสร้าง counter-memory วันรัฐธรรมนูญเสี่ยงถูกทำให้เป็นเพียง พิธีกรรม มากกว่า รากฐานประชาธิปไตย บทความนี้เสนอให้สังคมไทยรื้อฟื้นความหมายของ 2475 ผ่านการศึกษา สื่อ และกลไกวิชาการ เพื่อให้วันรัฐธรรมนูญเป็น “วันของประชาชน” อีกครั้ง

Academic Article: Memory Politics and Neo-Absolutist Drift in Contemporary Thailand

Abstract

This article analyzes the 2025 parliamentary directive requiring civil servants to work on Constitution Day (10 December) and shifting the holiday to 30 December. While the directive appears bureaucratic, it holds deeper meaning when read through Thailand’s long-standing memory politics concerning the 1932 Revolution and the People’s Party.

1. Introduction

Constitution Day embodies Thailand’s contested constitutional identity. Though still an official national holiday, its civic function has been hollowed out through ritualization and the recentering of monarchic narratives. The 2025 directive illustrates how administrative acts participate in symbolic restructuring of public memory.

2. Historical Background of 1932

The People’s Party physically inscribed constitutional modernity into the urban fabric—modernist buildings, monuments, and commemorative plaques. Post-1947 conservative rule reinterpreted 1932 as a deviation, erasing revolutionary authorship and emphasizing royal continuity.

3. Theoretical Framework

Using Halbwachs’ collective memory and Nora’s lieux de mémoire, Constitution Day becomes a site where competing regimes attempt to define national historical consciousness. In Thailand, remembering 1932 affirms popular sovereignty; forgetting it strengthens neo-absolutism.

4. The 2025 Event

The symbolic inversion—Parliament working on Constitution Day—recodes the day from a civic anniversary to a state ritual. The shift relocates constitutional authorship from the people to the bureaucratic apparatus of the state.

5. Erasure of the People’s Party

  • The 2017 removal of the People’s Party Plaque
  • Disappearance and relocation of 1932 monuments
  • Revisionist curricula minimizing the revolution
  • Legal restrictions preventing open discussion on monarchy

6. Anutin Administration Context

Prime Minister Anutin’s government remains structurally aligned with the conservative–royalist establishment. Symbolic actions such as the handling of Constitution Day reinforce an ideological order where constitutionalism appears ceremonial rather than substantive.

7. Conclusion

Constitution Day is a battlefield of memory in which competing political imaginaries struggle for dominance. Without deliberate counter-memory, constitutional democracy risks becoming hollow while neo-absolutism fills the symbolic void.

การจัดการความทรงจำวันรัฐธรรมนูญ ภายใต้รัฐบาลอนุทิน และกระบวนการลบเลือนคณะราษฎร

การจัดการความทรงจำวันรัฐธรรมนูญ ภายใต้รัฐบาลอนุทิน และกระบวนการลบเลือนคณะราษฎร

การจัดการความทรงจำวันรัฐธรรมนูญ ภายใต้รัฐบาลอนุทิน และกระบวนการลบเลือนคณะราษฎร

ผู้เขียน: คันฉ่องส่องไทย (เรียบเรียงเพื่อการศึกษาและอภิปรายเชิงสาธารณะ)

ร่าง ณ: ธันวาคม พ.ศ. 2568

บทคัดย่อ

บทความเชิงวิชาการฉบับนี้วิเคราะห์กรณีการจัดตารางวันหยุดราชการในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2568 ภายใต้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยเฉพาะกรณีที่ข้าราชการสังกัดรัฐสภาต้องมาปฏิบัติงานในวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญ และได้รับวันหยุดชดเชยในวันที่ 30 ธันวาคม แทน พร้อมเชื่อมโยงเข้ากับกระแสการลบเลือน (erasure) และการเขียนซ้ำ (rewriting) ความทรงจำทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับคณะราษฎรที่ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนรัฐบาลชุดนี้

