ความขัดแย้งอันเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา ที่ทำให้คนต่างลัทธิหรือต่างศาสนาและวัฒนธรรม อยู่ด้วยกันไม่ได้ และทำให้เกิดความรุนแรงชนิดป่าเถื่อนเกินมาตรฐานศีลธรรมของทุกศาสนานั้น ได้อุบัติมานานแล้ว และวันนี้ กำลังเสี่ยงยิ่งที่จะระเบิดขึ้นในสังคมไทย สิ่งที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ใคร ๆ อาจจะมองว่า เป็นผลมาจากการกระทำของภาครัฐของรัฐไทย ที่เหยียบย่ำคนต่างาเชื้อชาติและศาสนา ที่อยู่ใต้แผ่นดินไทย ซึ่งมันจริง แต่มันเป็นแค่เหตุหลักประการหนึ่งเท่านั้น จริง ๆ แล้วรากของปัญหา คือความเชื่อทางศาสนาอิสลาม ซึ่งให้สิทธิหรือกระตุ้นให้ใช้ความรุนแรงเพื่อป้องกันการกดขี่ข่มเหง และแม้แต่ใช้กับพวกต่างศาสนาได้ ดังที่ได้บัญญํติไว้ในพระคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งพี่น้องมุสลิมก็คงทราบดี แต่ว่า การตีความของศาสนิกชนมุสลิมส่วนใหญ่ ก็อยู่ในอีกมิติหนึ่ง คือรักเพื่อนบ้าน และศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ (ซึ่งคนส่วนใหญ่เขาก็สันติภาพดี แต่ตัวคำสอนนั้น อาจจะตีความแล้ว ไม่ค่อยสันตินัก -- ลองไปค้นในยูทูป ซึ่งมีมากมาย) และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ศาสนาอิสลามนั้น (รวมทั้งศาสนาพุทธด้วย) ถูกนำไปใช้เพื่อผลทางการเมือง (politicized) และทำให้เกิดสำนึกว่า ตนสามารถขับไล่หรือยึดครองแผ่นดินรอบ ๆ ตนได้ เพื่อให้เป็นศาสนาที่บริสุทธิ์ (purify) นี่จึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการฆ่าพระ เผาโรงเรียน และข่มขู่คนศาสนาอื่นให้ออกจากพื้นที่ตน และความพยายามจะ purify แบบใจแคบและหลงตัวเองนี้เอง มีกระแสของความเป็นพี่น้อง (brotherhood) กันของพี่น้องมุสลิมทั่วโลก (ซึ่งในส่วนดี คือการรวมตัว ป้องกันการทำร้ายพี่น้องที่ไม่มีอำนาจ และช่วยกันด้านมนุษยธรรม) และนี่ก็ทำให้ความรุนแรง มีการสนับสนุนจากต่างประเทศ ทำให้ความขัดแย้งบานปลาย และทำให้เงินทองที่จะก่อให้เกิดการลุกลาม ถึงขั้นมีคนสงสัยว่า มุสลิมจะยึดประเทศไทย มันมีเค้าลาง
ผมไม่ได้มาโจมตีศาสนาอิสลาม แต่ยกภาพกว้าง ๆ ของสิ่งที่เกิดขึ้น และเหตุที่ผมมองเห็น ไม่ได้ตั้งใจสื่อความเหตุในเชิงอคติกับศาสนาใด แต่ผมเห็นว่า หากชาวมุสลิม ยังคิดจะใช้แผนในการเอาคนของตนไปอยู่ระดับสูง รุกคืบไปในจังหวัดต่าง ๆ ยึดพื้นที่ ยึดอำนาจการปกครอง ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศแล้ว พยายามเอาศาสนาอิสลามไปยัดเยียดให้คนพุทธ หรือไปรุกล้ำพื้นที่ว่างทางความเห็นต่างและวิถีวัฒนธรรม ผมไม่เชื่อว่า ชาวพุทธจะหันไปนับถืออิสลาม (ซึ่งในส่วนอิสลามจะเปลี่ยนเป็นพุทธนั้น ไม่มีอยู่แล้ว เพราะศาสนานี้มีข้อกำหนดที่ค่อนข้างใจแคบ คือเขายอมไม่ได้นะครับ หากทำก็ถือเป็นผู้ทรยศ มีสิทธิถูกฆ่าตายได้ง่าย ๆ หากยังพบปะกับพี่น้องในศาสนาเดิม) สิ่งที่ผมเดาว่าจะเกิดขึ้น หากผู้นำไทยดึงศาสนิกชนของพุทธกับอิสลามไปอยู่ใกล้กัน โดยมีวาระทางการเมืองที่ผลักดันโดยผู้นำศาสนาและการเมืองที่ใฝ่ศาสนา แล้วหวังฮุบประเทศไทยนั้น การฆ่าชาวมุสลิมแบบที่ชาวพุทธโดนฆ่าในแดนมุสลิมใต้นั้น จะเกิดขึ้นแบบที่ชาวโลกคาดไม่ถึงและจะตะลึงว่า ชาวพุทธที่ว่าจิตใจโอบอ้อมอารีย์นั้น จะทำได้ขนาดนั้น เชียวหรือ? ผมบอกให้เลยนะครับ ชาวพุทธเมือง มีสองบุคลิก บทจะอดทน ใจดี มีน้ำใจโอบอ้อม ก็จะเป็นแบบนั้น อย่างเป็นธรรมชาติ แต่บทที่จะสู้ และใช้ความโหดขึ้นมา ผมว่าเขาก็ทำได้ ไม่แพ้ชาวมุสลิมที่นิยมความรุนแรงบางกลุ่ม เช่นกัน