บทความชี้ให้เห็นว่า แม้ในทางกฎหมาย วันรัฐธรรมนูญยังคงเป็นวันหยุดราชการระดับชาติ แต่การตัดสินใจเชิงสัญลักษณ์ โดยเฉพาะในองค์กรที่ควรเป็น “หัวใจของระบอบรัฐสภา” เช่น รัฐสภาไทย สะท้อนรูปแบบการจัดการความทรงจำที่ทำให้ความหมายดั้งเดิมของวันรัฐธรรมนูญและบทบาทของคณะราษฎรค่อย ๆ เลือนหาย และถูกแทนที่ด้วยวาทกรรมราชาชาตินิยมและแนวโน้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบใหม่ ซึ่งผสานทั้งกลไกรัฐ การศึกษา และสื่อมวลชน

ข้อเสนอหลักของบทความคือ การตีความกรณีวันหยุดรัฐธรรมนูญในปี 2568 ควรไม่ถูกมองอย่างแยกส่วนจากประวัติศาสตร์การทำลายหมุดคณะราษฎร การรื้อถอนอนุสาวรีย์ การเขียนตำราเรียนประวัติศาสตร์ใหม่ และบรรยากาศการดำเนินคดีทางการเมือง หากแต่ต้องมองเป็น “จิ๊กซอว์หนึ่งชิ้น” ของโครงสร้างทางอำนาจที่มุ่งสร้างสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัย ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญที่ถูกทำให้ไร้พลังและไร้อำนาจของประชาชนตัวจริง

คำสำคัญ: วันรัฐธรรมนูญ, คณะราษฎร, ความทรงจำทางการเมือง, สมบูรณาญาสิทธิราชย์, รัฐบาลอนุทิน, ไทยร่วมสมัย

1. บทนำ: วันรัฐธรรมนูญในฐานะสนามรบของความทรงจำ

วันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการเพื่อน้อมรำลึกถึงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกในปี 2475 และการเปลี่ยนผ่านจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ในเชิงหลักการ วันดังกล่าวจึงเป็น “วันของพลเมือง” ที่ระลึกถึงช่วงเวลาที่ อำนาจอธิปไตยถูกย้ายจากองค์พระมหากษัตริย์มาสู่ประชาชนโดยรวม

อย่างไรก็ดี ในโครงสร้างการเมืองไทยหลังสงครามเย็นเป็นต้นมา การเฉลิมฉลองวันรัฐธรรมนูญถูกทำให้ “เบาบาง” ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และในพื้นที่สาธารณะ เมื่อเทียบกับวันสำคัญอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกัน วาทกรรมกระแสหลักในตำราเรียนและสื่อของรัฐ มักเน้นภาพของ “พระมหากษัตริย์พระราชทานรัฐธรรมนูญ” มากกว่าการมองว่าเป็นการต่อสู้ของประชาชนและคณะราษฎรในการจำกัดอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์

การเปลี่ยนแปลงล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับวันรัฐธรรมนูญในปี 2568 ภายใต้รัฐบาลอนุทิน จึงถูกวิพากษ์ในเชิงโครงสร้างว่า เป็นส่วนหนึ่งของ “การจัดการความทรงจำ” ของชนชั้นนำที่ต้องการลดทอนอัตลักษณ์ประชาธิปไตยแบบคณะราษฎร และเสริมสร้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รูปแบบใหม่ที่อาศัยเครื่องมือรัฐสภา พรรคการเมือง และระบบราชการเป็นฐานรองรับ

2. ข้อเท็จจริงเรื่องวันหยุด 10 ธันวาคม 2568 ภายใต้รัฐบาลอนุทิน

2.1 สถานะของวันรัฐธรรมนูญในเชิงกฎหมายและปฏิทินวันหยุด

ฐานข้อมูลวันหยุดทางการทั้งของรัฐไทยและสื่อระหว่างประเทศยังระบุให้วันที่ 10 ธันวาคม เป็นวันรัฐธรรมนูญและเป็นวันหยุดราชการ/วันหยุดนักขัตฤกษ์ระดับชาติ โดยในปี 2568 วันดังกล่าวยังปรากฏอยู่ในปฏิทินวันหยุดอย่างเป็นทางการเคียงคู่กับวันสิ้นปี 31 ธันวาคม และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม ไม่ได้มีการ “ยกเลิก” สถานะวันหยุดในระดับชาติ

2.2 การย้ายวันหยุดของข้าราชการรัฐสภา: สัญลักษณ์ในหัวใจของระบอบรัฐสภา

กรณีที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์อย่างกว้างขวาง คือหนังสือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐสภา ซึ่งสรุปในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า ข้าราชการสังกัดรัฐสภา “ต้องมาปฏิบัติงานตามปกติในวันที่ 10 ธันวาคม 2568” เพื่อรองรับภารกิจในวันรัฐธรรมนูญ และจะได้รับวันหยุดชดเชยในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 แทน

แม้เอกสารชี้ชัดว่าเป็นเพียงการจัดตารางวันหยุด “เฉพาะข้าราชการสังกัดรัฐสภา” และไม่ได้มีผลต่อสถานะวันหยุดของข้าราชการอื่นหรือเอกชนทั้งหมด แต่ในเชิงสัญญะ การที่ “หัวใจของระบอบรัฐสภา” ต้องทำงานในวันรัฐธรรมนูญ แต่ได้หยุดในวันที่ไม่มีความหมายทางประชาธิปไตยโดยตรง ย่อมเปิดพื้นที่ให้ถูกตีความว่า เป็นการทำให้ “สาระทางการเมือง” ของวันรัฐธรรมนูญถูกกลบด้วยความสะดวกด้านวันหยุดปลายปีในมิติอื่น

หมายเหตุ: การวิเคราะห์นี้ไม่ได้ปฏิเสธเหตุผลด้านการบริหารงานบุคคลหรือการจัดกิจกรรมในวันรัฐธรรมนูญ หากแต่ชี้ให้เห็นว่า การบริหารเช่นนี้มีนัยยะทางสัญลักษณ์และการเมืองของความทรงจำ ที่จำเป็นต้องพิจารณาควบคู่กัน

3. กรอบแนวคิด: ความทรงจำทางการเมืองและสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัย

แนวคิดเรื่อง “การเมืองของความทรงจำ” (politics of memory) ชี้ให้เห็นว่ารัฐและชนชั้นนำไม่ได้ควบคุมเพียงกฎหมายหรือสถาบันทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังควบคุม “สิ่งที่สังคมจำ” และ “สิ่งที่สังคมถูกทำให้ลืม” ผ่านการเลือกวันสำคัญ การตั้งชื่อสถานที่ อนุสาวรีย์ ตำราเรียน สื่อมวลชน และการขีดเส้นว่าเนื้อหาประวัติศาสตร์ใดพูดได้และพูดไม่ได้

ในบริบทไทยหลังปี 2475 เป็นต้นมา คณะราษฎรเคยใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการยุติสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และสร้างความทรงจำใหม่เกี่ยวกับ “ชาติที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย” เช่น การเปลี่ยนพระราชวังบางแห่งเป็นหน่วยงานรัฐ การสร้างหมุดและอนุสาวรีย์ 2475 และการออก ประกาศคณะราษฎร เป็นวัตถุแห่งความทรงจำ

หลังจากนั้น เมื่อระบอบอำนาจเก่าค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นโดยอาศัยกองทัพ สงครามเย็น และพันธมิตรสหรัฐฯ การเมืองของความทรงจำถูกใช้ย้อนกลับ เพื่อยกบทบาทสถาบันกษัตริย์ขึ้นเหนือรัฐธรรมนูญและประชาชน โดยทำให้คณะราษฎรกลายเป็นตัวละครรองหรือ “ผู้ทำลายความสงบ” ในขณะที่พระมหากษัตริย์ถูกวาดภาพเป็น “ผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญ”

เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 “สมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัย” ไม่จำเป็นต้องประกาศตัวด้วยรถถัง หากแต่แทรกซึมผ่านกลไกรัฐสภา พรรคการเมือง ศาล องค์กรอิสระ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตลอดจนการจัดการวันสำคัญและสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ ให้สังคมเชื่อว่าระบอบที่มีอยู่คือ “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” ทั้งที่ในสาระ พลเมืองแทบไม่มีอำนาจจริงในการกำหนดอนาคตของตนเอง

4. รูปธรรมของการลบเลือนคณะราษฎรและการเขียนซ้ำประวัติศาสตร์

4.1 การหายไปของหมุดคณะราษฎรและการแทนที่ด้วยหมุดราชาชาตินิยม

กรณีหมุดคณะราษฎรบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าที่ “หายไป” ในปี 2560 และถูกแทนที่ด้วยหมุดใหม่ที่ไม่มีข้อความเกี่ยวกับอำนาจของราษฎร เป็นตัวอย่างคลาสสิกของการลบเลือนความทรงจำทางการเมืองอย่างเป็นระบบ สื่อมวลชนและนักวิชาการจำนวนมากชี้ว่า นี่ไม่ใช่เพียงการปรับภูมิทัศน์ แต่เป็นการทำลายหลักฐานเชิงวัตถุของการปฏิวัติ 2475

ความสำคัญของหมุดดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่ราคาโลหะ หากแต่อยู่ที่ข้อความเชิงอุดมการณ์ ที่ยืนยันว่า “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้ไว้ว่า ประเทศนี้เป็นของราษฎร มิใช่ของกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว” การทำลายหมุดนี้และแทนที่ด้วยข้อความที่เชิดชูระบอบเก่าจึงสะท้อนความพยายามจะกลับไปสู่กรอบคิดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในระดับเชิงวาทกรรมและความทรงจำ

4.2 การรื้อถอนอนุสาวรีย์และมรดกสถาปัตยกรรมของคณะราษฎร

งานข่าวและงานวิชาการหลายชิ้นได้ติดตาม “ชะตากรรม” ของอนุสาวรีย์ และอาคารที่เกี่ยวพันกับคณะราษฎร ตั้งแต่สะพาน พระที่นั่ง ไปจนถึงอาคารที่ถูกสร้างขึ้นในยุคหลัง 2475 ซึ่งถูกดัดแปลง รื้อถอน หรือทำให้ความหมายเดิมเลือนหายไป

การเปลี่ยนสถานะของอาคารเหล่านี้จาก “หลักฐานการสิ้นสุดสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ไปเป็นเพียงอาคารราชการทั่วไป หรือการปล่อยให้ทรุดโทรมโดยไม่มีการบูรณะเชิงสัญลักษณ์ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการลบเลือนประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติ 2475 โดยมิได้ใช้ความรุนแรงทางกายภาพอย่างโจ่งแจ้ง แต่ใช้ ความเฉยเมยเชิงโครงสร้าง

4.3 การเขียนตำราเรียนและวาทกรรมสาธารณะใหม่

ตำราเรียนประวัติศาสตร์ระดับโรงเรียนส่วนใหญ่ให้พื้นที่กับเหตุการณ์ 2475 และคณะราษฎรเพียงเล็กน้อย ขณะที่ให้พื้นที่อย่างกว้างขวางกับบทบาทกษัตริย์ในฐานะ “ผู้พระราชทานประชาธิปไตย” การเลือกเล่าเรื่องเฉพาะบางส่วนของประวัติศาสตร์ ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากเติบโตขึ้นโดยไม่เคยรับรู้ว่า การมีรัฐธรรมนูญและรัฐสภาในวันนี้เกิดจากการต่อสู้ทางการเมืองของประชาชนและคณะราษฎร