ดังนั้น บทสรุปที่ผมขอมอบให้ผู้ปกครองบ้านเมือง (ด้วยอำนาจเถื่อน ซึ่งประชาชนจะต้องสะสางโทษย้อนหลังแน่ ๆ) วันนี้ก็คือ อย่าชักศึกเข้าบ้าน อย่าเริ่มจุดไฟเผาเรือนอีกเลย เพราะไฟศาสนานี้ มันได้ทำร้ายโลกมานักต่อนักแล้ว!!! รักแผ่นดินไทยจริง อย่าเอาศาสนาอิสลามไปปนกับพุทธ โดยคิดว่าจะอยู่ด้วยกันได้ หรือจะให้อิสลามกลืนพุทธ เพราะแค่คิดก็ผิดแล้วครับ!
+++++++++++++
ข่าวล่าสุดจากมติชน
เตรียมจัดเวทีรับฟังความเห็นสวนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จ.เชียงใหม่
จ.เชียงใหม่ เตรียมทำความเข้าใจกับชาว อ.ดอยหล่อ ถึงข้อดีข้อเสียของการก่อสร้างสวนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล และยืนยันว่าการคืนบัตรข้าราชการของผู้นำชุมชน เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย ไม่มีผลต่อการบริหารราชการในพื้นที่
ชาวบ้านใน ต.ดอยหล่อ อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสวนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลที่จะใช้พื้นที่ของกรมธนารักษ์ใน ต.ดอยหล่อ กับ ต.สันติสุข อ.ดอยหล่อ กว่า 800 ไร่ เป็นสถานที่ก่อสร้าง เพราะส่วนใหญ่ยังกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และวิถีชีวิตของชาวบ้าน
โดยก่อนหน้านี้ กลุ่มผู้นำชุมชนทั้งกำนัน และผู้ใหญ่บ้าน 4 ตำบลใน อ.ดอยหล่อ กว่า 60 คน ได้คืนบัตรข้าราชการให้กับ จ.เชียงใหม่ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย และขอให้ทบทวนโครงการนี้ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเข้ามาให้ความรู้ และข้อมูลกับชาวบ้านแต่อย่างใด
นายนาวิน สินธุสอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า กรณีนี้ยังไม่มีผลกระทบกับการบริหารราชการในพื้นที่ โดยยอมรับว่าแม้จะมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่อยากให้รอฟังการชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน และเชื่อว่าหากโครงการนี้เกิดขึ้นจริง น่าจะส่งผลดีมากกว่าผลเสีย
ในวันที่ 7 เมษายน 2558 จ.เชียงใหม่ จะเปิดเวทีพูดคุยระหว่างสำนักจุฬาราชมนตรี คณะกรรมการอิสลาม จ.เชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจกับชาวบ้าน รวมถึงการทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั้งอำเภอ หากจะต้องเดินหน้าโครงการนี้
สวนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลเป็นแนวคิดของ จ.เชียงใหม่ ร่วมกับหอการค้า จ.เชียงใหม่ สำนักจุฬาราชมนตรี กรมธนารักษ์ และกรรมการอิสลามประจำ จ.เชียงใหม่ เพื่อต้องการผลิตอาหาร และสินค้าชนิดต่างๆ ขายให้กับชาวมุสลิมทั่วโลก โดยใช้งบประมาณ 6,000 - 7,000 ล้านบาท แต่ชาวบ้านในพื้นที่บางส่วนไม่เห็นด้วย เพราะตามมาตรฐานอาหารฮาลาลระบุว่าพนักงานที่ผลิตควรเป็นชาวมุสลิมเท่านั้น จึงกังวลว่าโครงการนี้อาจไม่ช่วยสร้างงานและอาชีพให้กับคนในพื้นที่
No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.