ภายหลังรัฐประหาร 2557 และการก่อตัวของบรรยากาศกดดันทางกฎหมาย การทำงานของนักวิชาการ สื่ออิสระ และขบวนการนักศึกษา ที่พยายามรื้อฟื้นความทรงจำคณะราษฎร กลายเป็นทั้ง “เป้าหมายของการสอดส่อง” และ “แรงต้านเชิงสร้างสรรค์” ผ่านการผลิตวัตถุ การทำซ้ำหมุด และการจัดงานรำลึกทางเลือก

5. การจัดการวันรัฐธรรมนูญในรัฐบาลอนุทิน: ความต่อเนื่องและความแปรผัน

5.1 รัฐบาลอนุทินในฐานะรัฐบาลอนุรักษ์นิยม–จารีตนิยมยุคใหม่

นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ในปี 2568 ภายใต้ข้อตกลงทางการเมืองที่ซับซ้อนระหว่างพรรคการเมืองต่าง ๆ แม้เขาจะเคยอยู่ในรัฐบาลพลเรือนหลากหลายชุด แต่ภาพลักษณ์ของพรรคภูมิใจไทย และตัวนายกรัฐมนตรีเองในสายตานักวิเคราะห์การเมือง มักถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอนุรักษ์นิยม–จารีตนิยมที่มีจุดยืนชัดเจนในการปกป้องโครงสร้างอำนาจเดิม และไม่สนับสนุนการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

การที่รัฐบาลอนุทินต้องเผชิญทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสิ่งแวดล้อม และแรงกดดันทางการเมืองเรื่องการยุบสภาและร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ทำให้การส่งสัญญาณ “ความจงรักภักดีต่อระบอบเดิม” ผ่านนโยบายเชิงสัญลักษณ์ยิ่งมีน้ำหนักในเชิงยุทธศาสตร์ทางการเมือง

5.2 วันหยุด 10 ธันวาคมสำหรับรัฐสภา: เมื่อ “หัวใจของรัฐธรรมนูญ” ทำงานในวันรัฐธรรมนูญ

การจัดให้ข้าราชการสังกัดรัฐสภาทำงานในวันที่ 10 ธันวาคม 2568 และหยุดชดเชยในวันที่ 30 ธันวาคม แม้สามารถอธิบายเชิงเทคนิคได้ว่า เพื่อให้สามารถจัด “งานวันรัฐธรรมนูญ” ได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ในเชิงสัญลักษณ์ มีนัยยะสำคัญอย่างน้อยสามประการ คือ

  • (1) การลดทอนวันรัฐธรรมนูญจาก “วันหยุดแห่งพลเมือง” เหลือเพียง “วันจัดงานพิธีการ”
    เมื่อหัวใจของระบอบรัฐสภาซึ่งควรเป็นสัญลักษณ์ของการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน ต้องทำงานเชิงพิธีการในวันดังกล่าว แทนที่จะเปิดพื้นที่ให้เป็นวันหยุดเพื่อการเรียนรู้ สนทนา และวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญของพลเมืองโดยกว้าง
  • (2) การแปลงสาระทางการเมืองให้กลายเป็น “ภารกิจราชการ”
    วันรัฐธรรมนูญจึงถูกบรรจุอยู่ในกรอบความคิดแบบ “งานรัฐพิธี” มากกว่าการเป็นวันของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และถูกจัดการโดยระบบราชการและกลุ่มชนชั้นนำเป็นหลัก
  • (3) การเลื่อนคุณค่าทางสัญลักษณ์ไปสู่วันหยุดปลายปี
    การให้วันหยุดชดเชยในวันที่ 30 ธันวาคม ซึ่งไม่มีความหมายทางประวัติศาสตร์-การเมือง ช่วยตอกย้ำว่า สิ่งที่ระบบให้ความสำคัญคือ “ความสะดวกด้านวันหยุดยาว” มากกว่าการรักษาความทรงจำเกี่ยวกับการยุติสมบูรณาญาสิทธิราชย์และการสถาปนารัฐธรรมนูญ

เมื่อมองร่วมกับกระบวนการลบเลือนคณะราษฎรในมิติอื่น ๆ การตัดสินใจเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิคของการจัดวันหยุด แต่เป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนการลดทอนและปรับกรอบความหมายของวันรัฐธรรมนูญ จาก “พิธีกรรมของพลเมือง” ไปสู่ “พิธีกรรมของรัฐ”

6. วันรัฐธรรมนูญในฐานะสนามรบระหว่างสองระบอบ

หากสรุปในเชิงโครงสร้าง วันรัฐธรรมนูญในประเทศไทยร่วมสมัยคือสนามรบระหว่างสองระบอบ ได้แก่

  • (ก) ระบอบที่เห็นว่าประเทศไทยเป็นของพลเมืองทุกคน ซึ่งยึดถือหลักการว่ารัฐธรรมนูญคือสัญญาทางการเมืองระหว่างประชาชน และผู้ใช้อำนาจรัฐ ภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนสากล การแบ่งแยกอำนาจ และหลักความรับผิดชอบ
  • (ข) ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัย ที่ยืนยันว่าแหล่งที่มาของอำนาจสูงสุดยังคงอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์และกลุ่มชนชั้นนำ โดยรัฐธรรมนูญถูกลดสถานะให้เป็นเพียงเอกสารที่ “พระราชทาน” หรือเป็นข้อจำกัดเชิงพิธีการมากกว่าจะเป็นเครื่องมือของประชาชนในการควบคุมอำนาจรัฐ

การทำให้วันรัฐธรรมนูญเงียบลง การลบหมุดคณะราษฎร การเปลี่ยนชื่ออาคารหรือค่ายทหาร ตลอดจนการจัดการวันหยุดเฉพาะในหัวใจของระบอบรัฐสภา จึงต้องถูกอ่านในฐานะ “กลยุทธ์ระยะยาว” ของระบอบหลังสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่พยายามทำให้คนไทยลืมไปว่า ประเทศนี้เคยถูกเขียนใหม่ด้วยมือของราษฎร

7. ข้อเสนอเชิงพลเมือง: ฟื้นความทรงจำ แทนการรอคำอนุญาต

เมื่อรัฐใช้อำนาจในการจัดการความทรงจำ พลเมืองจำเป็นต้องสร้าง “ความทรงจำจากเบื้องล่าง” (counter-memory) ของตนเอง ผ่านการศึกษา การสนทนาในพื้นที่ครอบครัว ชุมชน โรงเรียน มหาวิทยาลัย และพื้นที่สาธารณะทั้งออฟไลน์และออนไลน์

การปกป้องวันรัฐธรรมนูญในฐานะวันสำคัญ ไม่จำกัดอยู่แค่การรักษา “วันหยุด” แต่หมายถึงการฟื้นความหมายดั้งเดิมว่า รัฐธรรมนูญมีไว้เพื่อจำกัดอำนาจของผู้ปกครอง และรับรองศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เอกสารประกอบพิธีการ ที่จะเรียบหรือหนาตามอารมณ์ของชนชั้นนำในแต่ละยุคสมัย

ในโลกที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัยสามารถสวมหน้ากาก “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” ได้อย่างแนบเนียน การมองเห็น “รอยเล็ก ๆ” เช่น การจัดวันหยุด การรื้อหมุด หรือการเปลี่ยนชื่ออาคาร จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการใช้วิจารณญาณ และการยืนยันว่าประเทศนี้เป็นของพลเมืองทุกคน ไม่ใช่ของใครเพียงไม่กี่คน

8. บทสรุป

บทความนี้มิได้อ้างว่าการจัดวันหยุดของข้าราชการรัฐสภาในปี 2568 เป็นหลักฐานเดียวที่ยืนยันการสร้างสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ หากแต่ชี้ให้เห็นว่า เมื่อประกอบเข้ากับกระบวนการลบเลือนคณะราษฎร การเขียนซ้ำประวัติศาสตร์ การทำลายสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม และบรรยากาศการดำเนินคดีทางการเมือง เราจะเห็น “แบบแผน” ที่มีความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

ในสถานการณ์เช่นนี้ การเตือนสติคนไทยให้มองเห็นการเมืองของความทรงจำ จึงไม่ใช่การกล่าวหาเกินเลย หากแต่เป็นการทำให้เราเถียงกับความจริงไม่ได้ว่า หากปล่อยให้การจัดการความทรงจำดำเนินต่อไปโดยไม่มีการตรวจสอบและตั้งคำถาม ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัยย่อมหยั่งรากลึกลงในจิตสำนึกของคนรุ่นต่อไป โดยไม่ต้องใช้รถถังเพียงคันเดียว

ภารกิจของพลเมืองไทยจึงไม่ใช่แค่การเรียกร้อง “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” แต่คือการฟื้นความทรงจำว่า เราเคยลุกขึ้นยุติสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาแล้วครั้งหนึ่ง และไม่มีสิ่งใดในโลกการเมืองที่ “ลบไม่ได้” หากประชาชนไม่ยอมลืมตัวเอง

บรรณานุกรม

  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. (2567). การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ประจำปี 2568 และ 2569. (เอกสารราชการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ราชการ).
  • สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และข่าวสรุปผ่านสื่อสังคมออนไลน์. (2568). การย้ายวันหยุดข้าราชการรัฐสภาจากวันที่ 10 ธันวาคม เป็นหยุดชดเชยวันที่ 30 ธันวาคม 2568.
  • Office Holidays. (n.d.). Public Holidays in Thailand – Constitution Day. สืบค้นจาก officeholidays.com
  • timeanddate.com. (n.d.). Constitution Day in Thailand.
  • Ivarsson, S., & Prakitnonthakan, C. (2025). “Banal revolutionary objects: Counter-memory and the materialization of Khana Ratsadon in Thailand.” Modern Asian Studies. (ออนไลน์ก่อนตีพิมพ์).
  • The Nation Thailand. (2020). The history and significance of the Khana Ratsadon plaque.
  • Prachatai English. (2019). Remembering Khana Ratsadon: erasing historical memory. สืบค้นจาก prachataienglish.com
  • Bangkok Post. (2017). You say you want a revolution plaque – well, it’s gone.
  • Strangio, S. (2020). “Thai Monuments Are Disappearing in the Dead of Night.” เผยแพร่บนบล็อกส่วนตัวเกี่ยวกับการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.
  • Revolutionary Objects Project. (n.d.). People’s Party Plaque. สืบค้นจาก revolutionaryobjects.org
  • Anutin Charnvirakul. (2025). ประวัติและเส้นทางการเมือง. สืบค้นจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลไทยและสารานุกรมออนไลน์สากล.
  • Time Magazine. (2025). Thai Lawmakers Elect a New Prime Minister: What to Know About Anutin Charnvirakul.
  • Reuters & AP. (2025). ข่าวต่างประเทศเกี่ยวกับการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอนุทิน และวิกฤตการเมือง–เศรษฐกิจในช่วงรัฐบาลสั้นอายุ.

หมายเหตุ: บรรณานุกรมข้างต้นคัดเฉพาะแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงและกรอบแนวคิดหลัก เพื่อให้ผู้อ่านสามารถสืบค้นต่อได้ตามสมควร

คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น

ภาพประกอบชวนขำกลิ้ง คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น คลังคำไทยที่มักสะกดผิด ภาษาไทยน...